[รีวิว] สวัสดีวันจันทร์(ส) - ชีวิตติดลูปของชายไม่เอาไหนที่กลายเป็นบททดสอบถึงชีวิตและสายสัมพันธ์

(1) ภาพยนตร์ “สวัสดีวันจันทร์(ส)” จั่วหัวขึ้นมาอย่างชัดเจนว่า ตัวละครนำของเรื่องอย่าง “เอิร์ธ” (โอบ-โอบนิธิ วิวรรธนวรางค์) จะหลุดจากลูปวันจันทร์อันแสนสุขของเขา มันก็ทำให้มุมมองในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างออกไปจาก “หนังวนลูป” ทั่วไป ที่จุดไคล์แมกซ์มักจะเป็นการหลุดพ้นวังวนนรกของตัวละครนำ ซึ่งการย้ายจุดที่ว่านี้มาเป็นจุดพลิกผันของเรื่อง ก็นับว่าเป็นความกล้าหาญไม่น้อยและเป็นแนวทางแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยมีใคร(กล้า)ทำเหมือนกัน

(2) เมื่อตั้งธงนี้ไว้ในใจก่อนเริ่มชมก็พบว่า ความหรรษาในช่วงที่เอิร์ธติดลูปวันจันทร์อยู่นั้นเป็นเหมือน “ภาพลวงตา” ที่ย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า “เดี๋ยวมันก็ออก” พร้อมๆ กับคอยสอดส่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นว่า เดี๋ยวสิ่งไหน หรือประเด็นอะไรบ้าง ที่เอิร์ธมันไปก่อไว้จะย้อนกลับมาเล่นงานเมื่อออกลูป และมันต้องสร้างความ “ดราม่า” ให้ตัวหนังร้อยเปอร์เซนต์ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น ความบรรลัยที่เอิร์ธไปก่อแบบไม่คิดหน้าคิดหลังตามอุปนิสัย(สันดาน) ในลูปมันทำให้เขาต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น กลายเป็นบททดสอบให้คนที่ไม่เอาไหนคนนี้ให้พบกับการเปลี่ยนแปลงทางวุฒิภาวะแบบไม่มีวันหวนคืน

(3) อันที่จริงก็เข้าใจได้ว่าสิ่งที่เอิร์ธมันทำลงไปในลูป เป็นสิ่งที่ใครก็ตามน่าจะลองทำเหมือนกันหากบังเอิญได้รับอำนาจระดับ “เจ้าโลก” นี้มาครอบครอง หรืออาจจะทำในสิ่งตำบอนมากกว่าเอิร์ธก็เป็นได้ (รู้นะว่าคิดจะทำอะไรกัน) ดังนั้น คาแรคเตอร์ของตัวละครนี้จึงถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับการตัดสินใจของเขา ซึ่งหากเอิร์ธเป็นคนที่โฉดชั่วกว่านี้สักหน่อย ก็จินตนาการไม่ออกเลยถึงสิ่งที่เขาจะทำ

(4) เพื่อยับยั้งความเป็นไปได้ต่างๆ เอิร์ธจึงเป็นแค่นักศึกษามหาลัยฯ ปี 8 ที่ไม่เอาไหน และใช้อำนาจการวนลูปเพื่อทุ่มเทจีบ “สายไหม” (พีพี-ปุญญ์ปรีดี คุ้มพร้อม รอดสวาสดิ์) สาวสวยระดับดาวคณะที่สนิทกันในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง สำหรับเอิร์ธการพิชิตใจสายไหมสำคัญกว่าการเรียนจบเป็นไหนๆ ด้วยบุคลิกนี้ หากว่าเอิร์ธใส่แว่น เราสามารถบอกได้เลยว่านี่คือ “โนบิ โนบิตะ” ฉบับคนแสดง เพราะจุดร่วมของสองตัวละครนี้คือ การได้อำนาจล้นฟ้ามาอยู่ในมือ แต่กับใช้สนองความต้องการง่ายๆ ของตัวเอง เช่น โนบิตะที่ได้รับนาฬิกาหยุดเวลา แต่เอาไปใช้เพื่อนอนกลางวันหรือแอบลอกการบ้านเพื่อนประมาณนั้น

