เชื่อไหม…’แผลร้อนใน’มีความเสี่ยงมะเร็งช่องปากได้
อันตรายที่เกิดจาก “แผลร้อนใน” ความเสี่ยงที่จะเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็งในช่องปาก
อ. พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึง “ร้อนใน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แผลในปาก” ว่า เป็นปัญหาที่หลายคนประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ แผลร้อนในไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวันอีกด้วย บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับแผลร้อนใน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผลร้อนใน คืออะไร ?
“แผลร้อนใน” หรือ “แผลในปาก” คือแผลขนาดเล็กตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรถึงขนาดใหญ่เกิน 1 เซนติเมตร ที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เช่น บนริมฝีปาก ด้านในของแก้ม ลิ้น หรือใต้เหงือก แผลเหล่านี้มักมีสีขาวหรือสีเหลือง และมีขอบสีแดง เมื่อสัมผัสโดนแผลทำให้เกิดอาการเจ็บและระคายเคืองในปาก เช่น เวลารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ แผลร้อนในสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัยและมักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากแผลไม่หายไปหรือเกิดบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม
ร้อนใน เกิดจาก
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้าไปกระตุ้นจนก่อให้เกิดแผลร้อนในขึ้น ดังนี้
พันธุกรรม
เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
การขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือระหว่างมีประจำเดือน
ความเครียดหรือความกังวล
พักผ่อนไม่เพียงพอ
อาหารบางชนิดที่มีอาการแพ้
จัดฟันหรือมีอุปกรณ์ทันตกรรมในช่องปาก
โรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคโครห์น โรคเบเช็ท เอชไอวี
ร้อนใน อาการเป็นอย่างไร
ผู้ป่วยที่เป็นแผลร้อนใน ในช่องปากโดยทั่วไปจะมีอาการที่คล้ายกัน คือ มีลักษณะบวม แดง และเจ็บบริเวณที่เป็นแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้สูงหรือต่อมน้ำเหลืองบวมโต
อันตรายที่เกิดจากแผลร้อนใน
แผลร้อนในที่เกิดขึ้นในช่องปากจะสามารถหายเองได้ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็งในช่องปากได้เช่นกัน เนื่องจากมีอาการที่ควรเฝ้าระวัง หากแผลร้อนในมีลักษณะดังนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
แผลเกิดขึ้นจำนวนมากกว่า 1 จุด และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่แผลเก่ายังไม่หาย
แผลมีขนาดใหญ่เกินกว่าปกติหรือลุกลามไปบริเวณอื่น
มีแผลร้อนในเกิดขึ้นต่อเนื่องและอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของอาการร้อนใน
หากไม่รักษาแผลร้อนในอย่างถูกวิธี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น แผลที่หายไปแล้วอาจกลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเรื้อรังทำให้มีคุณภาพชีวิตลดลง
วิธีการรักษาแผลร้อนใน
แผลร้อนในสามารถหายเองได้ในเวลาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ช่วงที่มีอาการควรปฏิบัติตัว ดังนี้
ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟันโดยใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม
ใช้น้ำยาบ้วนปากอ่อน ๆ
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
ใช้ยาทาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดที่ใช้ภายนอก
ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หากอาการรุนแรง
จี้ด้วยเคมีหรือไฟฟ้า
พักผ่อนให้เพียงพอ
“เกลือ” ช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วจริงหรือไม่ ?
การอมหรือกลั้วปากด้วยเกลือโดยใช้เกลือ 1 ถึง 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว ใช้ในการอมหรือบ้วนปากสามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้เกลือในปริมาณที่มากเกินไปหรือนำเกลือป้ายบริเวณแผลร้อนในโดยตรง อาจส่งผลให้มีการระคายเคืองบริเวณแผลทำให้แผลหายช้าได้
วิธีป้องกันแผลร้อนใน
รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน หรืออาหารที่มีรสเผ็ดร้อน
รับประทานผักและผลไม้อย่างสม่ำเสมอ
ดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
หลีกเลี่ยงความเครียด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟันหลังรับประทานอาหาร
พักผ่อนให้เพียงพอ
แผลร้อนในเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ด้วยการดูแลรักษาที่ถูกต้องและการป้องกันที่ดี สามารถลดความถี่และความรุนแรงของแผลได้ การรักษาแผลร้อนในด้วยวิธีธรรมชาติอย่างการใช้เกลือ การรักษาความสะอาดในช่องปาก และการดูแลสุขภาพทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญ หากแผลไม่หายไปหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีและปากที่สุขภาพดีได้อีกครั้ง...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4456746/
รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว….จริงหรือ?
