สวัสดีครับ จากกระทู้ที่แล้วผมรู้สึกดีใจและขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจจากเพื่อนๆ ผมดีขึ้นเล็กน้อยแต่ยังมีอาการทางกายภาพอยู่ ดูเหมือนว่าโรคซึมเศร้ากำลังจะกลับมาสร้างความทุกข์ให้ผมอีกครั้งหลังจากที่หายขาดไปหลายปี เพื่อนๆ ครับผมขอพิ้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ผมด้วยนะครับ อยากให้เพื่อนๆ ให้กำลังใจผมต่อสู้กับมันอีกครั้งครับ และผมมีเรื่องอยากที่จะระบายเพื่อลดความเครียดสะสมในอารมณ์ของผมที่มันเกือบจะไม่ไหวแล้วครับหวังว่าเพื่อนๆ จะช่วยรับฟังครับ เจตนาของผมคือผมอยากปลดปล่อยสิ่งที่เก็บไว้ในใจ เพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าเช่นเดิม วันนี้ผมไปหาหมอมาผมได้ยานอนหลับมากินไปแล้ว ครับเลยขอมาเขียนเพื่อระบายออกครับ
กระทู้ที่แล้ว
https://ppantip.com/topic/43294022
มีเรื่องราวที่ฝังใจมากครั้งนึง คือ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วแม่ผมป่วยหนักเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด อันเนื่องมากจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบนอนโรงพยบาลมาประมาณอาทิตย์นึง ความดันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความดันเหลือเพียงแค่ 60 มม.ปรอท (ความดันปกติของคนทั่วไปต้อง +100 up) คุณหมอโทรมาแจ้งตอนผมทำงานอยู่ ผมรีบมาโรงพยาบาลดูท่าว่าอาการไม่ดีแน่ๆ หมอก็บอกว่าเสี่ยงมาก จึงตัดสินใจหยุดการรักษาที่ ร.พ. นี้ เพื่อย้ายมา รพ.ใหญ่
ผมพาแม่มาด้วยรถมูลนิธิ หรือที่เรียกว่ารถขนศพที่ผมว่าจ้างพี่กู้ภัยเพราะไม่มีรถ ร.พ อยู่ มาถึง รพ.ใหญ่ หมอบอกว่าอาการ 50/50 ลองให้ยากระตุ้นความดันแต่ไม่รับรองว่าจะรอดไหม ถ้าพรุ่งนี้ความดันขึ้นมาก็ถือว่ารอด คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย เตียงคนไข้ก็ไม่มี แม่ต้องนอนเตียงขนย้ายที่แอบตามทางเดิน
จนดึงๆ จึงได้เข็นเข้าไปห้องเพื่อเตรียมสอดท่อช่วยหายใจ และหมอคุยเรื่องการปั๊มหัวใจในคนแก่รวมทั้งการสอดท่อว่าอันตรายแค่ไหน สมองผมว่างเปล่า
แต่ยังมีสติจึงตัดสินใจบอกหมอว่าให้ทำตามขั้นตอนเลยแต่ขอให้ทำให้เต็มที่ครับ ประมาณตี 4-5 พอแม่ได้รับยาแล้วผมต้องเดินลงมานอนใต้ตึก จนรุ่งเช้า
เพื่อกลับไปดูแม่อีกครั้ง ปรากฏว่าโชคดีความดันแม่ขึ้นมา ผมดีใจมาก แต่คุณหมอบอกว่าอาจมีอาการติดเตียงชั่วคราวเพราะให้เป็นภาวะที่เฉียดความตายต้องใช้เวลาการฟื้นฟูสักระยะ เมื่อแม่พ้นขีดอันตรายโดยสรุปคือต้องติดเตียงอยู่ประมาณ 3 เดือน ระหว่างนั้นแม่จำอะไรไม่ได้ จำตัวเองไม่ได้ จำลูกไม่ได้เลย
