แชร์ประสบการณ์ "เกือบไม่น่ารอด" บนภูเขาหิมะ ที่ลานสกีญี่ปุ่น

จริง ๆ ลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะเขียนเล่าดีไหม เพราะถ้ามองผ่าน ๆ จะดูเหมือนตัวผมประมาทเอง ไม่ประมาณการตัวเอง หรือบ้าเองก็ได้ที่ดันเอาตัวเองเกือบกลายเป็นผู้ประสบภัยของจริง (ซึ่งคิดว่าคนปกติไม่น่าจะทำกัน) ถึงส่วนตัวจะมองว่าเป็นเหตุคาดไม่ถึงก็เถอะ แต่ก็คิดว่าน่าจะเขียนเล่าเพื่อหวังว่าประสบการณ์นี้จะช่วยให้ท่านอื่นได้อ่านกัน 



เรื่องคือ ผมวางแผนจะไปเล่นสกีที่ Zao Onsen ซึ่งด้วยฝีมือการเล่นสกีตัวเองถ้าเทียบกับไก่ ก็คงประมาณลูกเจี๊ยบ คือเคยมีประสบการณ์เล่นสกีมาแล้ว 2 ครั้ง ท่าควบคุมตอนไถลกับเบรกพื้นฐานคือสามารถควบคุมได้หมด และลองศึกษาข้อมูล + ดูคลิปอะไรมาหมดแล้ว ก็คิดว่าจะไปเล่นที่ Zao Onsen ซึ่งมีเป้าหมายคือไปดู Snow Monster ด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายคือกะจะเล่นด้วยเส้นสีเขียวซึ่งเป็นเส้นง่าย คือวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่กลับเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดถึง 3 อย่างด้วยกันเรื่องคือ ผมวางแผนจะไปเล่นสกีที่ Zao Onsen ซึ่งด้วยฝีมือการเล่นสกีตัวเองถ้าเทียบกับไก่ ก็คงประมาณลูกเจี๊ยบ คือเคยมีประสบการณ์เล่นสกีมาแล้ว 2 ครั้ง ท่าควบคุมตอนไถลกับเบรกพื้นฐานคือสามารถควบคุมได้หมด และลองศึกษาข้อมูล + ดูคลิปอะไรมาหมดแล้ว ก็คิดว่าจะไปเล่นที่ Zao Onsen ซึ่งมีเป้าหมายคือไปดู Snow Monster ด้วย แน่นอนว่าเป้าหมายคือกะจะเล่นด้วยเส้นสีเขียวซึ่งเป็นเส้นง่าย คือวางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้ว แต่กลับเจอสิ่งที่ไม่คาดคิดถึง 3 อย่างด้วยกัน


อย่างแรกคือ สภาพอากาศ วันที่ไปนั้นดันเป็นวันที่คลื่นความหนาวที่สุดของฤดูกาลมาพอดี ส่วนตัวเรานั้นก็ดันจองทุกอย่างล็อกวันนั้นไว้หมดแล้ว (ทั้งจองเช่าอุปกรณ์และแผนเดินทาง) ก็มองในแง่ดีว่ามันคงไม่มีอะไร มองอีกแง่คือ หิมะตกเยอะ ๆ จะทำให้เส้นทางไถลสกีเล่นง่ายเพราะหิมะจะนุ่มขึ้น และมองจากข้างล่างก็ไม่คิดว่าข้างบนจะมีอะไร และอย่างที่สองที่อันนี้ส่วนตัวผมประมาทเอง คือการไม่ประมาณร่างกายตัวเอง คิดว่าร่างกายตัวเองไหว ก็เลยดันแบกของหนักไปมา ทำให้ร่างกายอย่างเช่นแขนเริ่มล้าเพราะแบกกระเป๋าหนักไปมาในทริป (เพราะจุดที่จะไป อย่าง Zao ไม่มีตู้ล็อกเกอร์ใหญ่พอฝากกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ได้ เลยตัดสินใจไม่ได้เอากระเป๋าลากไป และเป็นอีกจุดที่คิดผิดมหันต์) และอย่างสุดท้ายคือ ความงกส่วนตัวเอง คือ เพราะตัวเราไม่ใช่คนที่มีเงินมากพอที่จะไปเที่ยวบ่อย ๆ ได้เหมือนคนอื่นเขา ยิ่งไปหน้าหนาวบ้านเขาคือนับครั้งได้ พอกลับมาเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นลอนจอนหรือเสื้อกันหนาวก็ต้องวางแหมะในตู้เสื้อผ้าแทบไม่ได้หยิบมาใส่ ก็เลยมองว่า ชุดเดิมเมื่อ 5 ปีก่อนก็มีและก็ยังอุ่นใช้ได้ ก็เลยคงไม่มีปัญหา ไม่ต้องซื้อใหม่ก็ได้ สุดท้ายก็คือ "ความหิว" และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของหายนะครั้งนี้เช่นกัน 



