กระทู้นี้อาจจะขอท้าวความถึงกระทู้ก่อนหน้าสักเล็กน้อย เพราะถือเป็นหนึ่งในที่มาของความต้องการตุ๊กตา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/43298472
ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา รู้สึกว่าตัวเองเจออะไรที่มันทำให้ผิดหวัง เสียใจมาก จากหลายคน หลายกลุ่ม จากคนไว้ใจ จากคนที่เราไม่คิดว่าจะทำแบบนี้กับเรา จากคนที่เคารพนับถือ
ปกติ คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงพอสมควร รับมือกับความเครียด กดดัน ผิดหวัง เสียใจ ได้ดี ปล่อยวางได้ และคิดว่าตัวเองมีเครื่องมือหลายอย่างในการจัดการกับความรู้สึกด้านลบ ทั้งการมีกลุ่มเพื่อนที่ดี การภาวนา การปล่อยวาง การอภัยการมองชีวิต การปลง ใด ๆ สารพัด รวมถึงการมองโลกในแง่ดีตลอดมา
แต่บังเอิญช่วงสองสามปีที่พูดถึงนี้ เรื่องมันมาหลายแบบ หลายเหตุการณ์ หลายกลุ่มคน หลายแง่มุม ทั้งเรื่องมิตรภาพ การว่าร้ายลับหลัง มันเสียทั้งใจ ทั้งเวลา ทั้งเงิน และเกือบเสียงานไปด้วย มันหลายอย่าง หลายวงจนเยียวยาตัวเองไม่ทัน
มันเหมือนคุณโดนมีดหนึ่งเล่มปักหลัง คุณยังเดินต่อได้ แต่เวลาโดนทีละสามสี่เล่มไล่ปักมาเรื่อย ๆ แบบแผลเก่าก็ยังไม่หาย แผลใหม่ก็โผล่ขึ้นมา อันนี้ มันเลยออกจะเกินเบอร์ตัวเองไปสักนิด
ที่สำคัญ มันมีหลายครั้งที่เราก็ไม่กล้าจ้องตากับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะส่วนตัวเป็นคนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก หลาย ๆ ครั้งยอมเสียเงิน ยอมเสียเปรียบ ยอมเหนื่อย ยอมให้มากกว่า ยอมไม่ถือสา เพื่อประคองความสัมพันธ์ บางที เราแทบ “ไม่เคยอนุญาต” ให้ตัวเองมองคนอื่นไม่ดี บางทีเค้ายังไม่ทันอธิบายเลย แต่เราชิงลงมือหาเหตุผลในแง่ดีมาอธิบายการกระทำทางลบของเค้าไปก่อนเสียแล้ว
แต่มันก็ถึงจุดที่ “สายน้ำเย็น” อย่างดิฉันต้องกลายเป็นสึนามิ และความเสียใจ ผิดหวังที่เก็บไว้และค่อย ๆ ทบเป็นชั้น เป็นชั้น พอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนบางที เวลานึกถึงบางเรื่อง ถึงขั้นอยากอาเจียน หรือความเครียดพุ่งเงียบ ๆ ในใจ เพราะบางเรื่องที่เกิดขึ้น มันมีหลายมิติมาก หลายเรื่อง หลายคน และเกี่ยวพันกับเรื่องความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ฉันคนนับถือ แล้วมันเกี่ยวพันกับงาน และการลงทุนที่เสียไปแล้วเยอะมาก ตอนนั้น ยังมองไม่เห็นทางด้วยว่าจะแก้ปัญหายังไง
