นิราศเมืองแกลง : อ่านใหม่

กระทู้สนทนา
นิราศเมืองแกลง : อ่านใหม่

กรมศิลปากร เมื่อพิมพ์นิราศนี้ป็นครั้งที่ ๑๓ (๒๕๑๑ ฌาปณกิจนางสำลี เกิดลาภผล) ระบุว่าพิมพ์ครั้งแรก ๒๔๑๗ โรงพิมพ์ครูสมิท 
บางคอแหลม นิราศจึงต้องแต่งก่อนปีนี้ขึ้นไป แต่จะก่อนขึ้นไปช้านานสักเท่าใด เนื้อหาภายในจะเป็นเครื่องกำหนด 
ในการอ่านใหม่นี้ จะใช้พระนิพนธ์สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่องประวัติสุนทรภู่เป็นหลัก เพราะเป็นสำนวนที่ถูกอ้างอิง
เป็นมาตรฐาน https://vajirayana.org/พระอภัยมณี/ประวัติสุนทรภู่ พบข้อโต้แย้ง ดังนี้

"ฉันชื่อภู่"
เชื่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ว่า นิราศเมืองกลงแต่งโดยสุนทรภู่ สมเด็จฯ วินิจฉัยว่า เป็นนิราศเรื่องแรกของกวี และเนื่องจากมีศิษย์ติด
ตาม ๒ คน ท่านก็คงจะมีชื่อเสียงบ้างแล้ว จึงทรงเลือกเรื่องโคบุตรว่าเป็นผลงานก่อนนิราศนี้ เพราะในโคบุตรมีคำกลอนว่า "ฉันชื่อ
ภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง" สำนวนคล้ายกันเช่นนี้ พบอีกในสุภาษิตสอนหญิง "ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง" ก็ทรงเห็นว่าเป็นงานของ
สุนทรภู่ในปี ๒๓๘๐ อีกเช่นกัน

หากแต่งในเวลานั้นจริง ท่านยังบวชอยู่ จะเรียกตัวเองว่า "ภู่" ราวกับเป็นคฤหัสถ์ได้อย่างไร
เพียงเริ่มต้น พระวินิจฉัยก็บกพร่องเสียแล้ว

แท้จริง สุภาษิตสอนสตรี เป็นผลงานของนายภู่อีกท่านหนึ่ง มีประวัติว่า
https://thailitdir.sac.or.th/cre_det.php?cr_id=119
ภู่ นกกระจาบ นั้น  มีชื่อจริงว่า ภู่  จุลละภมร  สันนิษฐานว่าเป็นกวีในสมัยรัชกาลที่ 3  เคยเป็นผู้บอกสักวาร่วมวงกับคุณพุ่ม  
(บุษบาท่าเรือจ้าง)  เคยเป็นศิษย์ของสุนทรภู่เมื่อครั้งบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เคยเป็นเจ้าอาวาส
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร  ได้สมณศักดิ์เป็นพระธรรมทานาจารย์ พระราชาคณะฝ่ายคันถธุระและเป็นเจ้าอาวาสรูปที่ 2 ของวัด  
ต่อมาเมื่อสิ้นรัชกาลที่ 3  ในพ.ศ.2394  ได้ลาสิกขามารับราชการอยู่ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว  และประกอบอาชีพ
ค้าขายด้วย  เพราะมีปรากฏในนครกายคำกลอนว่า  “นายภู่อยู่เรือเที่ยวค้าขาย”
ผลงาน / งานประพันธ์
1.  สุภาษิตสอนสตรีคำกลอน
2.  นครกายคำกลอน
3.  นกกระจาบคำกลอน
4.  พระสมุทรคำกลอน
5.  จันทโครบคำกลอน
6.  มงคลทีปนีคำกลอน
7.  พระรถนิราศ
ผู้เรียบเรียง ณัฐกาญจน์ นาคนวล, เทพ สุนทรศารทูล

ส่วนเรื่องผู้ติดตามทั้งสอง ไม่มีข้อความอะไรในกลอนชวนให้เข้าใจว่าเป็นศิษย์ ทรงคิดไปเองทั้งนั้น

