ครั้งหนึ่งในชีวิต (กว่าจะได้) พิชิตภูกระดึง>>>แชร์ประสบการณ์ขึ้นภูกระดึงหน้าร้อน 3 วัน 2 คืน [มีนาคม 2568]


ครั้งหนึ่งในชีวิต (กว่าจะได้) พิชิตภูกระดึง>>>แชร์ประสบการณ์ขึ้นภูกระดึงหน้าร้อน 3 วัน 2 คืน [มีนาคม 2568]




สวัสดีทุกคนที่ชื่นชอบภูกระดึง หรือมีความฝันว่าอยากจะลองไปพิชิตภูกระดึงให้ได้ซักครั้ง กระทู้วันนี้ก็ตามหัวข้อเลยค่ะ
โดยส่วนมากคนที่ไปเที่ยวภูกระดึงจะไปหน้าฝน หรือหน้าหนาว แต่ก็มีคนไม่น้อยหรอกที่ไปช่วงหน้าร้อน เราเองอะไรๆ ก็ลงตัวให้ไปก็เดือนมีนานี่แหละ (อยากไปตั้งแต่สมัยเป็นสาวน้อย ม.ปลาย จนตอนนี้เวลาผ่านมาน้านนนนาน)

ใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน ก็ชวนน้องลางาน จองตั๋วรถทัวร์ โดยเลือกวันไว้ว่าจะไปกัน 3 วัน 2 คืน ออกเดินทางจาก กทม. วันพุธที่ 5  มี.ค. ตอนกลางคืน แล้วไปเดินขึ้นภูเช้าวันพฤหัสฯ กลับลงมาอีกทีก็วันเสาร์

ประมาณตีห้าครึ่งขอวันที่ 6 รถทัวร์แอร์เมืองเลยก็มาจอดส่งเราที่ร้านเจ้กิม ไอ้เราที่ปักหมุดแผนที่ไว้ที่ผานกเค้า ก็เกือบจะได้นั่งรถเลยไปเมืองเลยแล้ว ใครที่ไม่เคยไปปักหมุดจุดลงรถไว้ที่ร้านเจ้กิมนะทุกคน T^T

^ วิวผานกเค้า จากร้านเจ้กิม



รถคันที่เรานั่งมามีคนจะไปภูกระดึงสองคนถ้วน (เรากับน้อง) แวะกินข้าว แปรงฟัน ที่ร้านเจ้กิม ที่ร้านเล่าให้ฟังว่าต้อนรับลูกค้าวันละ 3 คน มาสองวันแล้ว นั่งรอคนหารรถอีกหน่อยค่อยไปก็ได้ ในตอนที่เราจะเหมารถไปสองคน ก็มีสองสาวจากชลบุรีลงรถมาพอดี ทริปนี้ออกเดินทางจากร้านเจ้กิม 4 คนสวยๆ


พอถึงที่ทำการอุทยานก็เดินไปติดต่อซื้อประกันอุบัติเหตุ จองเต้นท์ ฟังบรรยายเพื่อความปลอดภัยจากช้างป่า ฝากกระเป๋าให้ลูกหาบ และเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวที่มาก่อนพวกเรา 2 คน ที่ฟังบรรยายจบเขาก็เดินขึ้นภูไปอย่างไว ส่วนเราสองคนพี่น้อง เน้นถึงช้าแต่ถึงนะ


^ เดินมาลงชื่อก่อนขึ้นภูที่จุดนี้



^ ต้องผ่านทั้งหมดนี่ กว่าจะถึงลานกางเต้นท์


หลายๆ คนคงจะทราบกันดีว่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ภูกระดึงเปิดให้เที่ยวได้แค่โซนหน้าผา งดกิจกรรมดูพระอาทิตย์ขึ้น และงดเที่ยวโซนน้ำตก เพราะป้องกันอันตรายจากช้างป่า ถึงจะน่าเสียดาย แต่ก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัยเนอะ ส่วนเราทริปนี้แค่อยากเดินให้เหนื่อย มาสลัดเรื่องงานออกจากหัวก่อนที่จะเป็นบ้าก็คุ้มแล้ว


