[SR] รีวิว Let’s Relax Onsen and Spa Lumphini ออนเซนและสปา สาขา ลุมพินี สุดหรูระดับพรีเมี่ยม มาตรฐานใหม่วงการสปาไทย

รีวิว Let’s Relax Onsen and Spa Lumphini ออนเซนและสปา สุดหรูระดับพรีเมี่ยม มาตรฐานใหม่วงการสปาไทย
สวัสดีครับเพื่อนๆ Wellness Haven ทุกท่าน! วันนี้ผมขอพาไปดื่มด่ำกับประสบการณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ Let’s Relax Onsen and Spa สาขาใหม่ล่าสุดใจกลางลุมพินี เชื่อได้ว่าเพื่อนๆหลายคนกำลังรอชมอยู่ บอกเลยว่าที่นี่คือ The Next Best Onsen จริงๆ ผมประทับใจจนต้องรีวิวแบบละเอียดให้ฟังกันเลยครับ



1. สถานที่ตั้ง:

Let’s Relax Onsen and Spa สาขานี้ตั้งอยู่บนชั้น 9 ของโรงแรม Grande Centre Point Lumphini ความสะดวกสบายในการเดินทางคือจุดเด่นสำคัญครับ ไม่ว่าจะขับรถส่วนตัวก็จอดได้ที่โรงแรมสะดวกสบาย หรือจะใช้บริการรถไฟฟ้า MRT สถานีลุมพินี ทางออกที่ 1 ก็ง่ายดาย เดินไม่กี่เมตรจากสถานีก็ถึงโรงแรมเลยครับ โรงแรมหรูหรามากๆ ซึ่งสถานที่นี้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมืองและนักท่องเที่ยวอย่างยิ่งครับ  การเดินทางที่สะดวกสบายแบบนี้ ทำให้การพักผ่อนของเรามีความราบรื่นตั้งแต่เริ่มต้นเลยครับ



2. บรรยากาศของร้านและการตกแต่ง:

ต้องยกนิ้วให้กับการออกแบบที่สวยงามและลงตัวอย่างมากครับ  คอนเซ็ปต์ “Premium urban onsen”  ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ  การตกแต่งผสมผสานความทันสมัยเข้ากับกลิ่นอายแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว  เริ่มตั้งแต่โถงต้อนรับที่ใช้โครงสร้างไม้และหลังคาทรงจั่ว  ให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง  ผนังโมเสกสีเหลืองทองที่เคาน์เตอร์ก็ดูหรูหรา  แต่ไม่ทิ้งความอบอุ่น  แสงไฟที่เลือกใช้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีจุดนั่งพักซ่อนอยู่ในแต่ละโซน ตกแต่งสไตล์ Zen ด้วยต้นไม้สีเขียวตัดกับหินสีขาว จุดนี้ทางสาขาทำมาให้เป็นมุมถ่ายรูปโดยเฉพาะทุกอย่างดูลงตัว  มีสไตล์  และใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ ครับ  ผมรู้สึกได้ถึงความใส่ใจและความพิถีพิถันในการออกแบบ มีต้นไม้ตกแต่งบางส่วนอย่างลงตัวดูมีความเป็นธรรมชาติผสมผสานด้วย ทำให้ที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่พักผ่อน  แต่เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำครับ



3. โซน Onsen และบ่อต่างๆ รวมทั้ง Steam and Sauna room:

โซนออนเซนแยกชายหญิงอย่างเป็นส่วนตัว  สร้างความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ประเภทริสแบนแยกเป็นสัดส่วน สีแดง ออนเซนผู้หญิง สีน้ำเงิน ออนเซนผู้ชาย สีดำ สำหรับลูกค้ารับบริการสปา ออนเซนใช้ริสแบนแสกนที่ประตู Gate เข้าโซนออนเซนได้เลย เพื่อรับกระเป๋าที่ Tower Room ชุด Jinbei และผ้าเช็ดตัวเตรียมไว้ให้เรียบร้อย Locker ก็กว้างขวาง มีไดร์เป่าผม ครีมบำรุงผิวครบครัน สะดวกสบายมากๆ ครับ



