สหรัฐฯ ประกาศระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนทั้งหมด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งต่อหน้าสาธารณะระหว่างเขากับประธานาธิบดียูเครน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ตามรายงานของ Bloomberg
คำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงอาวุธและอุปกรณ์ที่กำลังจะส่งมอบ รวมถึงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ทั้งทางอากาศ ทางทะเล และที่รออยู่ในโปแลนด์
ฝ่ายบริหารของทรัมป์อ้างว่าการระงับความช่วยเหลือนี้เป็นไปเพื่อกดดันยูเครนให้แสดง "ความมุ่งมั่นอย่างจริงใจต่อสันติภาพ"
ขณะที่สำนักข่าว The Wall Street Journal รายงานว่าสหรัฐฯ ยังหยุดให้เงินทุนสนับสนุนการขายอาวุธใหม่ และกำลังพิจารณายุติการจัดส่งอาวุธเพิ่มเติม การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าความช่วยเหลือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และทำให้เกิดคำถามว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งสู่สันติภาพจริง
ปฏิกิริยาของเซเลนสกีและความขัดแย้งทางการทูต
ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เซเลนสกีอย่างเปิดเผย โดยกล่าวหาว่าเขา "ไม่เคารพสหรัฐฯ" และพยายามขัดขวางความพยายามในการไกล่เกลี่ยสันติภาพระหว่างเคียฟและมอสโกว
ขณะที่เซเลนสกีเองยังคงยืนกรานว่าการเจรจาสันติภาพจะต้องมาพร้อมกับหลักประกันความปลอดภัยจากชาติตะวันตก
การเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างสองผู้นำถึงจุดสูงสุดเมื่อเซเลนสกีให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีการเริ่มต้นใด ๆ ในข้อตกลงยุติสงคราม
ทรัมป์ตอบโต้ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยกล่าวหาว่าเซเลนสกี "ไม่ต้องการสันติภาพ" ตราบใดที่ยังได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา นี่สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและเคียฟ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรสำคัญในสงครามต่อต้านรัสเซีย
ผลกระทบและอนาคตของยูเครน
ยูเครนพึ่งพาความช่วยเหลือจากตะวันตกอย่างมากในการต่อต้านกองกำลังรัสเซีย โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ซึ่งได้ให้การสนับสนุนทางทหารมูลค่ากว่า 66,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2022
หากทรัมป์เดินหน้าระงับความช่วยเหลือต่อไป อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อขีดความสามารถทางการทหารของยูเครน
ในขณะเดียวกัน รัสเซียมองว่านี่เป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังลดการสนับสนุนแก่เคียฟ และอาจเปิดโอกาสให้มอสโกวได้เปรียบในสนามรบ
การตัดสินใจของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามยูเครน และอาจเป็นสัญญาณถึงทิศทางใหม่ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาดูว่าการระงับความช่วยเหลือนี้ ซึ่งอาจพลิกเกมในสมรภูมิยุโรปตะวันออกไปอย่างสิ้นเชิง
ล่าสุด สหรัฐฯ ประกาศยุติ ความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนทั้งหมดแล้ว...555555++++
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกคำสั่งให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระงับความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนทั้งหมด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากความขัดแย้งต่อหน้าสาธารณะระหว่างเขากับประธานาธิบดียูเครน วลาดิมีร์ เซเลนสกี ตามรายงานของ Bloomberg
คำสั่งดังกล่าวครอบคลุมถึงอาวุธและอุปกรณ์ที่กำลังจะส่งมอบ รวมถึงที่อยู่ระหว่างการขนส่ง ทั้งทางอากาศ ทางทะเล และที่รออยู่ในโปแลนด์
ฝ่ายบริหารของทรัมป์อ้างว่าการระงับความช่วยเหลือนี้เป็นไปเพื่อกดดันยูเครนให้แสดง "ความมุ่งมั่นอย่างจริงใจต่อสันติภาพ"
ขณะที่สำนักข่าว The Wall Street Journal รายงานว่าสหรัฐฯ ยังหยุดให้เงินทุนสนับสนุนการขายอาวุธใหม่ และกำลังพิจารณายุติการจัดส่งอาวุธเพิ่มเติม การเคลื่อนไหวนี้ส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าความช่วยเหลือกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ และทำให้เกิดคำถามว่า นี่เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งสู่สันติภาพจริง
ปฏิกิริยาของเซเลนสกีและความขัดแย้งทางการทูต
ทรัมป์ได้วิพากษ์วิจารณ์เซเลนสกีอย่างเปิดเผย โดยกล่าวหาว่าเขา "ไม่เคารพสหรัฐฯ" และพยายามขัดขวางความพยายามในการไกล่เกลี่ยสันติภาพระหว่างเคียฟและมอสโกว
ขณะที่เซเลนสกีเองยังคงยืนกรานว่าการเจรจาสันติภาพจะต้องมาพร้อมกับหลักประกันความปลอดภัยจากชาติตะวันตก
การเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างสองผู้นำถึงจุดสูงสุดเมื่อเซเลนสกีให้สัมภาษณ์ว่ายังไม่มีการเริ่มต้นใด ๆ ในข้อตกลงยุติสงคราม
ทรัมป์ตอบโต้ผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social โดยกล่าวหาว่าเซเลนสกี "ไม่ต้องการสันติภาพ" ตราบใดที่ยังได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา นี่สะท้อนให้เห็นถึงรอยร้าวที่ลึกขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันและเคียฟ ซึ่งเคยเป็นพันธมิตรสำคัญในสงครามต่อต้านรัสเซีย
ผลกระทบและอนาคตของยูเครน
ยูเครนพึ่งพาความช่วยเหลือจากตะวันตกอย่างมากในการต่อต้านกองกำลังรัสเซีย โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ซึ่งได้ให้การสนับสนุนทางทหารมูลค่ากว่า 66,000 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่ปี 2022
หากทรัมป์เดินหน้าระงับความช่วยเหลือต่อไป อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อขีดความสามารถทางการทหารของยูเครน
ในขณะเดียวกัน รัสเซียมองว่านี่เป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังลดการสนับสนุนแก่เคียฟ และอาจเปิดโอกาสให้มอสโกวได้เปรียบในสนามรบ
การตัดสินใจของทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสงครามยูเครน และอาจเป็นสัญญาณถึงทิศทางใหม่ของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาดูว่าการระงับความช่วยเหลือนี้ ซึ่งอาจพลิกเกมในสมรภูมิยุโรปตะวันออกไปอย่างสิ้นเชิง