"ภุมรินถวิลหา ...ต่างถ้อยสุนทรวอน"
กลอนเปิดนิราศมีข้อความว่า "ไม่เหมือนเราภุมรินถวิลหา จะพลัดพรากจากกันไม่ทันลา ใช้แต่ตาต่างถ้อยสุนทรวอน" 
คำว่า "สุนทร" นั้น บอกอายุสมัยได้ ทรงวินิจฉัยไว้เองว่าในปี ๒๓๕๙ เกิดเหตุบัตรสนเท่ห์กรมหมื่นศรีสุเรนทร ทำให้ทรงโปรด
สำนวนกลอนของนายภู่ จึงได้เข้ารับราชการเป็น "ขุนสุนทรโวหาร" คำว่า "สุนทร" จึงมาในรัชกาลที่สองเป็นอย่างเร็ว
หากนิราศแต่งปลายรัชกาลที่หนึ่ง ก็ไม่ควรมีการใช้คำว่า "สุนทร" 

กรมพระราชวังหลังทิวงคต
สมเด็จฯ ทรงระบุว่า "ติดเวรจำอยู่ไม่ช้านัก ทำนองจะพ้นโทษเมื่อกรมพระราชวังหลังทิวงคตใน พ.ศ. ๒๓๔๙ สุนทรภู่จึงออกไป
หาบิดาที่เมืองแกลง" พระมตินี้ขัดแย้งกับพระราชพงศาวดาร เพราะกวีออกจากบางกอกก่อนทรงพระประชวรเสียอีก
นิราศกินเวลาตั้งแต่เดือนเจ็ดถึงเดือนเก้า ส่วนการประชวรเกิดในเดือนสิบจนทิวงคตในเดือนอ้าย หลังไปเมืองแกลงกว่าครึ่งปี 
พงศาวดารจดว่า "เดือน ๑๐ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายหลังทรงพระประชวร...ณ วันเสาร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๐ ค่ำ เวลาบ่าย 
๔ โมง ทิวงคต" เวลาคลาดกันกว่า ๓ เดือน ทฤษฎีวังหลังทิวงคตจึงแต่งนิราศเมืองแกลง ย่อมเป็นไปไม่ได้ 
การตีความจึงผิดพลาดอย่างร้ายแรง

การค้าประเวณีที่สำเพ็ง
"ถึงสำเพ็งเก๋งตั้งริมฝั่งน้ำ แพประจำจอดเรียงเคียงขนาน มีซุ้มซอกตรอกนางจ้างประจาน ยังสำราญร้องขับไม่หลับลง" 
ในคำบรรยายให้รายละเอียดว่า นางประจานให้บริการทั้งคืน มีทั้งในแพเก๋งริมน้ำและในตรอกในซอกด้วย ประการสำคัญที่สุดก็คือ
"นึกจะเชยก็ได้ชมสมประสงค์" หมายความว่า มาเมื่อไรก็ได้ เป็นบริการที่เปิดเผยไม่หลบซ่อน

การค้าประเวณีนั้นมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มีในบันทึกของลาลูแบร์ว่าสมัยพระนารายณ์ ขุนนางที่ถูกรังเกียจมากที่สุด ชื่อ Oc-ya Meen 
น่าจะเป็นพ่อเล้าเพราะมีโสเภณีในสังกัดถึง ๖๐๐ นาง ส่วนชนชั้นล่างนั้นคำให้การชาวกรุงเก่าบอกว่า ที่ตลาดบ้านจีนปากคลองขุน
ละครไชย (คลองตะเคียน) มีหญิงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษอยู่ท้ายตลาด ๔ โรง ทั้งมีการเสียภาษีอีกด้วย เราไม่พบภาษีนี้ในกรุง
รัตนโกสินทร์ ทั้งยังพบคำประนามในตำหรับนางนพมาศ (เชื่อว่าแต่งในรัชกาลที่สาม) ว่า "แลเปนหญิงงามเมืองก็ดี... มหาชนมี
ความรังเกียจนัก" การที่นิราศบรรยายความเรื่องนี้อย่างโจ่งแจ้ง จึงยืนยันว่าน่าจะเกิดหลังจากนั้นลงมา และกลุ่มเป้าหมายย่อมเป็น
คนจีนจึงเลือกย่านสำเพ็งเป็นที่ทำกิน