ผมได้ลองแช่ Onsen บ่อต่างๆ  ครบถ้วน  ประทับใจทุกบ่อเลยครับ

• บ่อน้ำแร่เกโระ (Gero Hot Springs Bath - อุณหภูมิ 42 องศา): บ่อไฮไลท์ที่ใช้น้ำแร่จากแหล่งน้ำ Gero จังหวัด Takayama ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามแหล่งน้ำแร่ที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น น้ำร้อนถูกใจชาวญี่ปุ่นแน่นอน สัมผัสได้ถึงความนุ่มลื่นของน้ำแร่ ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดีเยี่ยม ผมรู้สึกได้ถึงความแตกต่างจากบ่อออนเซ็นทั่วไป ความรู้สึกผ่อนคลายลึกซึ้งจริงๆ ครับ 
• บ่อซิลค์บาธ (Silk Bath – อุณหภูมิ 41 องศา): บ่อที่มีฟองเล็กละเอียดขาวบริสุทธิ์ เหมือนได้แช่ตัวอยู่ในบ่อน้ำนม ฟองเหล่านี้ละเอียดอ่อน นุ่มนวล สัมผัสได้ถึงความชุ่มชื้น รู้สึกเหมือนผิวได้ทำความสะอาดอย่างล้ำลึก น้ำร้อนกลางๆ แช่ได้กำลังดีครับ
• บ่อโซดา (Carbonate Soda Bath – อุณหภูมิ 36 - 38 องศา): ฟองโซดาละเอียดอ่อน ช่วยปรับสมดุลย์และล้างพิษกับร่างกายและผิวพรรณ กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนช่วยให้ระบบประสาทและภาวะจิตใจผ่อนคลาย 
• บ่อน้ำวน (Whirlpool Bath – อุณหภูมิ 38 องศา):  เป็นบ่อน้ำวน มีหัว Jet พ่นฟองอากาศ เหมือนมีคนมาคอยนวดตัวเบาๆ ผ่อนคลายทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง ฟองอากาศช่วยคลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดี ผมรู้สึกว่าบ่อนี้ช่วยทำให้สดชื่นขึ้นครับ และในบ่อน้ำวนมีโซนนั่งถึง 4 ที่ โซนยืนถึง 3 ที่ ไม่ต้องแย่งกันแน่นอนครับ
• บ่อน้ำเย็น (Cold Bath - อุณหภูมิ 17 องศา):  หลังจากแช่น้ำอุ่นมาหลายบ่อ การแช่น้ำเย็นช่วยให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ช่วยกระชับรูขุมขน ผิวรู้สึกตึงกระชับขึ้น เป็นการปิดท้ายการแช่ออนเซ็นได้อย่างสมบูรณ์แบบครับ



นอกจากบ่อต่างๆ แล้ว  ห้องอบไอน้ำและซาวน่า (Steam and Sauna) ก็กว้างขวาง  สะอาด  มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ผ่อนคลายมากๆ ครับ  ห้อง Akasuri Scrub Room  ก็ดูสะอาดและน่าสนใจ จะมีเจ้าหน้าที่ขัดผิวแบบฉบับญี่ปุ่นให้เราในห้อง ส่วนนี้สามารถแจ้ง Reception ตอนเช็คอินได้ว่าต้องการใช้โปรแกรมนี้ แต่ผมไม่ได้ใช้บริการในครั้งนี้  ไว้โอกาสหน้าจะมาลองและมารีวิวให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ



4. โซนห้องพักผ่อนอื่นๆ:

นอกจากโซนออนเซนที่ครบครันแล้ว ยังมีห้องพักผ่อนอื่นๆ ที่น่าสนใจมากมาย ที่ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับการพักผ่อนของผม
• Cold Room:  ห้องเย็นประมาณ 5°C ออกแบบได้เหมือนถ้ำน้ำแข็ง ความเย็นช่วยให้รู้สึกสดชื่น เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ดี ภายในห้องมีลูกเล่นไฟที่เปลี่ยนสีได้ เพิ่มความตื่นเต้นไปพร้อมการนั่งในห้องนี้ หลังจากแช่ออนเซ็นน้ำอุ่นมาแล้วครับ
• ห้องหินร้อน (Hot Stone Bed Bath อุณหภูมิ 42 – 44 องศา):  ความร้อนจากหินภูเขาไฟและไอเกลือหิมาลายัน ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นหอมของไม้ฮิโนกิ ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจโล่งสบาย ผมรู้สึกว่าความร้อนช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย รู้สึกสดชื่น และมีพลังมากขึ้นครับ ควรใช้ห้องหินร้อนสลับกับห้อง Cold room เพื่อทำให้ร่างกายสมดุล และควรจิบน้ำหลังจากใช้งาน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำนั่นเอง 
• Relaxing Room:  ห้องพักผ่อนที่ตกแต่งด้วยเสื่อทาทามิ ให้ความรู้สึกอบอุ่น เป็นส่วนตัว เหมือนอยู่บ้าน กลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ และได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ครับ สาขานี้มีห้อง Relaxing ที่ใหญ่มากและออกแบบให้ทุกวัยใช้ร่วมกันได้อย่างมีความสุข