^ 7 โมงนิดๆ ระหว่างทางขึ้นไปซำแฮก ป่าเต็งรังหน้าแล้ง ใบไม้ร่วงหมดแล้ว



ซำแฮก เคยได้ยินมีคนบอกว่า ซำหมายความว่าที่ๆ มีน้ำซึมออกมาจากหิน/พื้นดิน แต่ตอนเดินขึ้นเจอลุงที่เปิดร้านขายของที่ระลึกกำลังเดินไปเปิดร้าน แกบอกว่า มันไม่ได้มีน้ำทุกซำนะ ลุกว่ามันน่าจะหมายถึง “ซำนี่“ ภาษาอีสาน ที่แปลว่า “ที่นี่/แค่นี้“  ซะมากกว่า


ไม่ได้หยุดที่นี่นาน เพราะยังไม่เหนื่อยมาก มีร้านค้าเปิดอยู่ห้าร้าน เราซื้อทุกร้าน อุดหนุนๆ วันนี้นักท่องเที่ยวคงไม่เยอะหรอก


^ กองหินตรงนี้เชื่อว่าหลายๆ คนคงแวะเรียงหิน (เพื่ออะไรไม่ทราบได้)


ระหว่างทางเสียงแมลงที่ไม่รู้เหมือนกันว่าใช่จิ้งหรีด หรือตัวอะไรคล้ายๆ กัน เสียงดังมาก จนได้ยินแล้วปวดหัวจี๊ดๆ


^ กว่าจะถึงแทบจะเป็นลมแดด  555555555 แต่ป่าช่วงนี้เปลี่ยนเป็นป่าดิบแล้งแล้ว แดดก็จะส่องไม่แรงเท่าชั้นล่างๆ


เดินไป พักไป แวะซื้อของกินทุกซำ อุดหนุนแม่ค้าในวันเหงาๆ เรากับน้องขึ้นมาเป็นคู่ที่สอง สองคนก่อนหน้าเขาไปนานแล้ว พอแดดร้อนๆ ก็แวะร้านค้างีบไปทีเหมือนกัน รู้ตัวอีกทีมีสองสาวที่เหมารถมาด้วยกัน กับคู่แฟนหนุ่มสาว ตามมาทันมาพักกินข้าว ส่วนเราที่พักนานแล้วก็ออกเดินต่อ


แวะกินข้าวที่ซำแคร่ ซำสุดท้ายก่อนขึ้นหลังแป คุยกับลุงร้านแรก ถามแกว่าถ้าเทียบช่วงเดียวกันนี้กับปีที่แล้วต่างกันมากไหม แกบอกว่าปีนี้คนน้อยมากๆ เพราะเกิดเหตุการณ์เมื่อปลายปี วันนี้มีคนขึ้นภูแค่ 8 คน ปกติก็ไม่เคยต่ำกว่าร้อยคน เมื่อตอนปีใหม่นักท่องเที่ยวขึ้นภูแค่ 150 เอง ปีก่อนๆ มีนักท่องเที่ยวราวห้าพันคนได้มั้ง ก็หวังว่าเปิดภูปีหน้าจะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม


รูปถ่ายระหว่างทางขึ้นหลังแปไม่มี เหนื่อยมาก ไม่มีอารมณ์ถ่าย คิดแต่ว่าเดินมากี่เมตรแล้ววะเนี่ย ใกล้ถึงยัง บันไดตรงแหน่วนั่นมันอยู่ไหน


