กระทู้นี้ไม่ได้ tag เฉพาะความรักนะคะ
ที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะปีสองปีนี้ ตาสว่างหลายเรื่องเกี่ยวกับ ความยึดติด และการต้องตัดขาด หรือการต้องถูกตัดขาดของตัวเอง และพบว่า เรายังยึดติดทางความคิดอยู่อย่างเหนียวแน่นหลายอย่าง จนไปต่อได้ไม่ดีเท่าที่ควรกับชีวิต
มาถึงวันนี้ เริ่มตกผลึกละ ตะกอนนอนก้น น้ำเริ่มใส เลยอยากเขียนประสบการณ์ตัวเองแบ่งปันเรื่องการ move on ของตัวเองกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ หลาน ๆ ในพันทิป
ต้องนิยามก่อนว่า เวลาที่เรา “ติดหล่ม” กับอะไรบางอย่าง บางที มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์เชิงเสน่หาอย่างเดียวนะคะ (ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องหลักของคนจำนวนมากก็เถอะ) บางทีอาจเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนที่รัก รุ่นน้องที่เอ็นดู รุ่นพี่ที่เคารพ เพื่อนร่วมงาน หรือกระทั่งกับความคาดหวังในบางเรื่อง เช่น การได้เลื่อนตำแหน่ง การได้รางวัลอะไรบางอย่าง
แต่กระทู้นี้จะโฟกัสที่การ move on หรือการไปต่อหลังเผชิญกับความผิดหวังในเรื่องความสัมพันธ์ และสิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้มาในช่วงปีสองปีนี้
เราผิดหวังจากความสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง
1. โดนหลอก
2. โดนหักหลัง
3. โดนเอาเปรียบ
4. โดนทำร้าย หรือโดนทำลายชื่อเสียง
ที่ลิสต์มานี่ โดนมาหมด บางกรณีก็เสียเงิน บางกรณีก็เสียความรู้สึก บางกรณีก็เสียทั้งคู่ แถมที่ซับซ้อนยอกย้อนกว่านั้น คือ บางกรณี เราโดน gaslight โดนหลอกใช้ และบางกรณี โดนทำให้รู้สึกว่าเราเป็น “ผู้ลงมือ” หรือ “ผู้ก้าวร้าว” ก่อน แทนที่จะเป็นเหยื่อด้วย
เลยอดทำให้คิดไม่ได้ว่า อะไรทำให้คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเอง) move on ไม่ได้ หรือ move on ได้ช้า ได้ยาก
คำตอบคือ
1. ยังรู้สึกรักอยู่ รู้สึกดี ๆ กันอยู่ งงกับการถูกตัดจบแบบไม่มีโอกาสอธิบาย ยังรู้สึกว่า มีอะไรยังพูดไม่จบ สื่อสารไม่ชัด ยังค้างคา
2. ยังรู้สึกว่า ตัวเองยังไม่ได้เอาคืน
3. มารู้ข้อมูลอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม ที่ทำให้อยากจะเบะปาก ร้อง อห. หรือเจ็บใจตัวเองที่หลงงมงายไป
ความรู้สึกวนเวียนพวกนี้แหละค่ะที่ทำให้ เรา move on ไม่ได้
จะบอกว่า ไม่ได้เพราะแค่รักอย่างเดียวนะคะ
หลังจากมานั่งวิเคราะห์ว่า เราตกอยู่ในหมวดไหน ก็พบว่า มีทั้งสามหมวดค่า และสำหรับบางคน ก็ยังอยู่ในกระบวนการข้อ 3ที่กำลังชั่งใจด้วยว่า จะ “หาทำ” ไปหาข้อพิสูจน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสงสัย หรือสิ่งที่ guts เราเคยพยายามกระซิบแต่เราปัดตกไปตลอดไหม ?
