ปัญหาครอบครัว

ตอน​คือเราเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่พร้อมนัก พ่อแม่เรามีลูกหลายคน อาชีพก็ทำไร่ทำนาทั่วไป ฐานะในตอนนั้นถือว่ายากจน เราไม่ได้เติบโตมาด้วยความอบอุ่นเท่าไร เพราะส่วนมาก พ่อแม่จะดูด่า ว่าตี มากกว่า ตอนเด็กเราสงสัยอะไร เราก็จะถามพ่อแม่ แต่คำตอบที่ได้ก็คือ "จะถามอะไรมาก ไม่ต้องรู้หรอก เรื่องพวกนี้" เป็นแค่คำตัดจบเท่านั้น ตอนนั้นเรายังมีอายุเพียง5ขวบ เรายังจำได้ว่า เราเป็นเด็กที่ร่าเริงซุกซนคนหนึ่ง จนเราเริ่มโตขึ้น ในตอนอยู่ ป.2 แม่เราเริ่มให้เราหัดทำงานบ้าน กับพี่อีกสองคน เรายังจำได้ว่า เราร้องให้บอกว่าทำไม่เป็น แต่แม่ก็บังคับเราให้เราทำให้ได้ ซึ่งก็คือเรื่องหุงข้าวนั่นเอง และต้องเข้าใจนะว่า สมัยนั้น ครอบครัวเรายากจนมาก ไม่มีหม้อหุงข้าว ไม่มีเตาแก๊ส ทุกอย่างต้องทำจากฟืนไฟเท่านั้น ซึ่งเราก็แค่เด็ก ป.2เรายังจุดไฟแชทไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่มาครานี้ ไม่เป็นก็ต้องเป็น เพราะไม่อย่างงั้นโดนไม้เรียวแน่ เราร้องให้ไป ก่อไฟไป แรกๆเราก็แค่ก่อไฟ เอาไปเอามา เปลี่ยนมาเป็นหุงข้าวแทน ซึ่งหม้อหุงข้าวนั้นใหญ่พอๆกับตัวเราในตอนนั้น เพราะว่าครอบครัวเรามีกันหลายคน เราเลยต้องหุ้งข้าวหม้อใหญ่ เพื่อที่จะพอให้ทุกคนกิน เราทำพราดแล้วพราดอีก บางวัน หม้อหุงข้าวหนักเกินไป เรายกไม่ไหว ก็ทำหม้อข้าวตกกระจายเต็มพื้น ต้องเข้าใจว่าสมัยนั้นครอบครัวยากจน ข้าวมือหนึ่งสำหรับคนทั้งครอบครัวกินนั้น สำคัญมาก พอแม่มาเห็น ก็โดนไม้เรียวตีชุดใหญ่ บางครั้งเรากลัวหม้อตกจากมือ จึงต้องเอามาแนบตัวไว้ เพื่อไม่ได้มันตกลงพื้นอีก และผลที่ตามมาก็คือ โดนน้ำซาวข้าวในมา ลวกหน้าท้องแดงไปหมด หรือบางครั้งก็ลวกมือจนบวมเป็นตุ๋มน้ำไส เราได้แต่อดทน เพราะกลัวโดนแม่ตี บางครั้งถ้าข้าวไม่สุก หรือหุงจนเละเกินไป เราก็จะโดนด่าแทน แต่มันก็ยังดีกว่าโดนตี เป็นแบบนี้มานานเข้า จนพี่ทั้งสองคนของเราเรียนจบและไปเรียนต่อต่างจังหวัด ครั้งนี้ก็เลยเหลือเราคนเดียว กับน้องๆที่ยังเล็กอีก2คน ซึ่งก็หมายความว่าเราเป็นพี่คนโตในครอบครัวนี้แล้ว เพราะพี่อีกสองคนออกจากบ้านไปเรียนต่อต่างจังหวัด ก็เลยเหลือแต่เราที่ต้องแบกรับงานทุกอย่างในบ้าน พ่อแม่เราไปไร่ทุกวัน ไม่มีเวลามาทำอาหารให้กิน เพราะฉะนั้น เราต้องทำเอง แล้วถ้าเราทำแล้ว ก็ต้องทำให้ทุกคนในครอบครัวกินด้วย แรกๆเราอยู่แค่ 3-4เราก็ต้องหัดตื่นตั้งแต่ตี5 เพราะเราต้องตื่นมาเตรียมอาหารเช้าเพื่อจะได้ไปโรงเรียน