อย่างไรก็ดี การประนามยังหมายความว่ามีการค้าประเวณีอยู่จริง ตั้งแต่ต้นรัชกาลที่สองลงมา มีแรงงานจีนจำนวนมากอพยพเข้ามา 
ความต้องการหญิงค้ากามจึงเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ถึงรัชกาลที่สี่ สำเพ็งก็กลายเป็นศูนย์รวมกิจกรรมทางกาม จนมีการเก็บ
ภาษี "บำรุงถนน" เพื่อควบคุมการค้าประเวณีและสร้างรายได้บำรุงรัฐบาล มีตรอกซอกซอยมากมายเป็นที่ตั้งโรงสตรี เป็นที่มาของ
คำเรียก "อีสำเพ็ง" มีการสร้างวัดและโรงพยาบาลเพื่อหญิงหาเงินเป็นพิเศษ นิราศจึงน่าจะแต่งในช่วงรัชกาลที่สี่ ไม่เร็วไปกว่านั้น
 
ปากลัด
"ถึงปากลัดแลท่าชลาตื้น ดูเลื่อมลื่นเลนลากลำละหาน"
คลองปากลัดนี้ถูกปิดตลอดรัชกาลที่หนึ่ง มาเปิดใช้เมื่อสร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์ในรัชกาลที่สอง ถ้ากวีใช้คลองลัดนี้ ก็ต้องเดิน
ทางหลังรัชกาลที่สองลงไป จะตอบปัญหานี้ มีหลักฐาน ๒ ประการช่วยตัดสิน
๑ จากคำกลอน
คำว่า "แลท่าชลาตื้น" และ "ดูเลื่อมลื่นเลนลาก" แสดงการใช้คลองลัดอย่างชัดเจน
การใช้เลื่อนลากเรือข้ามทำนบเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้าน (ดูรูปใน วิถีชนบท น.๑๓๕) โดยถมดินเป็นเขื่อนขวางปากคลอง กันน้ำเค็ม
ไหลเข้า ที่ตลิ่งข้างหนึ่งทำเป็นร่องโคลนมีกว้านลากเรือข้ามคันดินเข้าคลองลัด แต่เรือใหญ่จะลากผ่านไม่ได้ (cf. วลัยลักษณ์ 
ทรงศิริ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์) มีใช้ที่ลัดโพธิ์มาจนหลังสงครามโลก และอาจจะใช้มาตั้งแต่สร้างเมืองนครเขื่อนขันธ์และ
สมุทรปราการในรัชกาลที่สอง 
๒ จากความเร็วเรือ
กวีเดินทางจากวัดแจ้งตอนเที่ยงคืน มาถึงปากคลองสำโรงเวลาพระอาทิตย์ขี้น รวม ๖ ชั่วโมง 
ระยะทางถ้าใช้ทางอ้อมคือ ๒๗.๗๕  กิโลเมตร ถ้าใช้คลองลัดจะเหลือเพียง ๑๙ กิโลเมตร
ถ้าใช้ทางอ้อม ความเร็วเรือคือ ๔.๖ กม./ชม. ถ้าใช้ทางลัดคือ ๓.๑ กม./ชม.
เรือสึ่แจวของกวี ถ้าใช้ความเร็วระดับ ๔.๖ กม./ชม. คงไม่แต่งกลอนบอกว่า "แจวจ้วงล่วงแล่นแสนสำราญ" เป็นแน่
ดังนั้นจึงใช้คลองลัดอย่างแน่นอน แสดงว่าเดินทางหลังรัชกาลที่สองนั่นเอง

เทียบอายุสมัยกับนิราศอื่น
นิราศคือการพรรณาความรู้สึกคู่ไปกับสถานที่ นามและสภาพทางภูมิประเทศจะถูกนำมาผูกล้อเป็นเรื่องราวส่วนตัวระคนไปด้วย
จินตนาการถึงคนรัก อย่างไรก็ดียิ่งนานวัน นิราศก็ยิ่งถอยห่างจากความคิดคำนึงมาสู่ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น บางครั้งแทบจะเป็น
การพรรณาภูมิสถานมากกว่าอารมณ์ความรู้สึก นิราศเมืองแกลงเป็นตัวอย่างความนิยมอย่างหลัง

ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ มีนิราศ ๕ เรื่อง ใช้เส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านปากน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับนิราศเมืองแกลงแล้ว การระบุ
อายุก็เด่นชัดขึ้น โดยเฉพาะนิราศฉะเชิงเทรา (๒๓๖๙) ของพระองค์เจ้าทินกร มี ๔ ตำแหน่งที่เป็นประโยชน์ คือ

