สวัสดีค่ะ เรามาขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ในการบำบัดความคิดที่คิดวนจนจิตตกหน่อยค่ะ
... เรามาเที่ยวกับเพื่อนที่จ.เชียงใหม่ค่ะ โดยเราจิตตกมากจากการที่เราได้ไปเดินอุทยานกิ่วแม่ปาน เราได้ไกด์นำเที่ยวเป็นคุณยายอายุ 67 ปี เป็นชาวม้ง ระหว่างนำพาเที่ยว ก็ได้พูดคุยกันตามทาง โดยเราได้รับรู้ชีวิตของคุณยายที่น่าเศร้ามาก คุณยายต้องมาเดินเป็นไกด์พาเที่ยว ทั้งๆที่ คุณยายเองก็เจ็บขาระบมไปหมด (หากใครเคยไปเดิน จะพอทราบได้ว่า กิ่วแม่ปาน ไม่ได้เดินง่าย และทางไม่เหมาะสำหรับคนสูงอายุเลย) คุณยายเล่าว่า ถ้าคุณยายไม่มาทำ หลาน 5 คนของคุณยายก็ไม่มีเงินไปร.ร. คุณยายต้องเลี้ยงหลานทั้งหมด 5 ชีวิต โดยที่คุณยายเองก็ฝืนสังขารมาเดิน แต่มาได้แค่ 1-2 วัน ก็ต้องพัก เพราะร่างกายไม่ไหว ต้องกลับไปพัก แล้วค่อยมาใหม่ วนซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และการที่คุณยายมาแต่ละครั้ง คุณยายต้องทำให้ได้อย่างน้อย 2 รอบ เพื่อที่จะได้มีเงินเหลือกลับบ้าน 130 บาท (หักลบค่าเดินทางและอื่นๆแล้ว) ซึ่งถ้าวันไหน นักท่องเที่ยวน้อย ได้เดินแค่ 1 รอบ ก็จะไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น ซึ่งตัวเราเอง อายุ 29 ปี เดินแค่รอบเดียวยังแทบจะเป็นลม ปวดขา ล้า ระบมไปหมด แล้วคุณยายที่อายุ 67 ปี ต้องเดิน 2 รอบ เพื่อแลกกับเงิน 130 บาท เพื่อเอาไปเลี้ยงหลาน 5 คน คุณยายเล่าว่า วันไหนที่คุณยายปวดขาระบมมากๆ คุณยายจะกระโดดเอา เพราะขาไม่สามารถลงบันไดได้ เพราะปวดมาก (คุณยายตัวเล็กนิดเดียวเองค่ะ น.น.ไม่น่าเกิน 40 กก. สูงไม่เกิน 150 ซม.) ในวันนั้น เรากดเงินติดตัวไปแค่ 500 บาท จึงให้เงินคุณยายไปทั้งหมดทั้งตัวที่มีในกระเป๋า ณ ตอนนั้น 500 + 200(ค่าไกด์ ซึ่งถูกหัก 100 บาท คุณยายจะได้ 100 บาท) รวมคือเราให้คุณยายไป 700 บาท (คุณยายได้เข้าตัว 600 บาท) พอเราถึงเส้นชัย กำลังแยกย้ายกลับ คุณยายเดินมาส่งเราพร้อมน้ำตาไหล ขอบคุณเรา ยกมือไหว้เราและเพื่อน เป็นภาพที่ติดตาเรามาก จนเราจิตตก และทำให้ทริปเชียงใหม่รอบนี้ของเราหดหู่ไปเลย เราอยากหาทางลบความรู้สึกที่มันดิ่งตรงนี้ออกค่ะ จนตอนนี้ เรากลับมานอนพักที่รีสอร์ทแล้ว ภาพคุณยายตอนอำลากันยังติดตาตรึงใจเราอยู่เลย จนเราเอากลับมานอนร้องไห้ เราเศร้ากับชีวิตของคุณยายมากๆเลยค่ะ
ปล.1 คุณยายเล่าว่า ชีวิตคุณยายจนมาก จนมาตั้งแต่เด็ก โตมากับผัก พ่อแม่คุณยายเป็นชาวม้ง เก็บผักมาทอดกับน้ำให้ยายกิน คุณยายไม่ได้เรียนหนังสือ คุณยายอ่านหนังสือไม่ได้ และคุณยายจะพูดภาษาไทยไม่ชัดค่ะ
ปล.2 ชีวิตคุณยายไม่เคยได้ไปไหนค่ะ เพราะยากจนมาก คุณยายถามเราว่า เครื่องบินนี่ใหญ่มากไหม ข้างในเครื่องบินต้องหรูหราแน่เลยใช่ไหม คุณยายเคยเห็นเครื่องบินแค่ที่บินผ่านบนท้องฟ้า
ปล.3 เราอยากช่วยเหลือคุณยายอีกครั้ง โดยคิดว่าอยากจะโอนเงินช่วยยายทุกเดือน แต่ตัวเราเองไม่มีคอนแท็คที่สามารถติดต่อคุณยายได้ แต่เพื่อนเราก็แนะเราว่า อย่าเอาชีวิตคุณยายมาผูกติดกับความรู้สึกเราไปตลอดกาล ให้เขาผ่านมาและผ่านไป อย่าไปดึงเขาเข้ามาทำให้เราต้องจิตตกแบบนี้ค่ะ