อย่างแรกที่เจอตอนขึ้นไปบนลานสกี Zao ก็คือ หิมะตกลงมาหนามาก หิมะหนาประมาณขึ้นมาบนเข่าเลย และตกมาเรื่อย ๆ แน่นอนว่าหิมะนุ่มจริงตามที่คิดไว้ แต่ข้อเสียคือหิมะมันสุมหนาเกินไป ทำให้แล่นไม่ค่อยไป และเมื่อแล่นไม่ค่อยไป ก็ต้องใช้กำลังแขนคอยดันให้ไถลไปข้างหน้า และเพราะหิมะสุมมาก เลยใช้แรงดันเยอะมาก และเมื่อกำลังแขนตัวเองมันล้าเป็นเดิมทุนอยู่แล้ว เลยทำให้แขนหมดแรงอย่างรวดเร็ว พูดง่าย ๆ คือ ของจริงแตกต่างจากในคลิปที่เราดูมา และเราไม่เคยเจอสถานการณ์ที่หิมะตกหนามากขนาดนี้



เมื่อเล่นไปจนถึงระยะหนึ่ง เราก็พบเห็นแล้วว่าหิมะมันตกมาเยอะมากเกินไปและเริ่มไม่ดี จริง ๆ ตอนนั้นเราก็เลือกจะกลับทางเดิมเพื่อขอลงกระเช้าลงไปก็ได้ แต่เพราะหิมะตกมาเยอะมากจนเริ่มมองอะไรไม่เห็น (ทุกอย่างขาวหมด หรือที่เรียกว่าปรากฎการณ์ไวท์เอาต์) ก็เลยไม่รู้ว่าตกลงแล้วทางกลับมันต้องไปทางไหน ขนาดป้ายบอกทางบางจุดอยู่ห่างจากจุดที่ยืนได้ก็เริ่มมองไม่เห็น (และเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยนะ) เราจึงตัดสินใจขึ้นไปเส้นแล่นตามแผนเดิม ที่จะเป็นเส้นสีเขียว (ง่าย) จุดที่เป็น Snow Monster ประมาณว่าไหน ๆ ก็ขึ้นมาแล้ว และจะไถลไปตามทาง ลงไปยังกระเช้าอีกจุด (คือจุดที่คนไม่ได้เล่นสกีจะขึ้นมาต่อแถวขึ้นกระเช้าไปดู Snow Monster ข้างบนสุด) ตรงนั้นจะมีร้านอาหารและกระเช้าพาลงได้ ก็ตัดสินใจจะไปทางนั้น