5. โซนรับประทานอาหาร รวมทั้งอาหาร รสชาติ:

หลังจากแช่ออนเซ็น  ผมได้ลองอาหารและเครื่องดื่มของทางร้าน  ต้องบอกว่า  ทางร้านใส่ใจในสุขภาพของลูกค้า  เน้นความเป็นอาหารทานเล่น รสชาติแบบต้นตำรับ รสชาติดีมาก อร่อย และรับประทานแล้วรู้สึกดีต่อสุขภาพจริงๆ ครับ:
วันนี้ผมได้ลองเมนูดังนี้ครับ
• สลัดไก่อบ:  ไก่อบเนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ น้ำสลัดรสชาติกลมกล่อม ไม่เลี่ยน ผักสดกรอบ เป็นเมนูที่เบาๆ แต่ได้คุณค่าทางอาหารครบถ้วนครับ
• ข้าวควินัวไก่ย่างเทริยากิ:  ข้าวควินัวนุ่ม หอม ไก่ย่างเทริยากิ รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานหรือเค็มมากเกินไป ไข่ลวก Onsen นุ่มละมุนลิ้น เป็นเมนูที่ทานง่าย และดีต่อสุขภาพครับ
• ราเมนน้ำซุปกระดูกหมู: น้ำซุปหอม กลมกล่อม รสชาติเข้มข้น แต่ไม่หนัก เส้นราเมนเหนียวนุ่ม มีหมูเป็นชิ้นๆเปื่อยกำลังดี เป็นเมนูที่อร่อยให้ความรู้สึกอบอุ่น และมีเครื่องดื่มกับขนมที่ได้ลองด้วยครับ
• เครื่องดื่ม Cold pressed juices (แครอท แอปเปิ้ล ขิง):  รสชาติสดชื่น ดีต่อสุขภาพ รู้สึกได้ถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบ เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเพิ่มความสดชื่น และดีต่อสุขภาพครับ
• น้ำสตรอว์เบอร์รี่โซดา: รสชาติหวานอมเปรี้ยว สดชื่น คลายร้อนได้ดี เป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกับการพักผ่อนครับ
• เค้กช็อกโกแลตราสป์เบอร์รี่: เค้กเนื้อนุ่ม รสชาติเข้มข้น ไม่หวานมากเกินไป ราสป์เบอร์รี่ช่วยตัดความหวานได้ดี เป็นของหวานที่อร่อย และไม่รู้สึกผิดหลังจากทานครับ



นอกจากนี้  ยังมีขนมของว่างให้บริการฟรี  เช่น ทองม้วน 3 รสชาติ  น้ำใบเตย  และน้ำ Infused Water เป็นอีก 1 จุดเด่นที่ทำให้ลูกค้าชอบมาใช้ออนเซนที่ Let’s Relax เพราะรสชาติขนมทองม้วน อร่อยยืนหนึ่ง ที่ช่วยเพิ่มความประทับใจให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดีครับ



6. พาชมโซนสปา:

ผมได้มีโอกาสเดินชมโซนสปา  ทั้งห้องนวดเท้า  นวดไทย  และนวดอโรม่า  บรรยากาศผ่อนคลายมากครับ  วัสดุที่ใช้ตกแต่งเน้นความเป็นธรรมชาติ  โทนสีที่เลือกใช้ก็ช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบ  และเป็นส่วนตัว  รู้สึกได้ถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียด  เพื่อให้ลูกค้าได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริง  โอกาสหน้าผมจะมารีวิวบริการนวดให้ฟังเพิ่มเติมนะครับ  แต่จากการได้ชมบรรยากาศ  ผมเชื่อว่าบริการนวดของที่นี่  ต้องน่าประทับใจอย่างแน่นอนครับ



สรุป: Let’s Relax Onsen and Spa สาขา Lumphini เป็นสถานที่ที่ผมประทับใจอย่างมากครับ  ตั้งแต่การตกแต่งที่สวยงาม  บรรยากาศที่ผ่อนคลาย  ความสะอาด  คุณภาพของออนเซ็นที่ครบครัน  และอาหารที่อร่อย  ดีต่อสุขภาพ  ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อน  ผ่อนคลาย  และบำรุงสุขภาพ  อย่างแท้จริงครับ บอกเลยว่า ต้องมาลองใช้บริการให้ได้ครับ เหมาะสมกับทุกเพศทุกวัยจริงๆ

ชื่อสินค้า:   Let’s Relax Onsen and Spa Lumphini
คะแนน:     

SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - ได้รับสินค้าหรือบริการมาใช้รีวิวฟรี โดยไม่ต้องคืนสินค้าหรือบริการนั้น
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่