ท้ายที่สุด พอเริ่มตกผลึก ก็ได้คำอธิบายเพิ่มเติม สำหรับใช้อธิบายกับตัวเองว่าทำไมถึง move on ไม่ได้หรือได้ช้ามาก และตอนนี้ ถึงเวลาที่ต้อง “ move on เถอะค่ะ” แล้ว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ที่รู้สึกว่ายัง move on ได้ช้า เพราะส่วนหนึ่งเราคิดว่า เรายังรักอยู่ ยังเอ็นดู รู้สึกดี ๆ อยู่ มันเลยติดหล่มอยู่ตรงนั้น แล้วคนจำนวนมาก (รวมทั้งธาราสินธุ์ด้วย) ส่วนใหญ่ที่ไม่ move on เพราะไม่ “มองโลกตามความเป็นจริง” เรามักจะ
“ไม่อนุญาต” ให้ตัวเราเองมองอีกฝ่ายไม่ดี และมักจะมีคำอธิบายมาแก้ตัวให้กับพฤติกรรมด้านลบของอีกฝ่ายเสมอ
บางที เราเรียกสิ่งนี้ว่า “toxic positivity” หรือความโลกสวยที่เป็นพิษ
ดิฉันโดนเพื่อนสองสามคนเตือนสติแรง ๆ ถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมามาก และเจ้าคำเตือนตรง ๆ ที่โพล่งออกมาอย่างซื่อ ๆ นี่แหละ ที่ทำให้ดิฉันแทบจะหัวเราะทั้งน้ำตา ด้วยความโล่งใจและความเข้าใจ
คนแรก เตือนตรง ๆ เลยว่า “เวลาที่เราโลกสวยเกินเหตุ และไม่มองโลก มองพฤติกรรมเค้าตามความเป็นจริง พอเวลามาแตกหัก แล้วรู้ทีหลัง ความรู้สึกลบมันยิ่งทบเท่าทวีคูณ”
อีกคนที่เป็นอดีตอาจารย์มหาลัยและอยู่วัดปฏิบัติธรรมมานานกว่า 10 ปีแล้ว ตรงยิ่งกว่า เธอบอกดิฉันว่า
“เฮ้อ... คุณ xx (ชื่อดิฉัน) บางครั้งนะ เราต้องยอมรับตรง ๆ เลยว่า สิ่งที่บางคนทำกับเรามัน “เฮีย” นะเธอ แค่นี้จริง ๆ แหละ ก็แค่ต้องยอมรับกับตัวเองแหละว่า เค้าเฮีย”
เราขำก๊ากกกเลย พอมองจุดนี้ออก ก็จบละ ไม่ต้องมาวนเวียนคิดอะไรมาก
2. ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคนที่ “ต่างตอบแทนกัน” คือ ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายเดียว ถ้าเราคิดว่าเราดี หรือต้องการจะปฏิสัมพันธ์ แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะเฉยเสีย และไม่สานต่อ ไม่ว่า เราจะค้างคาใจ อย่างไรแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะงั้น เราจะบ้าไปทำไม ?
ไม่มีคำเท่ ๆ ในโลกประเภท “อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ” อะไรเทือกนั้น หรอกค่ะ ข้อสรุปมันชัดเจนคือ อีกฝ่ายไม่แคร์ ถ้าเค้าแคร์พอ อย่างน้อยต้องมีการ “สื่อสาร”
ความขี้ขลาด ไม่เผชิญการสื่อสารกันแบบตรงไปตรงมา แปลได้อย่างเดียวคือ “ไม่ใส่ใจ” = ตัดจบ
ถ้าอย่างนั้น เราอย่าเปลืองพลังงานไปกับอะไรที่ไม่ก่อคุณค่าเลยดีกว่า จะได้จบกันไป
ความใส่ใจที่แสดงออกช้ามาก = ความไม่ใส่ใจ เช่นเดียวกับ ความยุติธรรมที่มาช้ามาก = ความอยุติธรรม
3. ส่วนที่รู้สึกว่ายังไม่ได้ “เอาคืน” ถ้าถามดิฉันตอนนี้ ไม่ได้โลกสวย แต่ไม่ได้อยากรู้สึกเอาคืนอะไรเลย เพราะถ้าคนนั้นแย่จริง ๆ กลัวว่าการเอาคืน จะทำให้ “สายใย” ระหว่างเรากับเค้าไม่ขาด กลัวต้องมาเจอกันอีก

แล้วถ้ามาเจอกันอีก จะทำอย่างไร ถ้าโลกมันกลม เราจะปล่อยวางพอที่จะไม่พูดถึงอีกฝ่ายไหม ?
ขออนุญาตยกข้อความที่เพื่อนรุ่นน้องเคยเขียนในเพจเธอมาตอบละกันค่ะ
ยังจำได้ว่า ใน FB ตัวเอง เราก็ยังตอบไปแบบนี้
พอคิดได้อย่างนี้ พอเราอนุญาตให้ตัวเราได้รู้สึก “โกรธ” อย่างมีสติ แทนที่จะเอาแต่ตะบี้ตะบันพยายาม “เข้าใจ” และ “หาความชอบธรรม” ให้อีกฝ่ายอย่างเดียว ตอนนี้ อะไร ๆ ก็เบาลงเยอะ แล้วรู้สึกว่าเราพร้อมจะไปต่อกับชีวิตแล้ว
Move on เถอะค่ะ !!!