จนเวลาผ่านไปสักระยะประมาณ 1 เดือน ความจำค่อยๆ ทยอยกลัยมา พยาบาลบอกว่าเป็นอาการปกติสำหรับคนที่นอนโรงพยาบาลนาน นั่นคือสิ่งที่เกิดกับแม่ผมและแน่นนอนผมอยู่กับแม่ตลอดเสมอ ถึงแกจะเป็นอย่างไรแต่ด้วยความเป็นลูกผมเต็มใจเสมอ ถึงเขาจะรักหรือไม่รักเราไม่อาจรู้ใจเขาได้
และแล้วสิ่งที่เสียใจก็ตามมา...พ่อมาเยี่ยม ซึ่งแปลกใจมากไม่มีใครบอกเขา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขามากับเมียใหม่ เขามาเยี่ยมตอนสายๆ ผมอยู่เฝ้าแม่พอดี
และในจังหวะนั้นพี่สาวโทรหาผมเพื่อถามอาการแม่ ผมเลยถือโอกาสให้พี่สาวคุยสายกับพ่อด้วย ผมสังเกตหลายครั้งว่าเมียใหม่เขาไม่พอใจ ชำเลือง
มองบ่อยๆ เวลาพ่อคุยกับผม สุดท้ายเขาปรี่เข้ามากระชากโทรศัพท์ผมออกไปบอกไม่ให้คุยกลับได้แล้ว ผม งง มาก ผมก็เริ่มมีปากเสียงกับเขา มีทะเลาะกัน เขาจะเอารองเท้ามาตบหน้าผม และเขาข่วนมือผมเลือดออก ผมไม่ยอมเลยวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเขา เพราะความโมโหสุดขีด เสียงดังรบกวนทุกคนในวอร์ด จริงๆ แล้วผมทั้งเจ็บทั้งอายนะ แต่โมโหมากที่เมียเขาไม่รู้กาละเทศะ ว่านี่คือการมาเยี่ยมคนป่วยไม่แยกแยะ แต่ที่เสียใจกว่านั้นพ่อไม่คิดจะปกป้องลูกตัวเองแถมยังจะให้ผมขอโทษเขาอีก ผมแค้นใจมาก ผมจึงไล่เขาทั้งสองให้ออกไปและอย่ามารบกวนแม่อีก เพราะแม่ป่วยหนักมาก ติดเตียง จนกระทั่งพยาบาลเรียก รปภ มาเตรียมจะล๊อคตัวผมผมยกมือไหว้ขอโทษทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่และคนไข้ ในระหว่างที่เกิดเรื่องพี่สาวผมอยู่ในสายและรับรู้ตลอดและพี่ก็โมโหมากเช่นกัน คำสุดท้ายที่เมียใหม่เขาชี้หน้าด่าผมทิ้งท้ายคือรอที่นี่อย่าหนี้ไปไหน กูจะเอาพวกมารุม ผมจึงตัดสินใจไปลงบันทึกประจำวันโดยระบุว่าไม่ให้พ่อและเมียใหม่เข้ามาใกล้หรือคุกคามโดยเด็ดขาด จริงๆมันเสียใจนะที่ต้องแจ้งความพ่อตัวเอง
**ผมผิดไหมที่ทำแบบนี้ ?** จากที่เหนื่อยอยู่แล้วกลับต้องมาเหนื่อยใจอีกร้อยเท่า และในที่สุดแม่ก็ได้สติกลับมา ความดันดีขึ้น การตรวจทุกอย่างปกติ ขาดอย่างเดียวยังเดินไม่ได้ เพราะติดเตียงนาน ทำกายภาพมาสักพักในโรงพยาบาล และหมดนัดมาทำต่อเรื่อย ผมต้องทำงานผมเลยยกหน้าที่ให้พี่สาวต่อเรื่องการทำกายภาพ จนแม่กลับมาเดินได้ปกติ
จุดประสงค์ของเรื่องนี้ที่อยากบอกทุกคนคือ เพื่อระบายความอัดอั้นซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาจากครอบครัวนี้ที่ผมอยู่เผิ่อผมจะดีขึ้นได้บ้างไม่ต้องกลับมาเป็นซึมเศร้าออีก สิ่งที่อยากจะฝากไว้คือ สำหรับคนที่ยังไม่มีครอบครัว