คือ มันไม่ได้เห็นชัด หรือไม่ได้ปึงปึงโวยวายออกมา ดิฉันก็ยังเป็นลูกพี่ที่คุยกับลูกน้อง เป็นฝ่ายปลอบใจไม่ให้ใจเสียไปกับความเสียหาย หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพื่อนที่พร้อมรับฟัง และเหมือนจะยังเข้าใจอะไรต่าง ๆ ได้ดี อารมณ์ไม่มีกระฉอกเท่าไร
ไปกินข้าวกับเพื่อน นั่งภาวนา หรือไปทำบุญ ความรู้สึกด้านลบก็ไม่ได้โผล่ออกมา ยังแน่ใจว่า ไม่ปล่อย “พลังลบ” ออกมารบกวนคนอื่นแน่นอน ยังหัวเราะเต็มเสียง เวลากรวดน้ำ แน่ใจได้เลยว่า มีกระแสเมตตาอย่างที่ตั้งใจจริง ๆ เป็นที่ปรึกษาให้เพื่อน ให้ลูกน้องได้ ปลุกปลอมทีมได้ตามปกติ รุ่นน้องก๊วนทำบุญ ก็ยังเคยบอกว่าดูไม่ออก (ใช่ค่ะ ในบางสถานการณ์ ดิฉันเก็บกาย วาจาได้ดีพอสมควร)
แต่ความรู้สึกเครียดสะสมที่เป็นชั้นบาง ๆ ที่เป็นตะกอนในใจ นี่มันกลับโผล่ออกมาในรูปแบบอื่นที่บางเบาซับซ้อนกว่านั้น คือ ดิฉันจะตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสามตีสี่ แล้วรู้สึกเครียดในใจ ไม่รู้ว่าเครียดเรื่องอะไร (ในใจคงมัวแต่งง ว่า จะหยิบเรื่องไหนมาเครียดก่อนดี)

ยังไม่อยากลุกจากเตียง แต่นอนก็กระสับกระส่ายไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาต้องลุกจริง ๆ
คือ บางคนอาจจะมีปัญหานอนไม่หลับ แต่ดิฉันนอนหลับได้ด้วยการพยายามหายใจลึก ๆ ช้า ๆ หลายครั้งแล้วผล็อยหลับไป แต่การสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกเครียดแบบจับไม่ได้แน่ชัดว่าเครียดอะไร ทำให้จิตใจเสื่อมโทรม และช่วงบ่ายร่างกายเปลี้ยเบลอไปพอสมควรทีเดียว บางครั้งเวลานั่ง ๆ อยู่รู้สึกเหมือนมันเศร้า อยากร้องไห้ หรือรู้สึกความผิดหวังเสียใจ (ในเรื่องอะไรก็ไม่แน่ชัด เพราะพยายามไม่คิดถึงมันเลย) ก็ตีตื้นขึ้นมาจนต้องเอามือทาบหัวใจเอาไว้
หนักสุดคือ ไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วคุยกันสนุกมาก ตอนขับรถกลับ อยู่ ๆ เราก็เกิดเสียศูนย์ไปซะงั้น ตั้งใจจะขับรถเข้าปั๊มเติมน้ำมัน มือหักเลี้ยวพวงมาลัยเข้าโกดังไทยน้ำทิพย์ซะงั้น เห็นยามทำหน้าแปลก ๆ แล้วเราจ้องตากับยาม แล้วเกิด “เบลอ” ว่าตัวเองทำไมถึงเลี้ยวเข้ามา
ตอนเย็นวันนั้นไปรับลูกคนโต ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ไม่โอเคแล้วนะ
ก็เล่าให้ลูกฟังว่า บางที เรารู้สึกแปรปรวน เสียใจ ความเศร้า กระวนกระวาย ตีขึ้นมา จนต้องเอามือมากุม มาทาบที่หัวใจบ่อย ๆ มันเหมือนจะผวานิด ๆ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้
