⚠️ ย้อนรอยสงครามการค้าครั้งที่ 1 ดอยสูงแค่ไหน 🏔️
เชื่อว่าหลายคนอาจกำลังวิตกกังวลกันอยู่ไม่น้อย ว่าถ้าเกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบหนักขนาดไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนใหม่ๆ หรือยังไม่เคยเผชิญกับช่วงตลาดขาลงหนักๆ แบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วันนี้นิคกี้จะพามาดูบทเรียนจากอดีตกันว่า จากสงครามการค้าครั้งที่ 1 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลก "ติดดอย" กันสูงแค่ไหน และต้องรอนานเท่าไหร่กว่าจะตลาดจะฟื้นกลับมา
👉🏻 ตัวอย่างเช่น ดัชนีสำคัญอย่าง Nasdaq ที่เป็นตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เคยดิ่งหนักถึง -23.6% และใช้เวลานานกว่า 161 วันในการกลับมาฟื้นตัวกลับมาที่เดิม หรือดัชนี S&P500 ที่ถือเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด เคยร่วงลงถึง -19.7% และต้องใช้เวลา 146 วันในการหลุดดอย
👉🏻 ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่คู่กรณีอย่างจีนก็ร่วงหนักเช่นกัน โดยดัชนี CSI300 เคยร่วงหนักถึง -32.4% และใช้เวลาอย่างนานในการฟื้นตัว โดยไปหลุดดอยอีกทีหลังโควิด-19 ผ่านพ้นไป
👉🏻 ส่วนตลาด Hang Seng ฮ่องกง ก็ลดลงถึง -25.8% และตลาดหุ้นไทย (SET) เองก็ปรับตัวลงถึง -15.8% ซึ่งทั้งคู่ยังไม่เคยหลุดดอยอีกเลยหลังจากนั้น
🎯 ในขณะที่หลายคนอาจตกใจและเครียดกับสภาพตลาดที่ผันผวนแบบนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งสติ และอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน การขายทิ้งหุ้นทันทีด้วยความกลัวอาจทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม
💵 ในขณะที่บางคนที่มีเงินสดเตรียมไว้รอซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคาต่ำ อาจกลายเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
นอกจากนี้การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยไม่ถือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป และมีการจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้โดยไม่เจ็บตัวมากจนเกินไป
สุดท้ายคือการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นแม้จะเผชิญกับวิกฤติหนักแค่ไหน สุดท้ายก็จะฟื้นกลับมาเสมอ (ไม่นับตลาดหุ้นแถวๆนี้นะ) สิ่งสำคัญคือเราจะผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนนั้นไปอย่างไรให้ดีที่สุด
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจไม่ได้บอกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับรอบนี้แบบเป๊ะๆ เพราะหลายๆฝ่ายก็เตรียมการไว้แล้ว อย่างไรก็ตามก็พอเป็นแนวทางให้ทุกคนเตรียมรับมือกับสงครามการค้ารอบนี้ค่ะ
ย้อนรอยสงครามการค้าครั้งที่ 1 ดอยสูงแค่ไหน
เชื่อว่าหลายคนอาจกำลังวิตกกังวลกันอยู่ไม่น้อย ว่าถ้าเกิดสงครามการค้าครั้งใหม่ ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบหนักขนาดไหน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนใหม่ๆ หรือยังไม่เคยเผชิญกับช่วงตลาดขาลงหนักๆ แบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
วันนี้นิคกี้จะพามาดูบทเรียนจากอดีตกันว่า จากสงครามการค้าครั้งที่ 1 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลก "ติดดอย" กันสูงแค่ไหน และต้องรอนานเท่าไหร่กว่าจะตลาดจะฟื้นกลับมา
👉🏻 ตัวอย่างเช่น ดัชนีสำคัญอย่าง Nasdaq ที่เป็นตลาดหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เคยดิ่งหนักถึง -23.6% และใช้เวลานานกว่า 161 วันในการกลับมาฟื้นตัวกลับมาที่เดิม หรือดัชนี S&P500 ที่ถือเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด เคยร่วงลงถึง -19.7% และต้องใช้เวลา 146 วันในการหลุดดอย
👉🏻 ไม่ใช่แค่ตลาดสหรัฐฯ เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่คู่กรณีอย่างจีนก็ร่วงหนักเช่นกัน โดยดัชนี CSI300 เคยร่วงหนักถึง -32.4% และใช้เวลาอย่างนานในการฟื้นตัว โดยไปหลุดดอยอีกทีหลังโควิด-19 ผ่านพ้นไป
👉🏻 ส่วนตลาด Hang Seng ฮ่องกง ก็ลดลงถึง -25.8% และตลาดหุ้นไทย (SET) เองก็ปรับตัวลงถึง -15.8% ซึ่งทั้งคู่ยังไม่เคยหลุดดอยอีกเลยหลังจากนั้น
🎯 ในขณะที่หลายคนอาจตกใจและเครียดกับสภาพตลาดที่ผันผวนแบบนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตั้งสติ และอย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน การขายทิ้งหุ้นทันทีด้วยความกลัวอาจทำให้ขาดทุนหนักกว่าเดิม
💵 ในขณะที่บางคนที่มีเงินสดเตรียมไว้รอซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคาต่ำ อาจกลายเป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
นอกจากนี้การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยไม่ถือหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป และมีการจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้โดยไม่เจ็บตัวมากจนเกินไป
สุดท้ายคือการเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ ตลาดหุ้นแม้จะเผชิญกับวิกฤติหนักแค่ไหน สุดท้ายก็จะฟื้นกลับมาเสมอ (ไม่นับตลาดหุ้นแถวๆนี้นะ) สิ่งสำคัญคือเราจะผ่านช่วงเวลาที่ผันผวนนั้นไปอย่างไรให้ดีที่สุด
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจไม่ได้บอกว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับรอบนี้แบบเป๊ะๆ เพราะหลายๆฝ่ายก็เตรียมการไว้แล้ว อย่างไรก็ตามก็พอเป็นแนวทางให้ทุกคนเตรียมรับมือกับสงครามการค้ารอบนี้ค่ะ