ที่เขียนกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะปีสองปีนี้ ตาสว่างหลายเรื่องเกี่ยวกับ ความยึดติด และการต้องตัดขาด หรือการต้องถูกตัดขาดของตัวเอง และพบว่า เรายังยึดติดทางความคิดอยู่อย่างเหนียวแน่นหลายอย่าง จนไปต่อได้ไม่ดีเท่าที่ควรกับชีวิต
มาถึงวันนี้ เริ่มตกผลึกละ ตะกอนนอนก้น น้ำเริ่มใส เลยอยากเขียนประสบการณ์ตัวเองแบ่งปันเรื่องการ move on ของตัวเองกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ หลาน ๆ ในพันทิป
ต้องนิยามก่อนว่า เวลาที่เรา “ติดหล่ม” กับอะไรบางอย่าง บางที มันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องความรัก ความสัมพันธ์เชิงเสน่หาอย่างเดียวนะคะ (ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องหลักของคนจำนวนมากก็เถอะ) บางทีอาจเป็นเรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนที่รัก รุ่นน้องที่เอ็นดู รุ่นพี่ที่เคารพ เพื่อนร่วมงาน หรือกระทั่งกับความคาดหวังในบางเรื่อง เช่น การได้เลื่อนตำแหน่ง การได้รางวัลอะไรบางอย่าง
แต่กระทู้นี้จะโฟกัสที่การ move on หรือการไปต่อหลังเผชิญกับความผิดหวังในเรื่องความสัมพันธ์ และสิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้มาในช่วงปีสองปีนี้
เราผิดหวังจากความสัมพันธ์ได้อย่างไรบ้าง
1. โดนหลอก
2. โดนหักหลัง
3. โดนเอาเปรียบ
4. โดนทำร้าย หรือโดนทำลายชื่อเสียง
ที่ลิสต์มานี่ โดนมาหมด บางกรณีก็เสียเงิน บางกรณีก็เสียความรู้สึก บางกรณีก็เสียทั้งคู่ แถมที่ซับซ้อนยอกย้อนกว่านั้น คือ บางกรณี เราโดน gaslight โดนหลอกใช้ และบางกรณี โดนทำให้รู้สึกว่าเราเป็น “ผู้ลงมือ” หรือ “ผู้ก้าวร้าว” ก่อน แทนที่จะเป็นเหยื่อด้วย
เลยอดทำให้คิดไม่ได้ว่า อะไรทำให้คนส่วนใหญ่ (รวมถึงตัวเอง) move on ไม่ได้ หรือ move on ได้ช้า ได้ยาก
คำตอบคือ
1. ยังรู้สึกรักอยู่ รู้สึกดี ๆ กันอยู่ งงกับการถูกตัดจบแบบไม่มีโอกาสอธิบาย ยังรู้สึกว่า มีอะไรยังพูดไม่จบ สื่อสารไม่ชัด ยังค้างคา
2. ยังรู้สึกว่า ตัวเองยังไม่ได้เอาคืน
3. มารู้ข้อมูลอะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติม ที่ทำให้อยากจะเบะปาก ร้อง อห. หรือเจ็บใจตัวเองที่หลงงมงายไป
ความรู้สึกวนเวียนพวกนี้แหละค่ะที่ทำให้ เรา move on ไม่ได้
จะบอกว่า ไม่ได้เพราะแค่รักอย่างเดียวนะคะ
หลังจากมานั่งวิเคราะห์ว่า เราตกอยู่ในหมวดไหน ก็พบว่า มีทั้งสามหมวดค่า และสำหรับบางคน ก็ยังอยู่ในกระบวนการข้อ 3ที่กำลังชั่งใจด้วยว่า จะ “หาทำ” ไปหาข้อพิสูจน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อสงสัย หรือสิ่งที่ guts เราเคยพยายามกระซิบแต่เราปัดตกไปตลอดไหม ?