เ เพราะพ่อแม่เตือนแล้วว่า ถ้าเราไม่ตื่นมาหุงหาอาหารเองก็ไม่ต้องไปโรงเรียน ซึ่งเราในตอนนั้น อยากไปโรงเรียนมาก เลยบังคับตัวเองให้ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะได้ไปโรงเรียน หลังเลิกเรียนเราต้องไปรับน้องกลับบ้านจาก ศูนย์เด็กเล็กและอนุบาล แล้วค่อยกลับบ้าน มาเตรียมข้าวเย็นต่อ คือถ้าพ่อกับแม่กลับมาจากไร่แล้ว เราต้องมีอาหารเตรียมไว้บนโต๊ะกินข้าวแล้ว เราเลยต้องทำเวลา กับมาก็ต้องเอาน้องอาบน้ำแต่งตัว ทำงานบ้าน รอพ่อแม่กลับมา ค่อยกินข้าวพร้อมกัน มาจนเราอยู่ ป.5-6 ในทุกๆวันเราจะได้ยินแค่เสียงก่นด่าของแม่ทุกวัน อีตัวดีบ้าง อีดัวอับปรีบ้าง พอเราทำงานบ้านเสร็จไม่ทัน ก็จะว่าเราขี้เกียดบ้าง ยิ้มบ้าง  เราเป็นคนใฝ่เรียน แต่เรียนไม่เก่ง พอจบเทอม เราก็ติด ร. บ้าง ติด0 บ้าง แต่เราก็ยังไปเรียนทุกวัน จนมาวันหนึ่ง พ่อแม่บอกว่า ในเมื่อเรียนไปก็โง่เหมือนเดิม แล้วจะเรียนให้เสียเวลาไปทำไม ไม่สู้ออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ไถนาดีกว่า เราบอกว่าถึงเราจะเรียนไม่เก่ง แต่เราก็จะไปเรียน ตอนนั้นเราอยู่แค่ชั้น ป.5 เองมั้ง เถียงกับพ่อแม่หนักมาก พ่อแม่รั้งเราไม่ให้ไปโรงเรียน แต่เราก็ ใส่ชุด นักเรียน แป้กระเป๋า จะไปโรงเรียนให้ได้ พ่อแม่โมโหเรามากในตอนนั้น จึงพูดคำขาดเลยว่า ถ้าเราไม่เชื่อฟังพ่อแม่ พ่อแม่ก็จะไม่ให้ตังค่าขนมาอีก เราจึงโต้ไปว่า ไม่ให้เราก็ไม่เอา คือเรานอมโดนตัดเงินค่าขนม เพื่อที่จะได้ไปเรียน ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า ขอแค่มีข้าวกินประทังชีวิตก็เพียงพอแล้ว แค่ไม่ได้กินขนม เราก็ไม่ตายหรอก และนับจากนั้นมาพ่อแม่ก็ไม่เคยให้ค่าขนมเราจริงๆ แต่พ่อแม่ให้น้องๆ ยกเว้นเรา ตอนนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ในเมื่อเราเลือกแล้วว่าเรายอมโดนตัดเงินค่าขนมเพื่อที่จะได้ไปโรงเรียนทุกวัน เราก็จะไม่คิดเสียใจ​ทีหลัง พ่อแม่เอาแต่ด่าว่าเรามันโง่ เรียนมากแค่ไหนก็โง่เหมือนเดิม เป็นคนไร้ความสามารถ เราจึงเลือกแสดงให้พวกเขาเห็นว่าเรา ก็มีความสามารถเหมือนกัน ตอน ป.6 เราลงแข่งขันทักษะวิชาการ ครูมีตัวเลือกหลายคน แต่ครูก็เลือกเราหนึ่งในนั้นไปเป็นตัวแทนโรงเรียน เราดีใจมาก เรากลับบ้านไปด้วยรอยยิ้ม หวังจะบอกข่าวที่น่ายินดีนี้กับพ่อแม่ พวกเขาต้องดีใจกับเราด้วยแน่ๆ

แต่สิ่งที่คิดกับความเป็นจริงมักต่างกันเสมอ เรากลับไปถึงบ้าน เราบอกข่าวดีให้พ่อแม่ฟังด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า แต่สีหน้าทั้งของพ่อแม่สองต่างเฉยเมย ไม่ได้มีความยินดีด้วยสักนิด แม่หัวเราะเยาะ ​ก่อนพูด "น้ำหน้าอย่างเธอนะหรอ ที่ครูเลือก เธอมีความสามารถกับเขาด้วย!"
ใช่ค่ะ...รอยยิ้มเราหายไปทันที หลังจากแม่พูดจบ เราจึงเลือกที่จะก้มหน้าลงและเดินไปทำงานบ้านเงียบๆ มาจนถึงวันที่เราจะไปแข่ง เราตื่นเช้ามาเตรียมตัว บอกกับพ่อแม่ด้วยอารมณ์ที่สดชื่นแจ่มใส "แม่ค่ะ วันนี้หนูจะไปเข้าแข่งขันแล้วนะ" แม่หันมาด้วยความไม่สบอารมณ์ พร้อมหัวเราะประชดดังๆ "ถ้าน้ำหน้าอย่างเธอเนี่ยนะไปแข่งกับเขาได้ ถ้าได้ที่1มานะ กูยอมกราบฟ้าดินเลย" เราได้แต่เม้นปากก้มหน้าลง ก่อนจะเดินไปโรงเรียน เราแค่หวังว่าจะได้กำลังจากพ่อแม่สักคำ แต่เราไม่เคยได้เลย ระหว่าทางเราเดินไปโรงเรียนก็ผ่านบ้านรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาก็เข้าแข่งขันเหมือนกัน แต่แค่แข่งคนละอย่างกับเรา เราเห็นแม่เขาจัดชุดคอปกชุดนักเรียนของรุ่นน้อง ให้ดูเรียบร้อย

"อะแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว​ วันนี้ลูกไปแข่งก็ทำให้เต็มที่นะ แม้จะไม่ได้ที่หนึ่งมา ก็ไม่เป็นไร ขอให้ลูกทำสุดความสามารถก็พอ ปีนี้ขว้าที่1มาไม่ได้ ปีหน้าก็ค่อยเอาใหม่"
"คับแม่ งั้นผมไปแล้วนะคับ" คนเป็นแม่กอดให้กำลังใจรุ่นน้องคนนั้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะปล่อยให้ไปโรงเรียน เราได้แต่ก้มหน้า น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ มันค่อยๆหยดลงพื้นทีละหยด เราได้แค่อิจฉา อิจฉาเหลือเกิน ทำไมเราไม่มีแม่ที่เป็นแบบเขาบ้างนะ เราร้องให้ตลอดทางที่เดินไปโรงเรียน แต่เราก็ต้องเช็ดน้ำตา วันนี้จะทำให้เต็มที่ แม้ไม่มีใครให้กำลังใจเรา แต่เราก็จะให้กำลังใจตัวเอง เอง

และวันนั้นเรา ก็ขว้าที่1มาจนได้ เราดีใจมาก เรารีบกลับบ้านเอารางวัลไปอวดพ่อแม่ พ่อแม่ต้องดีใจแน่ๆ และเราก็ยังหวัง หวังว่าพ่อแม่จะยินดีกับเรา หวังแล้วหวังอีก ผิดหวังแล้วผิดหวังอีก ทำไมตอนนั้นเราถึงยังไม่เข็ดหลาบ เราเอาใบประกาศนีบัตร ให้พ่อกับแม่ดู แม่แค่หัวเราะเยาะเล็กน้อย "อืม ก็ถือว่ามีความสามารถ" แม่พูดแค่นี้ ความหวังที่เราจะได้คำชมสักคำ กลับได้แค่คำนี้

​แต่เล็กจนโต เราไม่รู้ว่าเราวาดหวังมาแล้วกี่ครั้ง และผิดหวังมาแล้วกี่ครั้ง แม้แต่ในงานจบการศึกษา ระดับ ปวช  พวกเขาก็ไม่มาแสดงความยินดีด้วย เราได้แต่เห็นพ่อแม่คนอื่นซื้อช่อดอกไม้มามอบให้ แต่เรากลับไม่มีใครสักคนเลย ครอบครัวเพื่อนๆต่างถ่ายรูปร่วมกันแสดงความยินดี ส่วนเราก็มีแค่ถ่ายรูปตัวเองคนเดียว ยังมีเหตุการณ์อีกมากมาย ที่ทำเราผิดหวัง พอเราเริ่มโตเป็นสาวพวกเขาชอบบงการชีวิตเรา แม้แต่เพื่อน และแฟน ต้องผ่านสายตาและการประเมินของพวกเขาเท่านั้น เราถึงจะคบหาได้ เรามีชีวิต แต่ก็เหมือนชีวิตนี้ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพวกเขา พวกเขาเลือกเพื่อนให้เราคบ เลือกแฟนให้เรารัก เรารู้สึกเหมือนไม่ต่างจากหุ่นเชิดตัวหนึ่ง คือเพื่อนก่อหน้านี้ที่เราเคยเลือกคบ เขามีโรคประจำตัวค่ะ เป็นโรคทางพันธุกรรมนะค่ะ แต่พ่อแม่ไม่ให้คบ เพราะกลัวเราจะติดโรคจากเพื่อน ประมาณว่ารังเกียจเพื่อนเรานั่นแหละค่ะ หรือแฟนที่เราคบ ไม่ว่าจะคบหาไปแล้วกี่คนๆ พวกเขาก็ไม่เห็นด้วย จนตอนนี้ เราอายุ20ปลายๆแล้ว พวกเขายังควบคุมยังกับเด็กอายุ15😂😂 เราก็เคยคิดนะ ว่าเราจะไม่แต่งงาน จะอยู่เป็นม่าย พวกเขาจะได้ไม่กังวลอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่