การติดสินใจเลือกคู่ครองที่ดีมีผลต่ออนาคตของครอบครัวและส่งต่อไปยังลูกที่จะเกิดมาและอย่ามีลูกเมื่อยังไม่พร้อมรับผิดชอบใดๆ ส่วนคนที่มีครอบครัวแล้วโปรดจำไว้ว่าหากคุณมีลูกพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างความรุนแรงในครอบครัวส่งผลกระทบต่อลูกๆ ในระดับจิตใต้สำนึกอย่างแนน่อน ทุกวันนี้ผมมีความประหม่ารู้สึกว่างเปล่าและเครียดพร้อมกับกดดันได้ง่ายพร้อมระเบิดออกถ้าไม่ไหว พี่สาวก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน ผมมาคิดแล้วทุกอย่างเกิดจากการหล่อหลอมในครอบครัวที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด ถ้าคุณมีสามี ภรรยา พยายามรักษาถนอมนำใจกัน อย่าโทษกันไปกันมา ผมจะโดนกรอกหูตั้งแต่เด็กจากแม่ว่า พ่อเป็นคนเลว ๆๆๆๆ จนผมเชื่อจริงๆ แต่รู้ความจริงเมื่อเราเติบโต ถ้าคุณมีลูกขอให้ดูแลร่างกายและจิตใจเขาให้ดีอย่ามีอะไรอย่าลงที่ลูกเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกทั้งพ่อและแม่ อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูกเพื่อไม่ให้เขาซึมซับความรุนแรงนั้นเข้าสู่จิตใจ ซึ่งผมเป็นคนที่โดนผลกระทบทางด้านจิตใจจนถึงทุกวันนี้ คำว่ามีครอบครัวเป็นสิ่งที่มีง่าย แต่การสร้างครอบครัวเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวที่ต้องช่วยกันประคับประคอง
ขออนุญาตทวนคำถามว่าจากเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
ผมเลวไหมที่แจ้งความพ่อตัวเอง
และขอคำแนะนำเพื่อเตรียมร่างกายจิตใจให้ผ่านโรคซึมเศร้าระลอกนี้อีกครั้งครับ (เหนื่อยมากแทบไม่ไหว)
ช่วยรับฟัง ให้กำลังใจและแนะนำผมด้วยนะครับ ข้อความสั้นๆ จากเพื่อนๆ ทำให้ผมมีกำลังใจต่อสู้มากครับ (ขออภัยที่ยาวมากครับ)
ขอระบายความเครียดที่มากขึ้นเรื่อยๆ จากการหมดศรัทธาในสถาบันครอบครัว
กระทู้ที่แล้ว https://ppantip.com/topic/43294022
มีเรื่องราวที่ฝังใจมากครั้งนึง คือ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้วแม่ผมป่วยหนักเพราะติดเชื้อในกระแสเลือด อันเนื่องมากจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบนอนโรงพยบาลมาประมาณอาทิตย์นึง ความดันค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความดันเหลือเพียงแค่ 60 มม.ปรอท (ความดันปกติของคนทั่วไปต้อง +100 up) คุณหมอโทรมาแจ้งตอนผมทำงานอยู่ ผมรีบมาโรงพยาบาลดูท่าว่าอาการไม่ดีแน่ๆ หมอก็บอกว่าเสี่ยงมาก จึงตัดสินใจหยุดการรักษาที่ ร.พ. นี้ เพื่อย้ายมา รพ.ใหญ่