๑ สามสิบสองโคก (ค้อมคด ในนิราศเมืองแกลง) 
ปากคลองสำโรงตรงแม่น้ำบางปะกง มีโค้งหักศอกหลายตลบ นิราศฉะเชิงเทราเรียกว่าสามสิบสองโคก ว่าเป็นชื่อ".เบื้อง เบาราณ
มานา" ถ้านิราศเมืองแกลงแต่งปลายรัชกาลที่หนึ่งก็น่าจะรู้จัก แต่กลับพรรณาว่า ถึงปากคลองมีความสะบายใจ มีเรือรอน้ำขึ้น ทำ
ให้นึกถึงตนเองที่ไร้คู่ จึงล่องเรือจากมาทันที "กระแสชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล" แสดงว่าในปีแต่งนิราศ
ลักษณะเด่นคงไม่ปรากฏแล้ว ทางน้ำคงโดนกัดเซาะจนความคดลดไปมาก (จากแผนที่ปัจจุบัน เหลือสังเกตได้เพียง ๒๐ กว่าโค้ง) 
ชื่อโบราณจึงไม่ถูกเรียกขานอีกต่อไป

๒ ด่านสำโรง
สุดโคกที่สามสิบสองออกไประยะทางราว ๔.๕ กม. นิราศเมืองแกลงเอ่ยถึงด่านอยู่ริมคลองฝั่งซ้าย บอกว่าอยู่สุดเขตหมู่บ้าน ต่อ
เขตประตูป่า (ทวารอรัญวา) สวนนิราศฉะเชิงเทรากลับบอกว่าแถบนี้เป็นป่า "ยลไป่เป็นเรือนชาน ชัฎไม้" ไร้บ้านเรือน ด่านของ
นิราศเมืองแกลง จึงมีหลังพระองค์เจ้าทินกรเสด็จมาอีกนานพอสมควร 

๓ วัดที่บางพลี
"ถึงบางพลีมีเรือนอารามพระ ดูระกะดาษทางไปกลางทุ่ง" ข้อความนี้แสดงว่ามีวัดมากกว่าหนึ่งแห่งลึกเข้าไปถึงกลางทุ่ง วัดริม
แม่น้ำคือวัดบางพลีใหญ่ใน มีเก่าถึงสมัยพระนเรศวร แต่วัดกลางทุ่ง คือวัดบางพลีใหญ่กลาง (พระอุโบสถห่างตลิ่งราว ๒๐๐ เมตร) 
สร้างในปี ๒๓๖๗ นิราศจึงต้องแต่งหลังรัชกาลที่สามลงมา
 
๔ เศียรจระเข้
ตรงคลองแยกไปหัวตะเข้ พระองค์เจ้าทินกรเล่าว่าตั้งชื่อเป็นเกียรติให้กับไกรทอง "ตัดเศียรจรเข้ขนาน นามสืบ ไว้รา" ส่วนนิราศ
เมืองแกลงกล่าวเพียงว่ามีศาล ตั้ง "กระดานสามแผ่นพิงไว้บูชา" มีลูกจรเข้นับสองร้อยตัวไล่กินลูกปลา คำบรรยายนี้น่าจะสะท้อน
ว่า ตำนานไกรทองคงถูกลืมเลือนไปแล้ว จึงควรแต่งหลังนิราศฉะเชิงเทราเช่นกัน

ประวัติศาสตร์สังคม จากบางประกงถึงบ้านกร่ำ
คำว่า "ประวัติศาสตร์สังคม" อาจจะเป็นศัพท์ใหม่ แต่เนื้อหานั้นไม่ใหม่ ในการศึกษาครั้งนี้ ได้อ้างอิงหนังสือ "เรื่องเที่ยวที่ต่างๆ" 
ก็นับเป็นสาขานี้ แม้แต่ประชุมประกาศรัชกาลที่สี่ก็เช่นกัน อย่างไรก็ดี ไม่เคยพบหลักฐานประเภทนี้ในพระนิพนธ์ประวัติสุนทรภู่
เลย เราจะใช้ประวัติศาสตร์สังคมตั้งแต่บางปะกงเป็นต้นไป