ลูกคนโตมองหน้า แล้วก็เล่าว่า “ลูกเพิ่งอ่านงานของ Hawthorne หม่ามี้เหมือนตัวละครบาทหลวงในเรื่อง The Scarlet Letter เลยที่ทำผิด แล้วบางที ความสำนึกมันตีขึ้นมาจนเจ็บปวดต้องเอามือมากุมหน้าอกบ่อย ๆ”
ดิฉันก็ตอบลูกไปว่า สำหรับตัวเองแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกผิดนะ แต่มันเหมือนปน ๆ กันระหว่างความกลัว ความโกรธ กระวนกระวาย เสียใจ ผิดหวัง ปน ๆ กันจนบางทีใจเต้นไม่เป็นจังหวะหรือมันเหมือน “ใจเสีย” หรือผวาขึ้นมาซะเฉย ๆ
จำได้ลาง ๆ ว่า ตอนลูกดิฉันยังเล็ก หม่าม้าเคยแนะดิฉันว่า ให้เย็บหมอนใบเล็ก ๆ เบา ๆ สำหรับวางบนหน้าอกลูก เวลาเด็กตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการผวา มีอะไรให้กุมอยู่ตรงอกจะช่วยให้อบอุ่นใจขึ้น
ดิฉันเลยบอกลูกไปว่า ถ้ากลับไปที่หอ ไปเดินในห้างแล้วซื้อตุ๊กตาให้แม่หน่อย
เย็นนั้น ดิฉันก็กลับมาบอกกับสามีว่าอยากได้ตุ๊กตา ผู้ชายของดิฉันได้แต่หัวเราะเบา ๆ ด้วยหน้าตาที่อาจจะอ่านได้ว่า “อีกละ อยากได้ของมโนสาเร่ หาประโยชน์ไม่ได้มารกบ้านอีกละ บริจาคไปแล้วตั้งกี่ลัง ไม่ทันไร จะเอามาอีกละ”
เลยเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง และบอกว่าอยากได้ตุ๊กตามากอดกับอก เป็นวัตถุสร้าง “ความรู้สึกตัว ความอุ่นใจ” ในเวลาที่ผวาตื่นขึ้นมา เพราะเป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว หลายคืนที่ตื่นมาแล้วสะดุ้งต้องหันไปกอดสามีที่งัวเงียงง ๆ ว่าเป็นอะไร
อาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันออกไปเข้าสัมมนาที่สมัครไว้ กลับมาตอนค่ำ เจอนี่ตั้งอยู่บนโซฟา
ลูกสาวตั้งชื่อให้ว่า ชาร์ลี แล้วแอบมาบอกทีหลังว่า พ่อเค้าชวนลูกไปกินข้าวนอกบ้าน เพื่อที่จะได้ไป “ซื้อตุ๊กตาให้หม่ามี้ด้วย”
ตอนได้ตุ๊กตามา ลูกสาวเอาน้ำหอมของดิฉันฉีดให้ตุ๊กตา บอกว่า ได้กลิ่นที่คุ้นเคย หม่ามี้จะได้รู้สึกอุ่นใจ
คืนนั้น ดิฉันถือตุ๊กตาขึ้นไปนอนก่อน และเช่นเคยค่ะ สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่กว่าอีกตามเคย ตอนพบว่า ยังกอดชาร์ลีอยู่ รู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายพอที่จะพักผ่อนต่อไปได้
รู้สึกว่า ตุ๊กตาสร้าง “ความรู้สึกตัว” และเอาความรู้สึกตัวกลับมาอยู่ที่ฐานใจได้ดี พอรู้สึกตัวแบบชัดเจน ความกระวนกระวายไม่มีสาเหตุก็ค่อย ๆ หายไป ทำไปทีละชั่วขณะ รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ เวลาสำรวจใจตัวเองก็พบว่า สงบขึ้น เบิกบานขึ้น และลดความว้าวุ่นที่น่าจะมีต้นเหตุมาจากความเครียดสะสมและสถานการณ์การงานที่ยังไม่ลงตัวและเป็นใจได้ดี