(5) เมื่อมีโนบิตะก็ย่อมต้องมีคู่หูตัวสีฟ้าแห่งโลกอนาคตอย่าง “โดราเอม่อน” ที่ถูกดัดแปลงเป็น “รักษ์” (วิคเตอร์-ชัชชวิศ เตชะรักษ์พงศ์) เพื่อนสนิทของเอิร์ธ กูรูสายมูชื่อดังบนโลกออนไลน์ แน่นอนว่ารักษ์เป็นดั่งโดราเอม่อนให้กับเอิร์ธ ทั้งคอยเก็บกวาดห้องให้ ซื้อกับข้าวให้กิน ให้คำปรึกษา คอยช่วยเหลือ และเตือนสติเอิร์ธอยู่เสมอ (แสนดีแบบนี้หาได้ที่ไหน) ดูแลดียิ่งกว่าแฟนสาวหน้าตาจิ้มลิ้มอย่าง “กิมจิ” (เบล-วริศรา จิตปรีดาสกุล) ซะอีก ซึ่งพูดได้เลยว่าถ้ารักษ์แอบปลอมตัวเข้าไปสอบแทนเอิร์ธได้เขาก็คงทำไปแล้ว

(6) แน่นอนอุปสรรคชิ้นโตที่กีดกันเอิร์ธกับสายไหม ก็คือ เต้ (ปูน มิตรภักดี) ที่ตรงข้ามกับเอิร์ธทุกอย่าง หน้าตาดี มีฐานะ เป็นศิลปิน มีชื่อเสียง และที่สำคัญ สายไหมก็ดูเหมือนจะมีใจให้ด้วย พาลให้นึกถึงตัวละครสุดเพอร์เฟคอย่าง “เดคิสุงิ ฮิเดโทชิ” ซึ่งเอิร์ธต้องก้าวผ่านให้ได้ ทั้งหมดนี้เป็นเซตติ้งเรื่องที่ถูกตั้งไว้เพื่อรอไปถึงจุดพลิกผันที่เป็นบททดสอบที่แท้จริงของเอิร์ธ

(7) เห็นได้ชัดว่างานที่เป็นเรื่องแรกของผู้กำกับ “ก่อ-ชาคร ไชยปรีชา” มีท่าทีและน้ำเสียงการเล่าเรื่องที่พยายามแหกขนบหนังแบบเดิมๆ โดยการเติมลูกเล่นด้านการตัดต่อ การใช้ขนาดภาพ และการแสดง ให้มีความหลากหลาย มีความเฉพาะตัวเหมือนนักร้องด้นสดตามฟิลลิ่งทำนองนั้น ในทางที่ดี คือ มันเป็นรสชาติเฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร แต่ในอีกทางนึง มันก็ไม่ใช่รสชาติที่ลงตัวเท่าไหร่นัก เพราะมีความกระโตกกระตาก ไม่ราบเรียบ และขาดความสม่ำเสมอ

(8) โดยในช่วงแรกของภาพยนตร์ที่ใช้ขนาดภาพเต็มจอ ตัวหนังมีความเป็นมือสมัครเล่นแบบสุดๆ ทั้งการแสดง การถ่ายภาพ การย้อมสี และการใช้เสียงประกอบประหนึ่งงานของนักศึกษาหรือละครคุณธรรมในโซเชียลด้วยซ้ำ จนแอบคิดลบไปว่าทำได้แค่นี้เองหรือ? จนเมื่อเอิร์ธเรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากการวนลูป ก็รู้สึกได้ว่าทุกอย่างดีขึ้น พร้อมๆ กับอัตราส่วนภาพที่เปลี่ยนไป (เพิ่มแถบบนล่างขึ้นมาให้ภาพดูยาวขึ้น) กลายเป็นคุณภาพในแบบที่ภาพยนตร์สมควรจะเป็น และเมื่อออกลูปก็ดูเหมือนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแต่ดีขึ้นกว่าพาร์ทแรก จุดนี้ใครจะมองว่าเป็นการสร้างสรรค์หรือใครจะมองว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญก็สุดแล้วแต่บุคคล