กวีออกจากปากตะครองมาเข้าแม่น้ำบางปะกง เส้นทางนี้ไม่ซ้ำกับนิราศอื่นๆ การวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อมูลท้องถิ่นเป็นหลัก ผลก็คือ 
นิราศระบุท้องที่สมัยใหม่กว่ารัชกาลที่หนึ่งมากมาย

"ศาลเจ้าเหล่าเจ๊กปูนทะก๋ง" 
เมื่อถึงบ้านบางมังกง ท่านว่า "เห็นศาลเจ้าเหล่าเจ๊กอยู่เซ็งแซ่ ปูนทะก๋งองค์แก่ข้างเพศไสย" ความเชื่อนี้ตรวจสอบอายุสมัยได้
ปุนเถ้ากงเป็นความเชื่อในคติบูชาฟ้า-ดินของชาวจีน คล้ายเทพารักษ์แห่งผืนดิน ต้วนลี่เซิงศาสตราจารย์ไทย-จีนศึกษา อธิบายว่า
ชาวจีนโพ้นทะเลเมื่อรวมกลุ่มกันมั่นคง ก็จะสร้างศาลบูชาแผ่นดินเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ดังนั้นจึงไม่มีศาลประเภทนี้ในแผ่นดินจีน 
ความรู้นี้ช่วยให้เข้าใจความแตกต่างกับศาลเทพเจ้าระดับสูงอื่นๆ ที่พบทั่วไป เช่นกวนอู เจ้าแม่ทับทิม หรือเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งเป็น
ความเชื่อที่ไม่สัมพันธ์กับถิ่นฐาน สวัสดิภาพชีวิต หรือการอาชีพของผู้บูชา

ตั้งแต่รัชกาลที่สอง เริ่มมีชาวจีนเข้ามาตั้งรกรากเป็นกลุ่ม ทั้งนี้อาจเป็นนโยบายของราชสำนัก ต้องการผู้มีทักษะความชำนาญทาง
อาชีพและฝีมือช่าง ปรากฏครั้งแรกในการทำน้ำตาลทรายจากอ้อย อีกกลุ่มเป็นช่างฝีมือเข้ามาบูรณะวัดราชโอรสาราม และแรงงานไร้ฝีมือมาเป็นกุลี
ขุดคลอง จากนั้นตลอดรัชกาลที่สามลงมา แรงงานจีนจำนวนมากก็เข้ามาตั้งรกรากทำการเกษตรเชิงการผลิต มาทำงานเหมืองแร่
หรือประมง ส่วนมากอยู่ตามชายฝั่งเช่นที่บางปลาสร้อย ระนอง หรือลุ่มน้ำที่เชื่อมต่อทะเลเช่นแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำบางปะกง กระจาย
ไปทั่วประเทศ จนมีการกีดกันการอพยพหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ชาวจีนเหล่านี้ต่างจากผู้อพยพรุ่นก่อนที่มักมารอทำราชการ บางส่วนยังสลายความเป็นจีนเพื่อยกฐานะขึ้นเป็นขุนนางระดับสูง แต่
จีนใหม่นี้กลับรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน รักษาความเป็นจีนอย่างเข้มข้น ใช้ภาษาพูดและประเพณีเดิม การสร้างศาลเจ้าโดยเฉพาะในคติ
ปุนเถ้ากงก็เป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดทางวัฒนธรรม เท่าที่มีข้อมูล ศาลเจ้าปุนเถ้ากงที่เก่าที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ สร้างเมื่อ 
พ.ศ. ๒๓๖๗ ปีแรกของรัชกาลที่สาม อยู่ทรงวาดไกล้กับท่าน้ำราชวงศ์ซึ่งเป็นจุดขึ้นฝั่งของการอพยพ ศาลเจ้าแห่งอื่นล้วนสร้าง
หลังจากนี้ ยังไม่พบศาลแห่งใดเก่ากว่ารัชกาลที่สาม รวมทั้งที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เช่นบางปะกง บางปลาสร้อยถึงเมืองแกลง 

เมื่อมี "ปูนทะก๋ง" ในนิราศเมืองแกลง นิราศนี้ย่อมแต่งหลังรัชกาลที่สาม

"ตลาดเรียงเป็นสองแถว แนวถนนคนสะพรั่ง"
คณะกวีมาถึงบางปลาสร้อยกลางดึก รุ่งเช้าจึงออกเดินชมตลาดจนถึงบ้านเพื่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่