ขอแนวความคิดบำบัดจิตใจที่ดิ่งจากการไปรับฟังปัญหาของผู้อื่นมาหน่อยค่ะ
... เรามาเที่ยวกับเพื่อนที่จ.เชียงใหม่ค่ะ โดยเราจิตตกมากจากการที่เราได้ไปเดินอุทยานกิ่วแม่ปาน เราได้ไกด์นำเที่ยวเป็นคุณยายอายุ 67 ปี เป็นชาวม้ง ระหว่างนำพาเที่ยว ก็ได้พูดคุยกันตามทาง โดยเราได้รับรู้ชีวิตของคุณยายที่น่าเศร้ามาก คุณยายต้องมาเดินเป็นไกด์พาเที่ยว ทั้งๆที่ คุณยายเองก็เจ็บขาระบมไปหมด (หากใครเคยไปเดิน จะพอทราบได้ว่า กิ่วแม่ปาน ไม่ได้เดินง่าย และทางไม่เหมาะสำหรับคนสูงอายุเลย) คุณยายเล่าว่า ถ้าคุณยายไม่มาทำ หลาน 5 คนของคุณยายก็ไม่มีเงินไปร.ร. คุณยายต้องเลี้ยงหลานทั้งหมด 5 ชีวิต โดยที่คุณยายเองก็ฝืนสังขารมาเดิน แต่มาได้แค่ 1-2 วัน ก็ต้องพัก เพราะร่างกายไม่ไหว ต้องกลับไปพัก แล้วค่อยมาใหม่ วนซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ และการที่คุณยายมาแต่ละครั้ง คุณยายต้องทำให้ได้อย่างน้อย 2 รอบ เพื่อที่จะได้มีเงินเหลือกลับบ้าน 130 บาท (หักลบค่าเดินทางและอื่นๆแล้ว) ซึ่งถ้าวันไหน นักท่องเที่ยวน้อย ได้เดินแค่ 1 รอบ ก็จะไม่ได้อะไรเลยในวันนั้น ซึ่งตัวเราเอง อายุ 29 ปี เดินแค่รอบเดียวยังแทบจะเป็นลม ปวดขา ล้า ระบมไปหมด แล้วคุณยายที่อายุ 67 ปี ต้องเดิน 2 รอบ เพื่อแลกกับเงิน 130 บาท เพื่อเอาไปเลี้ยงหลาน 5 คน คุณยายเล่าว่า วันไหนที่คุณยายปวดขาระบมมากๆ คุณยายจะกระโดดเอา เพราะขาไม่สามารถลงบันไดได้ เพราะปวดมาก (คุณยายตัวเล็กนิดเดียวเองค่ะ น.น.ไม่น่าเกิน 40 กก. สูงไม่เกิน 150 ซม.) ในวันนั้น เรากดเงินติดตัวไปแค่ 500 บาท จึงให้เงินคุณยายไปทั้งหมดทั้งตัวที่มีในกระเป๋า ณ ตอนนั้น 500 + 200(ค่าไกด์ ซึ่งถูกหัก 100 บาท คุณยายจะได้ 100 บาท) รวมคือเราให้คุณยายไป 700 บาท (คุณยายได้เข้าตัว 600 บาท) พอเราถึงเส้นชัย กำลังแยกย้ายกลับ คุณยายเดินมาส่งเราพร้อมน้ำตาไหล ขอบคุณเรา ยกมือไหว้เราและเพื่อน เป็นภาพที่ติดตาเรามาก จนเราจิตตก และทำให้ทริปเชียงใหม่รอบนี้ของเราหดหู่ไปเลย เราอยากหาทางลบความรู้สึกที่มันดิ่งตรงนี้ออกค่ะ จนตอนนี้ เรากลับมานอนพักที่รีสอร์ทแล้ว ภาพคุณยายตอนอำลากันยังติดตาตรึงใจเราอยู่เลย จนเราเอากลับมานอนร้องไห้ เราเศร้ากับชีวิตของคุณยายมากๆเลยค่ะ
ปล.1 คุณยายเล่าว่า ชีวิตคุณยายจนมาก จนมาตั้งแต่เด็ก โตมากับผัก พ่อแม่คุณยายเป็นชาวม้ง เก็บผักมาทอดกับน้ำให้ยายกิน คุณยายไม่ได้เรียนหนังสือ คุณยายอ่านหนังสือไม่ได้ และคุณยายจะพูดภาษาไทยไม่ชัดค่ะ
ปล.2 ชีวิตคุณยายไม่เคยได้ไปไหนค่ะ เพราะยากจนมาก คุณยายถามเราว่า เครื่องบินนี่ใหญ่มากไหม ข้างในเครื่องบินต้องหรูหราแน่เลยใช่ไหม คุณยายเคยเห็นเครื่องบินแค่ที่บินผ่านบนท้องฟ้า
ปล.3 เราอยากช่วยเหลือคุณยายอีกครั้ง โดยคิดว่าอยากจะโอนเงินช่วยยายทุกเดือน แต่ตัวเราเองไม่มีคอนแท็คที่สามารถติดต่อคุณยายได้ แต่เพื่อนเราก็แนะเราว่า อย่าเอาชีวิตคุณยายมาผูกติดกับความรู้สึกเราไปตลอดกาล ให้เขาผ่านมาและผ่านไป อย่าไปดึงเขาเข้ามาทำให้เราต้องจิตตกแบบนี้ค่ะ