"โรคอ้วน" อย่าคิดว่าแค่น้ำหนักตัวมาก แต่กลับกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบตั้งแต่หัวจรดเท้า!
หลาย ๆ คนคิดว่า อ้วน ก็แค่น้ำหนักตัวมาก ถ้าไม่เป็นโรคก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หารู้ไม่ว่า “สภาวะอ้วน” ถือว่าเป็นโรค โรคหนึ่ง เป็นภัยเงียบ ที่ส่งผลต่อทุกระบบในร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงทำให้อายุสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ!!!
โดยในวันนี้ นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง ได้เผยผ่าน Healthy Clean ว่า ผลกระทบของโรคอ้วนนั้น มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสามารถแยกเป็น 9 หัวข้อหลัก ได้แก่..
1.ระบบหัวใจ และหลอดเลือดโดยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป จะเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง และเกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดเลือด ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือด จนหลอดเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis) เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคสมองขาดเลือดจนเป็นอัมพาต (Ischemic stroke) เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction) และ หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
2.ระบบทางเดินหายใจ เชื่อหรือไม่ว่า แค่การนอนกรน ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาต่อคนรอบข้าง แต่ยังส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือดของตัวผู้ป่วยเอง โดยในผู้ป่วยโรคอ้วนกว่า 90% จะมีสภาวะนอนกรน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการหายใจอุดกั้นขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) ทำให้เราขาดออกซิเจนเรื้อรัง ไม่เพียงแต่ทำให้เราพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว ยังทำให้มีความจำสั้นลง ความดันในเลือดสูง ตลอดจนหัวใจล้มเหลวตามมาได้
3.ระบบต่อมไร้ท่อ หรือ ฮอร์โมนต่าง ๆ ของร่างกาย แน่นอนว่าทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าสภาวะโรคอ้วนจะตามมาด้วย โรคเบาหวานชนิดที่สอง (Diabetes Mellitus type 2) และ สภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลที่มีอยู่ในเส้นเลือดได้ และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น แผลเรื้อรังที่ขา (Diabetic Foot), เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy), เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy)
4.ระบบทางเดินน้ำดี ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี เกิดความผิดปกติ ทำให้เกิดโรคไขมันเกาะตับ (Non-alcoholic fatty liver disease หรือ NAFLD) ที่เรารู้จักกันดี ไขมันก็ไม่ได้แค่ไปแปะอยู่ที่ตับเพียงอย่างเดียว แต่ทำให้เกิดการอักเสบตลอดเวลา (Non-alcoholic steatohepatitis หรือ NASH) จนทำให้เกิดสภาวะตับแข็งตามมา (Cirrhosis) และโรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstone) ซึ่งก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถพบได้มากในผู้ป่วยโรคอ้วน เนื่องจากส่วนประกอบในน้ำดีที่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับคลอเรสเตอรอล ที่สูงขึ้นทำให้เกิดนิ่วชนิดที่เรียกว่า Cholesterol Stone
5.ระบบทางเดินอาหาร เมื่อเรามีไขมันสะสมอยู่มาก ทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องมากขึ้น จนเกิดเป็นโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) ตามมาซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งตามมาได้ในอนาคต
6.ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เมื่อข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกายต้องรับน้ำหนักมากขึ้น (Weight bearing joint) จะทำให้มีอาการปวดเข่า ข้อเท้า สะโพก ได้ และอาจจะส่งผลให้เกิดข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) ขึ้นตามมา โดยเมื่อยิ่งมีอาการปวด เรายิ่งออกกำลังกายได้ลดลง ก็ยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
7.ระบบสืบพันธุ์ นอกจากโรคที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น ในเพศหญิงจะมีประจำเดือนมาผิดปกติจากโรคถุงน้ำรังไข่ (Polycystic Ovary Syndrome) โรคอ้วนยังทำให้เกิดการมีบุตรยากทั้งในเพศชายและเพศหญิง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเราตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus) อาการครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
8.ระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อมีไขมันในร่างกายในปริมาณมาก จะสร้างสารที่เรียกว่า Pro-Inflammatory Cytokines ซึ่งสารชนิดนี้ ทำให้เกิดอาการอักเสบทั่วร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว และสุดท้าย 9. ระบบไหลเวียนเลือด เมื่อเรามีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ส่งผลทำให้ความดันในหลอดเลือดดำที่ขาสูงขึ้น จนเกิดเป็นโรคเส้นเลือดขอด บริเวณขา ทำให้มีอาการขาบวมได้ ซึ่งในรายที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เป็นแผลอักเสบเรื้อรัง (Chronic Venous Insufficiency) หรือมีการอุดตันของเส้นเลือดดำที่ขา (Deep Vein Thrombosis)
