จากหลักฐานทางบัญชีที่ การบินไทย รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า มีการรับเงินสดจากการจำหน่ายหุ้นทุนซื้อคืน จำนวน 22,987 ล้านบาท หากแปลงเป็นหุ้นที่ราคา 4.48 บาทต่อหุ้นจะได้หุ้นประมาณ 5131 ล้าน หุ้น ในจำนวนนี้หากแยกแยะ น่าจะได้ตัวเลขประมาณดังต่อไปนี้ คลัง 4701 ล้านหุ้น ผู้ถือหุ้นเดิมอื่นๆ 5049-4701 =348 ล้านหุ้น  พนักงานการบินไทย 59.5 ล้านหุ้น  บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง spi 22.3 ล้านหุ้น นาย วิชัย กุลสมภพ 0.25 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้น ประมาณ 5131 ล้านหุ้น แต่เนื่องจาก อาจจะเป็นการซื้อขายแบบมีเงื่อนไข ให้การบินไทยซื้อคืนได้ แต่ในรายละเอียดของสัญญาว่า การซื้อคืนนี้ จะดำเนินการเมื่อใด และ ที่ราคาเท่าใด มิอาจทราบได้ และ option ในการเลือก ว่าจะ ซื้อคืนเวลาใด ที่ราคาเท่าใด ใครเป็นผู้เลือก เพราะถ้าหาก ผู้ซื้อเป็นผู้เลือก ผู้ซื้อจะได้เปรียบมหาศาลแม้จะมีเงื่อนไข ราคาไม่ต่ำกว่า 4.48 บาทต่อหุ้นก็ตาม เพราะ เมื่อการบินไทย เปิดซื้อขายได้  ถ้าราคาสูงกว่า 4.48 บาท ผู้ซื้อก็ขายได้กำไร ถ้าขาดทุน ก็เรียกให้การบินไทยซื้อคืน เช่นเดียวกับกรณี คณะผู้ทำแผนฟื้นฟู ไปกำหนด option ให้เจ้าหนี้สามารถเลือกจะขอแปลงหนี้เป็นทุนที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น และดอกเบี้ยตั้งพัก ในส่วนการแปลงหนี้ภาคสมัครใจ
อาจจะเป็นการสร้างความเสียหายอันใหญ่หลวงแก่ ผู้ถือหุ้นเดิมเป็นอย่างยิ่ง แล้วผู้ถือหุ้นเดิมคือใคร เกินกว่า 60% เป็นกระทรวงการคลัง และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ นั่นใช่ ภาษีของประชาชนหรือไม่  และถ้าหาก กระทรวงการคลัง มีการโอนเงิน ประมาณ 20,000 ล้านบาทเศษให้ การบินไทยจริงแล้วล่ะก็ รมต. คลังช่วยประกาศให้สาธารณชน ได้ทราบ วันเวลา สถานที่ ประชุม ครม ที่อนุมัติให้ คลังซื้อหุ้นเพิ่มทุนการบินไทยให้ทราบด้วย เพราะนั่นคือเงินภาษีของประชาชนที่ต้องแลกมาด้วยการทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ถ้าหากมีการทำกิจการใดไม่โปร่งใส เพราะมีอะไรแอบแฝง สุดท้าย กฎแห่งกรรม จะทำหน้าที่ของมันอย่างแน่นอน โปรดสำเหนียกเอาไว้ด้วย ท่านสาธุชนทั้งหลาย