วิปัส

กระทู้สนทนา
กรรม


"ฉันเป็นดั่งบูมเมอแรง"




เรานั้นเกิดมา ยังโลภโกรธหลงเยอะ กว่าจะมาเจอแผนที่ เข็มทิศที่พอจะถูๆไถๆไปได้บ้าง ไม่ง่าย เลย  ถ้าเกิดใหม่แล้วเจอแบบนี้อีกละฮะ น่ากลัวเชียว สมดำ คำกล่าวให้เรานิพพิทา คือ " การเกิดใหม่ที่น่ากลัว  "

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

วิปัสสนาญาณ อันนึงบอกว่า รู้สึกหวาดกลัวหวาดสะดุ้งกับการเกิดฮะ  คงอารมณ์แบบขนลุกเวลาเจอผีฮะ  ผีคงคล้ายๆกับ


วลี "เต่าตาบอดผุดขึ้นห่วงยาง" เป็นการเปรียบเทียบจากพระพุทธศาสนาที่ใช้แสดงถึงความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
* ที่มา:
   * วลีนี้ปรากฏในพระไตรปิฎก โดยพระพุทธเจ้าทรงใช้เปรียบเทียบความยากของการเกิดเป็นมนุษย์กับเหตุการณ์ที่เต่าตาบอดตัวหนึ่งจะผุดขึ้นจากมหาสมุทรแล้วสอดหัวเข้าไปในห่วงยางที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ
* ความหมาย:
   * เต่าตาบอด: หมายถึงความยากลำบากในการได้เกิดเป็นมนุษย์
   * ห่วงยาง: หมายถึงโอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์
   * การที่เต่าตาบอดจะสอดหัวเข้าไปในห่วงยางได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เช่นเดียวกับการได้เกิดเป็นมนุษย์
* นัยสำคัญ:
   * วลีนี้ใช้เตือนใจให้เราเห็นคุณค่าของการได้เกิดเป็นมนุษย์ และให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ไม่ประมาทในการทำความดี
   * แสดงถึงความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ และการกำเนิดของพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์
โดยสรุปแล้ว "เต่าตาบอดผุดขึ้นห่วงยาง" เป็นอุปลักษณ์ที่ทรงพลังในการแสดงถึงความยากของการได้เกิดเป็นมนุษย์ และเป็นเครื่องเตือนใจให้เราใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า

การคำนวณความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ "เต่าตาบอดผุดขึ้นห่วงยาง" ในเชิงคณิตศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง เนื่องจากมีตัวแปรและปัจจัยที่ไม่ทราบค่าจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เราสามารถลองจำลองสถานการณ์และใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นมาวิเคราะห์ได้ดังนี้:
1. กำหนดตัวแปร:
* P(H): ความน่าจะเป็นที่ห่วงยางจะอยู่ในตำแหน่งที่เต่าจะผุดขึ้นมา
* P(T): ความน่าจะเป็นที่เต่าจะผุดขึ้นมาในตำแหน่งที่ห่วงยางอยู่
* P(S): ความน่าจะเป็นที่เต่าจะสอดหัวเข้าไปในห่วงยางได้พอดี
2. กำหนดสมมติฐาน:
* มหาสมุทรมีขนาดใหญ่มาก ทำให้โอกาสที่ห่วงยางจะอยู่ในตำแหน่งที่เต่าผุดขึ้นมานั้นน้อยมาก (P(H) มีค่าน้อย)
* เต่าตาบอด ไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งของห่วงยาง ทำให้การผุดขึ้นมาของเต่าเป็นแบบสุ่ม (P(T) มีค่าน้อย)
* การที่เต่าจะสอดหัวเข้าไปในห่วงยางได้พอดีนั้นต้องอาศัยความแม่นยำสูง (P(S) มีค่าน้อย)
3. การคำนวณความน่าจะเป็นรวม:
* ความน่าจะเป็นที่เต่าตาบอดจะผุดขึ้นห่วงยาง (P(Total)) คือผลคูณของความน่าจะเป็นของแต่ละเหตุการณ์:
   * P(Total) = P(H) × P(T) × P(S)
4. ข้อจำกัด:
* ค่าความน่าจะเป็นของแต่ละตัวแปรนั้นไม่สามารถระบุได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากขาดข้อมูลและตัวแปรที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก
* การคำนวณนี้เป็นการจำลองสถานการณ์ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงทั้งหมด
5. นัยสำคัญทางคณิตศาสตร์:
* จากสมการ P(Total) = P(H) × P(T) × P(S) จะเห็นได้ว่าหากค่าความน่าจะเป็นของตัวแปรใดตัวแปรหนึ่งมีค่าน้อยมาก ค่าความน่าจะเป็นรวมก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก
* ดังนั้น แม้ว่าเราจะไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นที่แน่นอนได้ แต่เราก็สามารถสรุปได้ว่าโอกาสที่เต่าตาบอดจะผุดขึ้นห่วงยางนั้นมีน้อยมาก
สรุป:
* การคำนวณความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ "เต่าตาบอดผุดขึ้นห่วงยาง" ในเชิงคณิตศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่สามารถใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ความน่าจะเป็นมาวิเคราะห์ได้
* แม้ว่าเราจะไม่สามารถระบุค่าความน่าจะเป็นที่แน่นอนได้ แต่เราก็สามารถสรุปได้ว่าโอกาสที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นนั้นมีน้อยมาก
* การเปรียบเทียบนี้ใช้แสดงถึงความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ ตามหลักของพระพุทธศาสนา