“ไม่เพียงแต่โรคอ้วนจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ยังทำให้เรามีอายุขัยที่สั้นลง!! มีงานวิจัยรายงานว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนที่มี BMI > 40 ขึ้นไป ทำให้มีอายุขัยสั้นลงได้ถึง 14 ปี
โดยสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งหากเราสามารถแก้ไขโรคหรือดูแลสภาวะร่างกายต่าง ๆ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ให้ดี เพียงแค่นี้ เราลดน้ำหนักลงมา ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย… จริงมั้ยครับ” นพ.ศิรสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4412083/
เชื่อไหม…’แผลร้อนใน’มีความเสี่ยงมะเร็งช่องปากได้ และ รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว….จริงหรือ?
อันตรายที่เกิดจาก “แผลร้อนใน” ความเสี่ยงที่จะเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็งในช่องปาก
อ. พญ.โยษิตา หมื่นแก้ว ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึง “ร้อนใน” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แผลในปาก” ว่า เป็นปัญหาที่หลายคนประสบพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ แผลร้อนในไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตประจำวันอีกด้วย บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับแผลร้อนใน ตั้งแต่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แผลร้อนใน คืออะไร ?
“แผลร้อนใน” หรือ “แผลในปาก” คือแผลขนาดเล็กตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรถึงขนาดใหญ่เกิน 1 เซนติเมตร ที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เช่น บนริมฝีปาก ด้านในของแก้ม ลิ้น หรือใต้เหงือก แผลเหล่านี้มักมีสีขาวหรือสีเหลือง และมีขอบสีแดง เมื่อสัมผัสโดนแผลทำให้เกิดอาการเจ็บและระคายเคืองในปาก เช่น เวลารับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ แผลร้อนในสามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัยและมักหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากแผลไม่หายไปหรือเกิดบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม
ร้อนใน เกิดจาก
ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่สามารถสรุปสาเหตุที่แน่ชัดได้ แต่อาจเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้าไปกระตุ้นจนก่อให้เกิดแผลร้อนในขึ้น ดังนี้
พันธุกรรม
เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
การขาดสารอาหาร เช่น วิตามินบี 12 กรดโฟลิก
การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้หญิงช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือระหว่างมีประจำเดือน
ความเครียดหรือความกังวล
พักผ่อนไม่เพียงพอ
อาหารบางชนิดที่มีอาการแพ้
จัดฟันหรือมีอุปกรณ์ทันตกรรมในช่องปาก
โรคประจำตัวเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคโครห์น โรคเบเช็ท เอชไอวี
ร้อนใน อาการเป็นอย่างไร
ผู้ป่วยที่เป็นแผลร้อนใน ในช่องปากโดยทั่วไปจะมีอาการที่คล้ายกัน คือ มีลักษณะบวม แดง และเจ็บบริเวณที่เป็นแผลร้อนใน บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีไข้สูงหรือต่อมน้ำเหลืองบวมโต
อันตรายที่เกิดจากแผลร้อนใน
แผลร้อนในที่เกิดขึ้นในช่องปากจะสามารถหายเองได้ แต่ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นระยะเริ่มแรกของมะเร็งในช่องปากได้เช่นกัน เนื่องจากมีอาการที่ควรเฝ้าระวัง หากแผลร้อนในมีลักษณะดังนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
แผลเกิดขึ้นจำนวนมากกว่า 1 จุด และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องขณะที่แผลเก่ายังไม่หาย
แผลมีขนาดใหญ่เกินกว่าปกติหรือลุกลามไปบริเวณอื่น
มีแผลร้อนในเกิดขึ้นต่อเนื่องและอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อนของอาการร้อนใน
หากไม่รักษาแผลร้อนในอย่างถูกวิธี อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น แผลที่หายไปแล้วอาจกลับมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดเรื้อรังทำให้มีคุณภาพชีวิตลดลง
วิธีการรักษาแผลร้อนใน
แผลร้อนในสามารถหายเองได้ในเวลาไม่เกิน 1-2 สัปดาห์ ช่วงที่มีอาการควรปฏิบัติตัว ดังนี้
ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟันโดยใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม
ใช้น้ำยาบ้วนปากอ่อน ๆ
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัดที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
ใช้ยาทาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดที่ใช้ภายนอก
ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน หากอาการรุนแรง
จี้ด้วยเคมีหรือไฟฟ้า
พักผ่อนให้เพียงพอ
“เกลือ” ช่วยให้แผลร้อนในหายเร็วจริงหรือไม่ ?
