Asexual (เพศที่ใช้ชีวิตที่อยู่นอกกรอบเรื่องความรักใคร่)



สวัสดีครับทุกคน ก่อนหน้านี้ผมตั้งใจทำกระทู้เรียบเรียงบทความเรื่องจิตวิทยาต่างๆ ได้แก่ Empathy Skill (ทักษะที่ทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น), Dark Empath (ศาสตร์มืดของความเห็นอกเห็นใจ), Narcissist (อาการหลงตัวเองที่คนรอบข้างต้องรับมือ) และ Loneliness (ภัยเงียบเมื่อความเหงากำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ) ซึ่งก็ได้รับเลือกเป็น "Pantip Pick" ขอบคุณมากๆเลยครับ
.
รอบนี้ไวท์อยากจะลงลึกที่ความรู้ใหม่ในโลกกว้าง ซึ่งเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้จัก "Asexual" หรือที่วัยรุ่นเรียกกันว่า "เพศเอ" (เอเซ็กชวล) ครับ
.
ในยุคของความหลากหลายที่ประเทศเรามีสมรสเท่าเทียมก่อนใคร ทำให้ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติทั่วโลกว่าเปิดกว้างและเป็นผู้นำเรื่องความเสมอภาค ส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศเราคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายนซึ่งเป็น Pride Month ครับ
.
พวกเราคงคุ้นหูกันกับคำว่า LGBTQIA+ ซึ่งจริงๆแล้วคือ L Lesbian, G Gay, B Bisexual, T Transgender, Q Queer , I Intersex และ A Asexual ครับ
.
เอเซ็กชวล (asexual) เป็นหนึ่งในความหลากหลายทางเพศ ในด้านชีวิตรัก พวกเขาไม่รู้สึกดึงดูดใจหรืออยากเป็นคู่รักกับเพศใดๆ เลย รวมถึงไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร คนกลุ่มนี้มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นครับ
.
บางคนก็ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวให้มีคู่รัก แต่งงาน หรือมีลูก ถ้าตอนนี้สังคมเริ่มยอมรับได้ที่คนเพศเดียวกันจะเป็นคู่รักกัน สังคมก็ควรเปิดใจยอมรับคนที่ไม่ต้องการชีวิตคู่ด้วยเช่นเดียวกัน
.
เอเซ็กชวลไม่สนใจที่จะมีความสัมพันธ์กับเพศใดๆ ไม่รู้สึกอยากมีคู่รัก สิ่งที่น่าสังเกตคือเรากำลังพูดถึง ‘การดึงดูดใจ’ นั่นแปลว่าเป็นเรื่องทางความคิดหรือจิตใจ เอเซ็กชวลไม่รวมถึงบุคคลที่ข่มใจตัวเองไม่ให้ต้องการมีความรู้สึกดึงดูดดังกล่าว เช่น บุคคลที่ที่ต้องการถือพรหมจรรย์ด้วยเหตุผลทางศาสนา ความเชื่อ หรือเหตุผลอื่นๆ
.
เอเซ็กชวลไม่ได้รู้สึกและไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร “แค่ไม่อยากเฉยๆ” ครับ ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับหลายๆ คน เพราะเราคุ้นชินกับสังคมวัฒนธรรมที่ถือว่าชีวิตรักคือเรื่องใหญ่ของทุกคน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือทั้งแวดวงวรรณกรรมและดนตรีโดยหลักแล้วจะเกี่ยวข้องกับความรัก และเรื่องความรักและการแต่งงานในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของใครหลายๆ คน แต่เอเซ็กชวลนั้นมีอยู่จริง จากการสำรวจในประเทศตะวันตกหลากหลายงานพบว่ามีเอเซ็กชวลประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งก็ถือว่ามีน้อยมาก แต่หากเรามองถึงปริมาณของมนุษย์ทั้งโลกแล้ว 1 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าไม่น้อยเลยจริงไหมครับ
.