ท้ายที่สุด พอเริ่มตกผลึก ก็ได้คำอธิบายเพิ่มเติม สำหรับใช้อธิบายกับตัวเองว่าทำไมถึง move on ไม่ได้หรือได้ช้ามาก และตอนนี้ ถึงเวลาที่ต้อง “ move on เถอะค่ะ” แล้ว ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ที่รู้สึกว่ายัง move on ได้ช้า เพราะส่วนหนึ่งเราคิดว่า เรายังรักอยู่ ยังเอ็นดู รู้สึกดี ๆ อยู่ มันเลยติดหล่มอยู่ตรงนั้น แล้วคนจำนวนมาก (รวมทั้งธาราสินธุ์ด้วย) ส่วนใหญ่ที่ไม่ move on เพราะไม่ “มองโลกตามความเป็นจริง” เรามักจะ “ไม่อนุญาต” ให้ตัวเราเองมองอีกฝ่ายไม่ดี และมักจะมีคำอธิบายมาแก้ตัวให้กับพฤติกรรมด้านลบของอีกฝ่ายเสมอ
บางที เราเรียกสิ่งนี้ว่า “toxic positivity” หรือความโลกสวยที่เป็นพิษ
ดิฉันโดนเพื่อนสองสามคนเตือนสติแรง ๆ ถึงเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมามาก และเจ้าคำเตือนตรง ๆ ที่โพล่งออกมาอย่างซื่อ ๆ นี่แหละ ที่ทำให้ดิฉันแทบจะหัวเราะทั้งน้ำตา ด้วยความโล่งใจและความเข้าใจ
คนแรก เตือนตรง ๆ เลยว่า “เวลาที่เราโลกสวยเกินเหตุ และไม่มองโลก มองพฤติกรรมเค้าตามความเป็นจริง พอเวลามาแตกหัก แล้วรู้ทีหลัง ความรู้สึกลบมันยิ่งทบเท่าทวีคูณ”
อีกคนที่เป็นอดีตอาจารย์มหาลัยและอยู่วัดปฏิบัติธรรมมานานกว่า 10 ปีแล้ว ตรงยิ่งกว่า เธอบอกดิฉันว่า
“เฮ้อ... คุณ xx (ชื่อดิฉัน) บางครั้งนะ เราต้องยอมรับตรง ๆ เลยว่า สิ่งที่บางคนทำกับเรามัน “เฮีย” นะเธอ แค่นี้จริง ๆ แหละ ก็แค่ต้องยอมรับกับตัวเองแหละว่า เค้าเฮีย”
เราขำก๊ากกกเลย พอมองจุดนี้ออก ก็จบละ ไม่ต้องมาวนเวียนคิดอะไรมาก
2. ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคนที่ “ต่างตอบแทนกัน” คือ ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใดฝ่ายเดียว ถ้าเราคิดว่าเราดี หรือต้องการจะปฏิสัมพันธ์ แต่อีกฝ่ายเลือกที่จะเฉยเสีย และไม่สานต่อ ไม่ว่า เราจะค้างคาใจ อย่างไรแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่สนใจอยู่ดี เพราะงั้น เราจะบ้าไปทำไม ?
ไม่มีคำเท่ ๆ ในโลกประเภท “อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ” อะไรเทือกนั้น หรอกค่ะ ข้อสรุปมันชัดเจนคือ อีกฝ่ายไม่แคร์ ถ้าเค้าแคร์พอ อย่างน้อยต้องมีการ “สื่อสาร”
ความขี้ขลาด ไม่เผชิญการสื่อสารกันแบบตรงไปตรงมา แปลได้อย่างเดียวคือ “ไม่ใส่ใจ” = ตัดจบ
ถ้าอย่างนั้น เราอย่าเปลืองพลังงานไปกับอะไรที่ไม่ก่อคุณค่าเลยดีกว่า จะได้จบกันไป
ความใส่ใจที่แสดงออกช้ามาก = ความไม่ใส่ใจ เช่นเดียวกับ ความยุติธรรมที่มาช้ามาก = ความอยุติธรรม
3. ส่วนที่รู้สึกว่ายังไม่ได้ “เอาคืน” ถ้าถามดิฉันตอนนี้ ไม่ได้โลกสวย แต่ไม่ได้อยากรู้สึกเอาคืนอะไรเลย เพราะถ้าคนนั้นแย่จริง ๆ กลัวว่าการเอาคืน จะทำให้ “สายใย” ระหว่างเรากับเค้าไม่ขาด กลัวต้องมาเจอกันอีก
แล้วถ้ามาเจอกันอีก จะทำอย่างไร ถ้าโลกมันกลม เราจะปล่อยวางพอที่จะไม่พูดถึงอีกฝ่ายไหม ?
ขออนุญาตยกข้อความที่เพื่อนรุ่นน้องเคยเขียนในเพจเธอมาตอบละกันค่ะ
ยังจำได้ว่า ใน FB ตัวเอง เราก็ยังตอบไปแบบนี้
พอคิดได้อย่างนี้ พอเราอนุญาตให้ตัวเราได้รู้สึก “โกรธ” อย่างมีสติ แทนที่จะเอาแต่ตะบี้ตะบันพยายาม “เข้าใจ” และ “หาความชอบธรรม” ให้อีกฝ่ายอย่างเดียว ตอนนี้ อะไร ๆ ก็เบาลงเยอะ แล้วรู้สึกว่าเราพร้อมจะไปต่อกับชีวิตแล้ว