ผมพาแม่มาด้วยรถมูลนิธิ หรือที่เรียกว่ารถขนศพที่ผมว่าจ้างพี่กู้ภัยเพราะไม่มีรถ ร.พ อยู่ มาถึง รพ.ใหญ่ หมอบอกว่าอาการ 50/50 ลองให้ยากระตุ้นความดันแต่ไม่รับรองว่าจะรอดไหม ถ้าพรุ่งนี้ความดันขึ้นมาก็ถือว่ารอด คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย เตียงคนไข้ก็ไม่มี แม่ต้องนอนเตียงขนย้ายที่แอบตามทางเดิน
จนดึงๆ จึงได้เข็นเข้าไปห้องเพื่อเตรียมสอดท่อช่วยหายใจ และหมอคุยเรื่องการปั๊มหัวใจในคนแก่รวมทั้งการสอดท่อว่าอันตรายแค่ไหน สมองผมว่างเปล่า
แต่ยังมีสติจึงตัดสินใจบอกหมอว่าให้ทำตามขั้นตอนเลยแต่ขอให้ทำให้เต็มที่ครับ ประมาณตี 4-5 พอแม่ได้รับยาแล้วผมต้องเดินลงมานอนใต้ตึก จนรุ่งเช้า
เพื่อกลับไปดูแม่อีกครั้ง ปรากฏว่าโชคดีความดันแม่ขึ้นมา ผมดีใจมาก แต่คุณหมอบอกว่าอาจมีอาการติดเตียงชั่วคราวเพราะให้เป็นภาวะที่เฉียดความตายต้องใช้เวลาการฟื้นฟูสักระยะ เมื่อแม่พ้นขีดอันตรายโดยสรุปคือต้องติดเตียงอยู่ประมาณ 3 เดือน ระหว่างนั้นแม่จำอะไรไม่ได้ จำตัวเองไม่ได้ จำลูกไม่ได้เลย
จนเวลาผ่านไปสักระยะประมาณ 1 เดือน ความจำค่อยๆ ทยอยกลัยมา พยาบาลบอกว่าเป็นอาการปกติสำหรับคนที่นอนโรงพยาบาลนาน นั่นคือสิ่งที่เกิดกับแม่ผมและแน่นนอนผมอยู่กับแม่ตลอดเสมอ ถึงแกจะเป็นอย่างไรแต่ด้วยความเป็นลูกผมเต็มใจเสมอ ถึงเขาจะรักหรือไม่รักเราไม่อาจรู้ใจเขาได้
และแล้วสิ่งที่เสียใจก็ตามมา...พ่อมาเยี่ยม ซึ่งแปลกใจมากไม่มีใครบอกเขา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเขามากับเมียใหม่ เขามาเยี่ยมตอนสายๆ ผมอยู่เฝ้าแม่พอดี
และในจังหวะนั้นพี่สาวโทรหาผมเพื่อถามอาการแม่ ผมเลยถือโอกาสให้พี่สาวคุยสายกับพ่อด้วย ผมสังเกตหลายครั้งว่าเมียใหม่เขาไม่พอใจ ชำเลือง
มองบ่อยๆ เวลาพ่อคุยกับผม สุดท้ายเขาปรี่เข้ามากระชากโทรศัพท์ผมออกไปบอกไม่ให้คุยกลับได้แล้ว ผม งง มาก ผมก็เริ่มมีปากเสียงกับเขา มีทะเลาะกัน เขาจะเอารองเท้ามาตบหน้าผม และเขาข่วนมือผมเลือดออก ผมไม่ยอมเลยวิ่งเข้าไปกระโดดถีบเขา เพราะความโมโหสุดขีด เสียงดังรบกวนทุกคนในวอร์ด จริงๆ แล้วผมทั้งเจ็บทั้งอายนะ แต่โมโหมากที่เมียเขาไม่รู้กาละเทศะ ว่านี่คือการมาเยี่ยมคนป่วยไม่แยกแยะ แต่ที่เสียใจกว่านั้นพ่อไม่คิดจะปกป้องลูกตัวเองแถมยังจะให้ผมขอโทษเขาอีก ผมแค้นใจมาก ผมจึงไล่เขาทั้งสองให้ออกไปและอย่ามารบกวนแม่อีก เพราะแม่ป่วยหนักมาก ติดเตียง จนกระทั่งพยาบาลเรียก รปภ มาเตรียมจะล๊อคตัวผมผมยกมือไหว้ขอโทษทุกคนทั้งเจ้าหน้าที่และคนไข้ ในระหว่างที่เกิดเรื่องพี่สาวผมอยู่ในสายและรับรู้ตลอดและพี่ก็โมโหมากเช่นกัน คำสุดท้ายที่เมียใหม่เขาชี้หน้าด่าผมทิ้งท้ายคือรอที่นี่อย่าหนี้ไปไหน กูจะเอาพวกมารุม ผมจึงตัดสินใจไปลงบันทึกประจำวันโดยระบุว่าไม่ให้พ่อและเมียใหม่เข้ามาใกล้หรือคุกคามโดยเด็ดขาด จริงๆมันเสียใจนะที่ต้องแจ้งความพ่อตัวเอง **ผมผิดไหมที่ทำแบบนี้ ?