สาเหตุที่ว่าคนเราจะมีเพศวิถีแบบใดนั้นยังเป็นสิ่งที่แวดวงวิชาการยังไม่มีคำตอบแน่ชัด และยังคงวิจัยหาคำตอบกันอยู่ แต่เป็นไปได้ว่ามาจากทั้งเรื่องของปัจจัยภายในคือ ร่างกายหรือพันธุกรรม และเรื่องของปัจจัยภายนอกอย่างการเลี้ยงดู ประสบการณ์ และการเรียนรู้ และปฏิสัมพันธ์ของทั้งภายในและภายนอก (เช่น การมีร่างกายแบบหนึ่ง เอื้อต่อการพบประสบการณ์แบบหนึ่งๆ) แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ชัดคือการมีเพศวิถีหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติ พฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ในเพศเดียวกันพบได้เป็นปกติในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สิงโต โลมา หรือช้าง ฯลฯ และตัวอย่างของสัตว์ที่มีความหลากหลายเรื่องเพศวิถีสูงมากอย่างคือแกะ ที่จะพบว่าจะมีบางตัวที่ดึงดูดกับเพศเดียวกันเท่านั้น และพบว่ามีส่วนน้อยที่เป็นเอเซ็กชวล ซึ่งไม่มีความปกติทางร่างกายใดๆ แต่ไม่พบว่าร่างกายดึงดูดกับเพศใดๆ เลย
.
หรือเอเซ็กชวลบางคนอาจจะมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติก แต่ไม่สนใจที่จะมีความรู้สึกและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ อาจจะต้องการกอดหรือจูบบุคคลที่อยากจะสัมพันธ์ชิดใกล้ แต่เจ้าตัวจะไม่รู้สึกว่านั่นทำไปเพราะความต้องการทางเพศ (ในบางชาติการจูบทำได้ในหลายโอกาส ไม่เพียงแต่ในคู่รัก)
.
คำถามที่ว่าแล้วพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าเป็นเรื่องทางเพศนั้นค่อนข้างซับซ้อนครับ เพราะสิ่งดังกล่าวแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เอเซ็กชวลแต่ละคนที่อยู่ในสังคมหลากหลายเลยมีขอบเขตของพฤติกรรมที่แสดงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไปด้วย
.
แม้ว่าจะมีอยู่เพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ในสังคม แต่เอเซ็กชวลก็เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าทุกๆ สังคมควรให้ความสำคัญ การสำรวจในต่างประเทศพบว่าปัญหาหลักๆ ของเอเซ็กชวลหลายคนคือเรื่องของการยอมรับทางสังคม ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องเอเซ็กชวลยังมีน้อย การเปิดตัวว่าพวกเขาเป็นเอเซ็กชวลและได้รับการยอมรับจึงเป็นเรื่องยากตามไปด้วย
.
แม้ในประเทศไทยเรื่องนี้จะยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีการพูดถึงมากนัก แต่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนในด้านต่างๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ผมว่าคงมีสักวันหนึ่งที่คนในทุกๆ เพศวิถีจะมีชีวิตอยู่ได้แบบเต็มภาคภูมิในสังคมเหมือนกับ ‘ชายแท้’ หรือ ‘หญิงแท้’ ที่สังคมสมัยเก่ามองว่าคือเพศวิถีหลัก ผมมองว่าสังคมที่ยอมรับความแตกต่างน่าจะน่าอยู่กว่าสังคมที่กีดกันหรือบังคับแม้แต่ประเด็นที่เกี่ยวกับ ‘ความรัก’ ไม่ว่าด้านไหน จริงไหมครับ?
.
.
หากเราเข้าใจในความต่าง ไม่ไปคาดหวังหรือบังคับใครให้ต้องใช้ชีวิตตามรูปแบบที่สังคมกำหนด นอกจากอีกฝ่ายเขาจะไม่อึดอัดแล้ว เรายังจะเป็นที่ยอมรับและเป็นที่เคารพอีกด้วยนะครับ ความสุขที่แท้จริงเริ่มได้จากใจเราครับ
พาพันชอบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่