(9) ส่วนประเด็นสำคัญของเรื่องที่พูดถึงสายสัมพันธ์ระหว่างเอิร์ธกับรักษ์ (ซึ่งรวมกันเป็น “รักษ์โลก” ไม่ชอบวิธีการตั้งชื่อตัวละครแบบนี้เลยให้ตายสิ) ทำได้ดีสำหรับหนังตลก คือ มาในจังหวะที่เหมาะสมและหนักแน่น แม้ว่าจะสั่งสอนกันโต้งๆ และมีจุดจบที่คล้ายกับนิทานสอนใจหรือละครคุณธรรม แต่ก็เอาเถอะอย่างน้อยจุดนี้ก็ทำให้ “สวัสดีวันจันทร์(ส)” หลุดพ้นจากหนังเบาสมองไร้แก่นสารไปได้หวุดหวิด ต้องชมการแสดงของ วิคเตอร์-ชัชชวิศ ในบทรักษ์ ที่เวลาตัวละครนี้ปรากฏตัวทีไร ตัวหนังดูมีน้ำมีนวล มีความลุ่มลึกมากขึ้น ท่ามกลางบทพูดห่ามๆ และตัวละครแบบเอิร์ธที่แทบจะกลายเป็นการ์ตูนไปแล้วก็ตาม

(10) และพาร์ทครอบครัวที่อาจจะบอกได้ว่านี่เป็นครอบครัวที่หลายคนต้องการ เพราะแม้ว่าเอิร์ธจะเรียนอยู่ถึงปีที่ 8 และมีแนวโน้มว่าไม่น่าจะจบ อีกทั้งที่บ้านก็มีปัญหาด้านธุรกิจและการเงินเริ่มขัดสน แต่พ่อแม่ของเขาก็ไม่เคยต่อว่าหรือพูดจาทำร้ายจิตใจเขา ยังคงต้อนรับกลับบ้านด้วยท่าทีที่อบอุ่นเสมอ ซึ่งอาจจะเป็นการโอ๋ลูกจนเคยตัวไปสักหน่อยจนเอิร์ธเหลวแหลก ในขณะที่รักษ์พยายามบ่นจนปากเปียกปากแฉะเหมือนพ่อแม่คนที่สองก็ตาม แต่นั่นก็ส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีน้ำหนักและเป็นความตั้งใจของเอิร์ธอย่างแท้จริงที่อยากจะปรับปรุงตัว

(11) แต่ส่วนที่ไม่ชอบเลย คือ การมีคำหยาบที่ตัวละครพูด “หอ” กับ “คอ” ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น บางคนอาจจะมองว่าก็ตัวละครในเรื่องพูดกันแบบวัยรุ่น ก็ใช้ภาษาที่พูดในชีวิตจริงแบบเรียลๆ จะมีคำพวกนี้หลุดมาบ้างก็ไม่แปลก ใช่ถ้ามันมี “กาละเทศะ” ให้จำเป็นต้องใช้จริงๆ ก็ไม่มีปัญหา เช่น โกรธถึงขีดสุด แต่หากคุณได้รับชมแล้วคุณจะงงเลยว่า ตัวละครพูดคำนี้ไปทำไม แม้มันจะไม่เยอะ แต่มันก็ทำให้ภาพลักษณ์หนังดูแย่ลงจริงๆ

Story Decoder
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่