** จากที่เหนื่อยอยู่แล้วกลับต้องมาเหนื่อยใจอีกร้อยเท่า และในที่สุดแม่ก็ได้สติกลับมา ความดันดีขึ้น การตรวจทุกอย่างปกติ ขาดอย่างเดียวยังเดินไม่ได้ เพราะติดเตียงนาน ทำกายภาพมาสักพักในโรงพยาบาล และหมดนัดมาทำต่อเรื่อย ผมต้องทำงานผมเลยยกหน้าที่ให้พี่สาวต่อเรื่องการทำกายภาพ จนแม่กลับมาเดินได้ปกติ
จุดประสงค์ของเรื่องนี้ที่อยากบอกทุกคนคือ เพื่อระบายความอัดอั้นซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาจากครอบครัวนี้ที่ผมอยู่เผิ่อผมจะดีขึ้นได้บ้างไม่ต้องกลับมาเป็นซึมเศร้าออีก สิ่งที่อยากจะฝากไว้คือ สำหรับคนที่ยังไม่มีครอบครัว การติดสินใจเลือกคู่ครองที่ดีมีผลต่ออนาคตของครอบครัวและส่งต่อไปยังลูกที่จะเกิดมาและอย่ามีลูกเมื่อยังไม่พร้อมรับผิดชอบใดๆ ส่วนคนที่มีครอบครัวแล้วโปรดจำไว้ว่าหากคุณมีลูกพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ โดยเฉพาะการสร้างความรุนแรงในครอบครัวส่งผลกระทบต่อลูกๆ ในระดับจิตใต้สำนึกอย่างแนน่อน ทุกวันนี้ผมมีความประหม่ารู้สึกว่างเปล่าและเครียดพร้อมกับกดดันได้ง่ายพร้อมระเบิดออกถ้าไม่ไหว พี่สาวก็มีลักษณะแบบนี้เช่นกัน ผมมาคิดแล้วทุกอย่างเกิดจากการหล่อหลอมในครอบครัวที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งหมด ถ้าคุณมีสามี ภรรยา พยายามรักษาถนอมนำใจกัน อย่าโทษกันไปกันมา ผมจะโดนกรอกหูตั้งแต่เด็กจากแม่ว่า พ่อเป็นคนเลว ๆๆๆๆ จนผมเชื่อจริงๆ แต่รู้ความจริงเมื่อเราเติบโต ถ้าคุณมีลูกขอให้ดูแลร่างกายและจิตใจเขาให้ดีอย่ามีอะไรอย่าลงที่ลูกเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกทั้งพ่อและแม่ อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูกเพื่อไม่ให้เขาซึมซับความรุนแรงนั้นเข้าสู่จิตใจ ซึ่งผมเป็นคนที่โดนผลกระทบทางด้านจิตใจจนถึงทุกวันนี้ คำว่ามีครอบครัวเป็นสิ่งที่มีง่าย แต่การสร้างครอบครัวเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวที่ต้องช่วยกันประคับประคอง
ขออนุญาตทวนคำถามว่าจากเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ผมเลวไหมที่แจ้งความพ่อตัวเอง
และขอคำแนะนำเพื่อเตรียมร่างกายจิตใจให้ผ่านโรคซึมเศร้าระลอกนี้อีกครั้งครับ (เหนื่อยมากแทบไม่ไหว)
ช่วยรับฟัง ให้กำลังใจและแนะนำผมด้วยนะครับ ข้อความสั้นๆ จากเพื่อนๆ ทำให้ผมมีกำลังใจต่อสู้มากครับ (ขออภัยที่ยาวมากครับ)