แต่เมื่อขึ้นไปแล้ว สิ่งที่พบคือ หิมะตกมาหนักมากยิ่งกว่าเดิม ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นลมมันแรงเท่าไหร่ แต่มันแรงมาก แรงระดับว่าถ้าใส่หมวกปกติคือหมวกปลิวไปแล้ว และตอนนั้นคือเราไม่ได้ซื้อแว่นสกีแบบดี ๆ มา (เนื่องจากผมใส่แว่นสายตาด้วย จริง ๆ แล้วคือสั่งมาจาก Lazada บ้านเราแหละ แต่ด้วยข้อผิดพลาดจากการขนส่ง ของเลยมาส่งไม่ทันก่อนผมเดินทาง ก็เลยไมได้ใช้) ร้านอุปกรณ์เช่าสกีก็เอาอันปกติราคาไม่น่าแพงมาให้ ผลก็คือ แว่นตาที่เปียกและฝ้าขึ้น เลยใส่แว่นแล้วยิ่งมองอะไรไม่เห็นไปใหญ่ ผมก็เลยไม่ได้ใส่แว่นตาเล่นสกีเลย (เพราะมันยังมองเห็นดีกว่า) และตอนนั้นอุณหภูมิคือ ประมาณ -10 ถึง -13 องศา ลองคิดดูว่าลมที่พัดมาแรงระดับแนว ๆ พวกลมที่พัดแรง ๆ บนชายหาด กับหิมะที่ตกลงมาหนักไม่หยุด มันสะท้านขนาดไหนเมื่อหน้าผมไม่มีอุปกรณ์อะไรปิดเลย (เพราะความงกตัวเองที่ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้) มันหนาวระดับที่ว่า กล้อง Go Pro ผมไม่ทำงาน เพราะแบตเตอร์รีเหลือ 0 องศา กล้องเลยปิดไม่ติดเลย คิดละกันว่ามันหนาวขนาดไหน



ตอนนั้นถึงเริ่มรู้ตัวละว่า คิดผิดที่ขึ้นมา เพราะมันมองอะไรไม่เห็น ขนาดคนญี่ปุ่นที่มาเล่นกันเองหลายคนยังหยุดกันเลย และตอนนั้นสิ่งที่เจอก็คือ กางเกงลอนจอนที่ใส่เริ่มย้วย (วันที่มาเล่นคือวันที่ 3 ในการเดินทาง 3 วันแรกไม่ย้วย ดันมาย้วยเอาวันที่เล่นสกี ซึ่งอาจจะเกิดจากการขยับที่ขาเยอะ) และเมื่อกางเกงย้วย สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันจะเริ่มเล่นสกีลำบากเพราะมันจะขยับยากขึ้น ใจจริงตอนนั้นคืออยากหาที่หลบหิมะเพื่อจัดระเบียบกางเกงใหม่หรือหาอะไรมารัด แต่จุดหลบก็ไม่มี มีจุดเดียวคือป้อมเล็ก ๆ ที่มีสตาฟญี่ปุ่นมานั่งในนั้นคุมลิฟท์สกี แต่เขาก็ไม่ยอมให้เข้า เราก็ต้องพยายามใส่กางเกงอะไรให้เข้าที่ ท่ามกลางอุณหภูมิ -13 องศาพร้อมลมพัดแรง ๆ ตรงนั้นแหละ








และเมื่อยืนแช่ตรงนั้นซัก 10 - 15 นาทีได้ ในเมื่อกลับลงไปไม่ได้ (เพราะห้ามนั่งลิฟท์สกีลงไป) ก็ตัดสินใจแล่นไปตามทาง โดยตาม ๆ คนญี่ปุ่นที่มาเล่นสกีกันไปเรื่อย ๆ และก็พบว่า มันไถลยากไม่เหมือนกับเวลาปกติเพราะหิมะมันสุมหนาเกิน คนที่ไถลไปได้ดูเหมือนจะมีแค่คนที่เล่นเชี่ยวชาญแล้วเท่านั้น เพราะเกินครึ่งก็คือ หยิบอุปกรณ์สกีหรือสโนว์บอร์ดลากเดินกันไปเลย จริง ๆ ผมก็พยายามไถลไปตามทางนะ (เพราะไถลย่อมไปเร็วกว่าเดินลากของหนัก ๆ ไป) แต่ก็เริ่มล้มเอาตอนนั้น เรียกได้ว่าล้มไปเดินไป เหมือนกับคนอื่น ๆ จากจุดนี้ผมมองเห็น Snow Monster แบบชัด ๆ สมใจอยากจริง ๆ น่ะแหละ แต่ก็แลกกับระยะทางที่ไกล ไถลยาก พร้อมความขาววอดอารมณ์ดุจเมืองไซเลนฮิลล์เวอร์ชันบนภูเขาหิมะพร้อมกับลมพัดแรง ๆ ด้วยอุณหภูมิ -10 ถึง -13 องศา 