การอมหรือกลั้วปากด้วยเกลือโดยใช้เกลือ 1 ถึง 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 แก้ว ใช้ในการอมหรือบ้วนปากสามารถช่วยลดการอักเสบได้ แต่ต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม หากใช้เกลือในปริมาณที่มากเกินไปหรือนำเกลือป้ายบริเวณแผลร้อนในโดยตรง อาจส่งผลให้มีการระคายเคืองบริเวณแผลทำให้แผลหายช้าได้
วิธีป้องกันแผลร้อนใน
รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ของทอด ของมัน หรืออาหารที่มีรสเผ็ดร้อน
รับประทานผักและผลไม้อย่างสม่ำเสมอ
ดื่มน้ำอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน
หลีกเลี่ยงความเครียด
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างสม่ำเสมอ เช่น แปรงฟันหลังรับประทานอาหาร
พักผ่อนให้เพียงพอ
แผลร้อนในเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ด้วยการดูแลรักษาที่ถูกต้องและการป้องกันที่ดี สามารถลดความถี่และความรุนแรงของแผลได้ การรักษาแผลร้อนในด้วยวิธีธรรมชาติอย่างการใช้เกลือ การรักษาความสะอาดในช่องปาก และการดูแลสุขภาพทั่วไปเป็นสิ่งสำคัญ หากแผลไม่หายไปหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีและปากที่สุขภาพดีได้อีกครั้ง...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4456746/
รู้จักโรคอ้วนดีแล้ว….จริงหรือ?
"โรคอ้วน" อย่าคิดว่าแค่น้ำหนักตัวมาก แต่กลับกลายเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบตั้งแต่หัวจรดเท้า!
หลาย ๆ คนคิดว่า อ้วน ก็แค่น้ำหนักตัวมาก ถ้าไม่เป็นโรคก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หารู้ไม่ว่า “สภาวะอ้วน” ถือว่าเป็นโรค โรคหนึ่ง เป็นภัยเงียบ ที่ส่งผลต่อทุกระบบในร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมถึงทำให้อายุสั้นลงอย่างมีนัยสำคัญ!!!
โดยในวันนี้ นพ.ศิรสิทธิ์ เลาหทัย ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องขั้นสูง ได้เผยผ่าน Healthy Clean ว่า ผลกระทบของโรคอ้วนนั้น มีผลต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งสามารถแยกเป็น 9 หัวข้อหลัก ได้แก่..