เขียนมาซะยืดยาว เลยอยากจะมาแนะนำค่ะว่า
ตุ๊กตาเยียวยาจิตใจได้สำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน เผื่อใครเจอปัญหาเดียวกัน จะลองวิธีนี้บ้างก็ได้นะคะ
เมื่อดิฉันขอให้ลูกซื้อตุ๊กตาให้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ช่วงสองสามปีที่ผ่านมา รู้สึกว่าตัวเองเจออะไรที่มันทำให้ผิดหวัง เสียใจมาก จากหลายคน หลายกลุ่ม จากคนไว้ใจ จากคนที่เราไม่คิดว่าจะทำแบบนี้กับเรา จากคนที่เคารพนับถือ
ปกติ คิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูงพอสมควร รับมือกับความเครียด กดดัน ผิดหวัง เสียใจ ได้ดี ปล่อยวางได้ และคิดว่าตัวเองมีเครื่องมือหลายอย่างในการจัดการกับความรู้สึกด้านลบ ทั้งการมีกลุ่มเพื่อนที่ดี การภาวนา การปล่อยวาง การอภัยการมองชีวิต การปลง ใด ๆ สารพัด รวมถึงการมองโลกในแง่ดีตลอดมา
แต่บังเอิญช่วงสองสามปีที่พูดถึงนี้ เรื่องมันมาหลายแบบ หลายเหตุการณ์ หลายกลุ่มคน หลายแง่มุม ทั้งเรื่องมิตรภาพ การว่าร้ายลับหลัง มันเสียทั้งใจ ทั้งเวลา ทั้งเงิน และเกือบเสียงานไปด้วย มันหลายอย่าง หลายวงจนเยียวยาตัวเองไม่ทัน
มันเหมือนคุณโดนมีดหนึ่งเล่มปักหลัง คุณยังเดินต่อได้ แต่เวลาโดนทีละสามสี่เล่มไล่ปักมาเรื่อย ๆ แบบแผลเก่าก็ยังไม่หาย แผลใหม่ก็โผล่ขึ้นมา อันนี้ มันเลยออกจะเกินเบอร์ตัวเองไปสักนิด
ที่สำคัญ มันมีหลายครั้งที่เราก็ไม่กล้าจ้องตากับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะส่วนตัวเป็นคนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มาก หลาย ๆ ครั้งยอมเสียเงิน ยอมเสียเปรียบ ยอมเหนื่อย ยอมให้มากกว่า ยอมไม่ถือสา เพื่อประคองความสัมพันธ์ บางที เราแทบ “ไม่เคยอนุญาต” ให้ตัวเองมองคนอื่นไม่ดี บางทีเค้ายังไม่ทันอธิบายเลย แต่เราชิงลงมือหาเหตุผลในแง่ดีมาอธิบายการกระทำทางลบของเค้าไปก่อนเสียแล้ว
แต่มันก็ถึงจุดที่ “สายน้ำเย็น” อย่างดิฉันต้องกลายเป็นสึนามิ และความเสียใจ ผิดหวังที่เก็บไว้และค่อย ๆ ทบเป็นชั้น เป็นชั้น พอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนบางที เวลานึกถึงบางเรื่อง ถึงขั้นอยากอาเจียน หรือความเครียดพุ่งเงียบ ๆ ในใจ เพราะบางเรื่องที่เกิดขึ้น มันมีหลายมิติมาก หลายเรื่อง หลายคน และเกี่ยวพันกับเรื่องความสัมพันธ์ฉันเพื่อน ฉันคนนับถือ แล้วมันเกี่ยวพันกับงาน และการลงทุนที่เสียไปแล้วเยอะมาก ตอนนั้น ยังมองไม่เห็นทางด้วยว่าจะแก้ปัญหายังไง