^ ถึงล่ะ ขึ้น 7 โมง ถึงบ่ายสอง เน้นออกก่อน ถึงทีหลัง


ทีแรกคิดว่ามาหน้าร้อนเผื่อมาเจอดอกไม้ป่า แต่ระหว่างทางก็ไม่มี เจอกล้วยไม้ที่ยังไม่ออกดอกไม่กี่ต้น ไม่รู้ว่าโซนน้ำตกที่ปิดไม่ให้เที่ยวจะเป็นยังไง



^ จากหลังแป เดินไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางอีก 3.5 กิโล ทางราบ ตรง ทราย ไม่ต้องเดินขึ้นเขา แต่รู้สึกทรมานมาก นี่ขนาดแดดไม่ร้อนมากนะ เดินไปมองข้างทางไป เผื่อโป๊ะ เจอพี่ใหญ่ออกมาเดินเล่น แต่ก็โชคดีที่ไม่เจอ ระหว่างทางมีเจ้าหน้าที่ขี่มอไซค์วนดูจนเราเกือบถึงศูนย์บริการฯ


ติดต่อเต้นท์กับเครื่องนอนเสร็จ ก็นอนรอกระเป๋าจากลูกหาบ เหนื่อยเกินกว่าจะไปอาทิตย์ตก  คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้ (ช่วงนี้ดูพระอาทิตย์ตกได้ที่ผาหมากดูกเท่านั้น ผาหล่มสักที่เป็นจุดไฮไลท์งดเข้าหลังสี่โมงเย็น)


จบวันด้วยเมนูยอดฮิต หมูกระทะ ที่ต้องขึ้นมากินถึงภูกระดึง ทั้งร้านมีลูกค้าอยู่โต๊ะเดียว มันก็จะเหงาๆ หน่อย


ความว้าวมันอยู่พรุ่งนี้ค่ะทุกคน เพราะวันที่ 6-8 มีนา พายุฤดูร้อนเข้าพอดี ตีสามฝนตกจริงๆ ได้ยินเสียงเปาะแปะดังกระทบเต้นท์จนเช้า เปิดเต้นท์ออกไปฝนมันหยุดไปแล้ว แต่หมอกสีขาวฟุ้งที่ลอยอยู่เต็มยอดภูต่างหากที่ส่งเสียงอยู่ตอนนี้


^ เดินออกมานอกเต้นท์ก็เป็นภาพแบบนี้เลย พี่ที่ร้านค้าบอกว่าเขาเรียก “หมอกช้าง“ ปีนึงจะมีแบบนี้อยู่หรอก ซักครั้งสองครั้ง นี่เป็นครั้งแรกของปีนี้


^ แวะหาอะไรง่ายๆ กินตอนเช้าที่ร้านเดิมกับเมื่อวาน เช้านี้เราสองคนก็เป็นลูกค้ากลุ่มเดียวเหมือนเดิม


ถึงหมอกจะหนา แต่เราเที่ยวได้แค่วันนี้แล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าจะเดินไปให้ถึงผาหล่มสัก เผื่อสายๆ หมอกนี่จาง เราอาจจะเห็นทะเลหมอกแบบที่มองลงไปตรงหน้าผาแล้วเห็นหมอกขาวๆ เต็มไปหมดก็ได้ (ฝันหวานไปเอง พี่ที่ร้านค้าบอกแล้วล่ะว่าไม่มีหรอก เป็นแบบนี้ทั้งวันนั่นแหละ) และนี่คือรูปที่ถ่ายได้ระหว่างเดินไปผาหล่มสัก