เมื่อผมเอาตัวเองไปถึงจุดที่ควรจะต้องลงไปยังร้านอาหารและกระเช้าลง แต่สิ่งที่ผมตัดสินใจพลาดตอนนั้นคือ ไม่กล้าไถลลงไป เพราะมันเป็นมุม 30 -  45 องศา มันเป็นมุมที่แบบไม่ใช่แค่คนต้องเล่นเป็น แต่ร่างกายต้องพร้อมด้วย แต่เวลานั้นร่างกายผมไม่พร้อมซักอย่าง นอกจากแขนจะเริ่มไม่มีแรง กางเกงย้วยแล้ว อีกอย่างก็คือเริ่มหิว เพราะผมตั้งใจว่าจะขึ้นมากินอาหารเที่ยงในร้านข้างบน แต่เพราะติดอยู่กลางหิมะและมายาก เลยเวลากินข้าวเที่ยง ก็เลยเริ่มหิว เลยกลัวว่าตัวเองจะไถลลงไปไม่ได้ เลยตัดสินใจไม่ไถลลงไป แล้วตั้งใจว่าจะเลียบทางข้าง ๆ กลับไปทางเดิมที่ขึ้นมาและลงจากตรงนั้นไปแทน (มานึกเอาทีหลังได้ว่า เอาจริงตอนนั้นถ้าเราถอดอุปกรณ์สกีแล้วเดินลงไปก็น่าจะได้ แต่กลับนึกไม่ถึงเวลานั้น) 



เส้นที่ผมตัดสินใจเลือกไปนั้นแม้จะไม่ได้ชันมากเมื่อเทียบกับทางทีแรก แต่ก็แลกกับหิมะสุมหนาเกินทำให้แล่นไม่ไปในบางจุด + ชันบางจุดที่ก็ชัน 45 องศาเหมือนกัน ผลก็คือจุดตอนนั้นผมเริ่มล้ม ล้มแล้วล้มอีก และล้มระดับที่ว่าเข็มขัดที่ซื้อมาหลุดกระจุย (ใช่ครับ หัวกับตัวล็อกเข็มขัดหลุดกระจุย) เลยทำได้แค่เอาเข็มขัดมามัดเอาไว้แบบบ้าน ๆ แล้วก็พยายามพาตัวเองไปให้ได้ 



ระหว่างทางก็พอมีคนญี่ปุ่นแล่นสกีมาบ้างแต่คือน้อยคนมาก ๆ นับได้คือมีไม่ถึง 6 คน มีคนนึงแม้จะคุยไม่รู้เรื่องแต่เขาก็เห็นแล้วว่าผมไปยาก เขาก็ประมาณไปช้า ๆ เพื่อรอผมบ้าง แต่เหมือนเพื่อนเขาจะเรียก ก็เลยแล่นผ่านไปแต่ก็มีชี้บอกว่าทางข้างหน้ามีลิฟท์สกีอยู่นะ (หรือก็คือไปทางนี้ได้) แต่เวลานั้นคือ ทั้งตัวเปียกปอนไปหมด หายใจทางจมูกแทบจะไม่ได้ ต้องหายใจทางปาก กินหิมะเข้าปากก็ไม่รู้กี่คำ แล้วก็รู้สึกว่าหิมะมันก็รสเค็มปะแหล่ม ๆ ดี แต่ตอนนั้นก็คงอารมณ์แบบ ช่างเถอะ หิมะบนเขาก็คือฝนบนภูเขา มันก็คงสะอาดกว่าบ้านเราละนะ จริง ๆ ก็มีเอาน้ำเปล่าขึ้นไปเตรียมตัวด้วยนะ แต่สภาพอากาศแบบนั้น น้ำที่กินเลยกลายเป็นน้ำเย็นเจี๊ยบ (เหมือนน้ำแช่น้ำแข็งฉ่ำๆ) ซึ่งอีกหนึ่งความพลาดคือ จริง ๆ ผมมีกระบอกน้ำที่เก็บอุณหูมิได้ แต่ดันไม่เอามาเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่