คือ มันไม่ได้เห็นชัด หรือไม่ได้ปึงปึงโวยวายออกมา ดิฉันก็ยังเป็นลูกพี่ที่คุยกับลูกน้อง เป็นฝ่ายปลอบใจไม่ให้ใจเสียไปกับความเสียหาย หัวเราะกับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเพื่อนที่พร้อมรับฟัง และเหมือนจะยังเข้าใจอะไรต่าง ๆ ได้ดี อารมณ์ไม่มีกระฉอกเท่าไร
ไปกินข้าวกับเพื่อน นั่งภาวนา หรือไปทำบุญ ความรู้สึกด้านลบก็ไม่ได้โผล่ออกมา ยังแน่ใจว่า ไม่ปล่อย “พลังลบ” ออกมารบกวนคนอื่นแน่นอน ยังหัวเราะเต็มเสียง เวลากรวดน้ำ แน่ใจได้เลยว่า มีกระแสเมตตาอย่างที่ตั้งใจจริง ๆ เป็นที่ปรึกษาให้เพื่อน ให้ลูกน้องได้ ปลุกปลอมทีมได้ตามปกติ รุ่นน้องก๊วนทำบุญ ก็ยังเคยบอกว่าดูไม่ออก (ใช่ค่ะ ในบางสถานการณ์ ดิฉันเก็บกาย วาจาได้ดีพอสมควร)
แต่ความรู้สึกเครียดสะสมที่เป็นชั้นบาง ๆ ที่เป็นตะกอนในใจ นี่มันกลับโผล่ออกมาในรูปแบบอื่นที่บางเบาซับซ้อนกว่านั้น คือ ดิฉันจะตื่นขึ้นมาตอนประมาณตีสามตีสี่ แล้วรู้สึกเครียดในใจ ไม่รู้ว่าเครียดเรื่องอะไร (ในใจคงมัวแต่งง ว่า จะหยิบเรื่องไหนมาเครียดก่อนดี)
ยังไม่อยากลุกจากเตียง แต่นอนก็กระสับกระส่ายไปเรื่อย ๆ จนถึงเวลาต้องลุกจริง ๆ
คือ บางคนอาจจะมีปัญหานอนไม่หลับ แต่ดิฉันนอนหลับได้ด้วยการพยายามหายใจลึก ๆ ช้า ๆ หลายครั้งแล้วผล็อยหลับไป แต่การสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมความรู้สึกเครียดแบบจับไม่ได้แน่ชัดว่าเครียดอะไร ทำให้จิตใจเสื่อมโทรม และช่วงบ่ายร่างกายเปลี้ยเบลอไปพอสมควรทีเดียว บางครั้งเวลานั่ง ๆ อยู่รู้สึกเหมือนมันเศร้า อยากร้องไห้ หรือรู้สึกความผิดหวังเสียใจ (ในเรื่องอะไรก็ไม่แน่ชัด เพราะพยายามไม่คิดถึงมันเลย) ก็ตีตื้นขึ้นมาจนต้องเอามือทาบหัวใจเอาไว้
หนักสุดคือ ไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วคุยกันสนุกมาก ตอนขับรถกลับ อยู่ ๆ เราก็เกิดเสียศูนย์ไปซะงั้น ตั้งใจจะขับรถเข้าปั๊มเติมน้ำมัน มือหักเลี้ยวพวงมาลัยเข้าโกดังไทยน้ำทิพย์ซะงั้น เห็นยามทำหน้าแปลก ๆ แล้วเราจ้องตากับยาม แล้วเกิด “เบลอ” ว่าตัวเองทำไมถึงเลี้ยวเข้ามา
ตอนเย็นวันนั้นไปรับลูกคนโต ก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ไม่โอเคแล้วนะ
ก็เล่าให้ลูกฟังว่า บางที เรารู้สึกแปรปรวน เสียใจ ความเศร้า กระวนกระวาย ตีขึ้นมา จนต้องเอามือมากุม มาทาบที่หัวใจบ่อย ๆ มันเหมือนจะผวานิด ๆ ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้
ลูกคนโตมองหน้า แล้วก็เล่าว่า “ลูกเพิ่งอ่านงานของ Hawthorne หม่ามี้เหมือนตัวละครบาทหลวงในเรื่อง The Scarlet Letter เลยที่ทำผิด แล้วบางที ความสำนึกมันตีขึ้นมาจนเจ็บปวดต้องเอามือมากุมหน้าอกบ่อย ๆ”