^ รู้สึกเหมือนเดินอยู่ในดินแดนลึกลับเลยไหมล่ะ


^ ทั้งสวย ทั้งหลอน ><


^ ตรงนี้เป็นหน้าผา แต่มองลงไปไม่เห็นอะไรเลย


ออกเดินกันต่อ กับหมอกที่ถูกพัดไหลเข้ามาจากทางหน้าผา

บางช่วงหมอกหนาๆ แบบนี้เลย



^ ข้างหลังนั่น ก็หน้าผา


^ ตรงกลางภาพไม่ใช่สิ่งลี้ลับ แต่เป็นน้องของเราเอง


^ ผาเหยียบเมฆ คือที่ๆ หมอกลงหนาสุด

^ เงาฝั่งซ้ายในรูปที่อยู่หลังเรา ไม่ใช่สิ่งลี้ลับแต่อย่างใด พี่เจ้าหน้าที่ที่ขับรถตามดูพวกเรามาตลอดทางตั้งแต่ผาหมากดูก เพราะวันนี้มีนักท่องเที่ยวเหลือบนภูแค่ 8 คน และมีแค่สองคนนี้ที่ออกมาเดิน เจ้าหน้าที่ก็เลยต้องตามมาดู (มาทำเจ้าหน้าที่ลำบากอีก ขอโทษนะคะ) สายๆ มีสองสาวที่เจอเมื่อวานขี่จักรยานออกมาเหมือนกัน ตามมาทันที่ผาแดง ทางนั้นก็มีร้านเช่าจักรยานคอยปั่นตามเหมือนกัน แวะกินขนม นั่งเมาท์กับป้าเจ้าของร้านแล้วก็ไปต่อ


ถึงผาหล่มสักบ่ายโมงพอดี มีร้านข้าวเปิดหนึ่งร้าน อาหารหน้าตาสวย แล้วก็อร่อยด้วย โซนหน้าผาร้านค้าเปิดสามจุด แวะกระจายรายได้กันทุกจุด


ช่วงบ่ายโมง มีแดดอ่อนๆ ออกมาแว๊บนึง ก็เลยพอมองเห็นวิวข้างล่างแล้ว แต่พอหลังบ่ายสองเราออกจากผาหล่มสักหมอกก็กลับมา พระอาทิตย์อยู่ตรงจุดไหนแล้วก็ไม่รู้

จบวันที่สองไปแบบเท้าพัง และอากาศหนาวๆ (14 องศา สำหรับเราก็ไม่หนาวเท่าไหร่ แต่ถ้าคนไม่ทนหนาวอย่างน้องเราก็ลำบากอยู่)

วันนี้มีคนขึ้นภูหกสิบกว่าคน ร้านข้าวเริ่มมีลูกค้าร้านละ 2-3 โต๊ะ


วันที่ 8 มีนา ต้องกลับแล้ว เจ้าหน้าที่ให้ลงจากภูได้ตอน 8 โมง เพราะต้องสำรวจเส้นทางให้เสร็จก่อนถึงจะให้นักท่องเที่ยวเดินผ่านได้ และเช่นเคย เน้นลงก่อนถึงทีหลังอีกล่ะ วันเสาร์มีคนขึ้นมาเยอะพอสมควร ทั้งคนที่จะค้าง และคนที่มาวิ่งเทรล (โดนคุณลงคนนึงวิ่งน็อครอบไปสองรอบ)


ขากลับตั้งใจไปนั่งรถไฟที่ขอนแก่น เพราะจะทำมิชชั่นเก็บตราประทับสถานีรถไฟ (ใครจะไปขอนแก่นก็บอกรถสองแถวแดงว่าไปร้านเสงี่ยมฟาร์มนะ)



ขอจบรีวิว ภูกระดึงหน้าร้อนที่มีพายุเข้าแค่นี้นะ (อันนี้ขอนับว่าตัวเองโชคดีที่ฝนตก) หวังว่าถ้าเปิดให้เที่ยวได้ครบทุกจุดบนภูจะได้กลับไปอีก และหวังว่ากระทู้นี้จะพอเป็นประโยชน์บ้างสำหรับคนที่หาข้อมูลภูกระดึงเดือนมีนา ^^ บ๊ายบาย


Ps. ทริปนี้ไม่ได้ดูทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตก หมอกหนาๆ แดดไม่ตกกระทบเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่