1.ระบบหัวใจ และหลอดเลือดโดยน้ำหนักตัวที่มากเกินไป จะเพิ่มภาระการทำงานของหัวใจ ส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง และเกิดการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุหลอดเลือด ทำให้เกิดความเสียหายต่อหลอดเลือด จนหลอดเลือดแดงแข็งตัว (Atherosclerosis) เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคสมองขาดเลือดจนเป็นอัมพาต (Ischemic stroke) เส้นเลือดหัวใจตีบ หัวใจขาดเลือด (Myocardial Infarction) และ หัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
2.ระบบทางเดินหายใจ เชื่อหรือไม่ว่า แค่การนอนกรน ไม่ได้เป็นแค่ปัญหาต่อคนรอบข้าง แต่ยังส่งผลต่อหัวใจและหลอดเลือดของตัวผู้ป่วยเอง โดยในผู้ป่วยโรคอ้วนกว่า 90% จะมีสภาวะนอนกรน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะการหายใจอุดกั้นขณะนอนหลับ (Obstructive Sleep Apnea หรือ OSA) ทำให้เราขาดออกซิเจนเรื้อรัง ไม่เพียงแต่ทำให้เราพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว ยังทำให้มีความจำสั้นลง ความดันในเลือดสูง ตลอดจนหัวใจล้มเหลวตามมาได้
3.ระบบต่อมไร้ท่อ หรือ ฮอร์โมนต่าง ๆ ของร่างกาย แน่นอนว่าทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าสภาวะโรคอ้วนจะตามมาด้วย โรคเบาหวานชนิดที่สอง (Diabetes Mellitus type 2) และ สภาวะดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลที่มีอยู่ในเส้นเลือดได้ และเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น แผลเรื้อรังที่ขา (Diabetic Foot), เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy), เบาหวานลงไต (Diabetic Nephropathy)
4.ระบบทางเดินน้ำดี ตับ ตับอ่อน ถุงน้ำดี เกิดความผิดปกติ ทำให้เกิดโรคไขมันเกาะตับ (Non-alcoholic fatty liver disease หรือ NAFLD) ที่เรารู้จักกันดี ไขมันก็ไม่ได้แค่ไปแปะอยู่ที่ตับเพียงอย่างเดียว แต่ทำให้เกิดการอักเสบตลอดเวลา (Non-alcoholic steatohepatitis หรือ NASH) จนทำให้เกิดสภาวะตับแข็งตามมา (Cirrhosis) และโรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstone) ซึ่งก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่สามารถพบได้มากในผู้ป่วยโรคอ้วน เนื่องจากส่วนประกอบในน้ำดีที่เปลี่ยนแปลงไปจากระดับคลอเรสเตอรอล ที่สูงขึ้นทำให้เกิดนิ่วชนิดที่เรียกว่า Cholesterol Stone
5.ระบบทางเดินอาหาร เมื่อเรามีไขมันสะสมอยู่มาก ทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องมากขึ้น จนเกิดเป็นโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD) ตามมาซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งตามมาได้ในอนาคต
6.ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เมื่อข้อต่อต่าง ๆ ของร่างกายต้องรับน้ำหนักมากขึ้น (Weight bearing joint) จะทำให้มีอาการปวดเข่า ข้อเท้า สะโพก ได้ และอาจจะส่งผลให้เกิดข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) ขึ้นตามมา โดยเมื่อยิ่งมีอาการปวด เรายิ่งออกกำลังกายได้ลดลง ก็ยิ่งทำให้น้ำหนักตัวเราเพิ่มมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
7.ระบบสืบพันธุ์ นอกจากโรคที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น ในเพศหญิงจะมีประจำเดือนมาผิดปกติจากโรคถุงน้ำรังไข่ (Polycystic Ovary Syndrome) โรคอ้วนยังทำให้เกิดการมีบุตรยากทั้งในเพศชายและเพศหญิง รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเราตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes Mellitus) อาการครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia)
8.ระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อมีไขมันในร่างกายในปริมาณมาก จะสร้างสารที่เรียกว่า Pro-Inflammatory Cytokines ซึ่งสารชนิดนี้ ทำให้เกิดอาการอักเสบทั่วร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว และสุดท้าย 9. ระบบไหลเวียนเลือด เมื่อเรามีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป ส่งผลทำให้ความดันในหลอดเลือดดำที่ขาสูงขึ้น จนเกิดเป็นโรคเส้นเลือดขอด บริเวณขา ทำให้มีอาการขาบวมได้ ซึ่งในรายที่มีอาการรุนแรงจะทำให้เป็นแผลอักเสบเรื้อรัง (Chronic Venous Insufficiency) หรือมีการอุดตันของเส้นเลือดดำที่ขา (Deep Vein Thrombosis)
“ไม่เพียงแต่โรคอ้วนจะทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ยังทำให้เรามีอายุขัยที่สั้นลง!! มีงานวิจัยรายงานว่า ผู้ป่วยโรคอ้วนที่มี BMI > 40 ขึ้นไป ทำให้มีอายุขัยสั้นลงได้ถึง 14 ปี โดยสาเหตุหลักของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งหากเราสามารถแก้ไขโรคหรือดูแลสภาวะร่างกายต่าง ๆ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ให้ดี เพียงแค่นี้ เราลดน้ำหนักลงมา ซึ่งทำได้ไม่ยากเลย… จริงมั้ยครับ” นพ.ศิรสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4412083/