ดิฉันก็ตอบลูกไปว่า สำหรับตัวเองแน่ใจว่าไม่ได้รู้สึกผิดนะ แต่มันเหมือนปน ๆ กันระหว่างความกลัว ความโกรธ กระวนกระวาย เสียใจ ผิดหวัง ปน ๆ กันจนบางทีใจเต้นไม่เป็นจังหวะหรือมันเหมือน “ใจเสีย” หรือผวาขึ้นมาซะเฉย ๆ
จำได้ลาง ๆ ว่า ตอนลูกดิฉันยังเล็ก หม่าม้าเคยแนะดิฉันว่า ให้เย็บหมอนใบเล็ก ๆ เบา ๆ สำหรับวางบนหน้าอกลูก เวลาเด็กตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการผวา มีอะไรให้กุมอยู่ตรงอกจะช่วยให้อบอุ่นใจขึ้น
ดิฉันเลยบอกลูกไปว่า ถ้ากลับไปที่หอ ไปเดินในห้างแล้วซื้อตุ๊กตาให้แม่หน่อย
เย็นนั้น ดิฉันก็กลับมาบอกกับสามีว่าอยากได้ตุ๊กตา ผู้ชายของดิฉันได้แต่หัวเราะเบา ๆ ด้วยหน้าตาที่อาจจะอ่านได้ว่า “อีกละ อยากได้ของมโนสาเร่ หาประโยชน์ไม่ได้มารกบ้านอีกละ บริจาคไปแล้วตั้งกี่ลัง ไม่ทันไร จะเอามาอีกละ”
เลยเล่าเรื่องนี้ให้สามีฟัง และบอกว่าอยากได้ตุ๊กตามากอดกับอก เป็นวัตถุสร้าง “ความรู้สึกตัว ความอุ่นใจ” ในเวลาที่ผวาตื่นขึ้นมา เพราะเป็นแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว หลายคืนที่ตื่นมาแล้วสะดุ้งต้องหันไปกอดสามีที่งัวเงียงง ๆ ว่าเป็นอะไร
อาทิตย์ที่ผ่านมา ดิฉันออกไปเข้าสัมมนาที่สมัครไว้ กลับมาตอนค่ำ เจอนี่ตั้งอยู่บนโซฟา
ลูกสาวตั้งชื่อให้ว่า ชาร์ลี แล้วแอบมาบอกทีหลังว่า พ่อเค้าชวนลูกไปกินข้าวนอกบ้าน เพื่อที่จะได้ไป “ซื้อตุ๊กตาให้หม่ามี้ด้วย”
ตอนได้ตุ๊กตามา ลูกสาวเอาน้ำหอมของดิฉันฉีดให้ตุ๊กตา บอกว่า ได้กลิ่นที่คุ้นเคย หม่ามี้จะได้รู้สึกอุ่นใจ
คืนนั้น ดิฉันถือตุ๊กตาขึ้นไปนอนก่อน และเช่นเคยค่ะ สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนตีสี่กว่าอีกตามเคย ตอนพบว่า ยังกอดชาร์ลีอยู่ รู้สึกอุ่นใจและผ่อนคลายพอที่จะพักผ่อนต่อไปได้
รู้สึกว่า ตุ๊กตาสร้าง “ความรู้สึกตัว” และเอาความรู้สึกตัวกลับมาอยู่ที่ฐานใจได้ดี พอรู้สึกตัวแบบชัดเจน ความกระวนกระวายไม่มีสาเหตุก็ค่อย ๆ หายไป ทำไปทีละชั่วขณะ รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ เวลาสำรวจใจตัวเองก็พบว่า สงบขึ้น เบิกบานขึ้น และลดความว้าวุ่นที่น่าจะมีต้นเหตุมาจากความเครียดสะสมและสถานการณ์การงานที่ยังไม่ลงตัวและเป็นใจได้ดี
เขียนมาซะยืดยาว เลยอยากจะมาแนะนำค่ะว่า
ตุ๊กตาเยียวยาจิตใจได้สำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน เผื่อใครเจอปัญหาเดียวกัน จะลองวิธีนี้บ้างก็ได้นะคะ