ในทางพระพุทธศาสนา การอุปมาความยาวนานของ "กัป" และ "หินที่ถูกผ้าขูด" เป็นการเปรียบเทียบเพื่อแสดงถึงความยาวนานของเวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะจินตนาการได้ ดังนี้:
1. ความยาวนานของ "กัป"
* "กัป" หมายถึง ช่วงระยะเวลาอันยาวนานของโลก ซึ่งไม่สามารถกำหนดเป็นวัน เดือน หรือปีได้
* ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าได้ทรงอุปมาความยาวนานของกัปไว้หลายลักษณะ เช่น:
   * อุปมาด้วยภูเขาหิน: เปรียบเหมือนภูเขาหินแท่งทึบขนาดใหญ่ เมื่อมีคนนำผ้าเนื้อดีมาลูบภูเขานั้นทุก 100 ปี ภูเขาหินนั้นจะค่อย ๆ สึกกร่อนไปจนหมด แต่กัปหนึ่งยังไม่หมดสิ้น
   * อุปมาด้วยเมล็ดผักกาด: เปรียบเหมือนเมืองที่เต็มไปด้วยเมล็ดผักกาด เมื่อมีคนหยิบเมล็ดผักกาดออกจากเมืองนั้นทุก 100 ปี เมล็ดผักกาดจะหมดไป แต่กัปหนึ่งยังไม่หมดสิ้น
2. "หินที่ถูกผ้าขูด"
* การอุปมานี้เป็นส่วนหนึ่งของการอุปมาความยาวนานของกัป โดยเปรียบเทียบการสึกกร่อนของภูเขาหินเมื่อถูกผ้าลูบ ว่าเป็นการเปรียบเทียบถึงความยาวนานของกัป
* การเปรียบเทียบนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่สิ่งที่ดูเหมือนถาวรและแข็งแกร่งที่สุด ก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงและหมดไปได้ตามกาลเวลา
3. ความน่าจะเป็นในทางพระพุทธศาสนา
* ในทางพระพุทธศาสนา ความน่าจะเป็นไม่ได้ถูกมองในเชิงคณิตศาสตร์ แต่ถูกมองในเชิงของ "เหตุและผล" หรือ "กฎแห่งกรรม"
* การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่งกว่าการที่เต่าตาบอดจะโผล่ขึ้นมาสอดหัวเข้าไปในห่วงยางที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทร เพราะมีปัจจัยและเงื่อนไขมากมายที่เกี่ยวข้อง
* ดังนั้น การได้เกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นโอกาสอันมีค่าที่เราควรใช้ชีวิตอย่างมีสติและทำความดี
โดยสรุปแล้ว การอุปมาเหล่านี้เป็นการแสดงถึงความยาวนานของเวลาและความยากของการเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อให้เราเห็นคุณค่าของชีวิตและไม่ประมาทในการทำความดี


แนวคิดเรื่อง "ฟังก์ชันคลื่นของจิตที่กระเพื่อมบนกาลเทศะของมิติที่รองรับภพภูมิสุทธาวาส" เป็นการผสมผสานแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาทางศาสนา ซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจในหลายประเด็นดังนี้:
1. ฟังก์ชันคลื่นของจิต:
* แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับแนวคิดทางควอนตัมฟิสิกส์ที่ว่า อนุภาคสามารถแสดงคุณสมบัติเป็นทั้งคลื่นและอนุภาคได้
* ในบริบทนี้ "จิต" ถูกมองว่ามีลักษณะเป็นคลื่น ซึ่งสามารถแพร่กระจายและมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ได้
* การ "กระเพื่อม" หมายถึงการเปลี่ยนแปลงหรือการเคลื่อนไหวของจิต ซึ่งอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความคิด หรือสภาวะจิตต่างๆ
2. กาลเทศะ (Spacetime):
* เป็นแนวคิดจากทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ที่รวมมิติของพื้นที่ (Space) และเวลา (Time) เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
* ในบริบทนี้ กาลเทศะถูกมองว่าเป็นพื้นฐานที่รองรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง รวมถึงจิตด้วย
3. มิติที่รองรับภพภูมิสุทธาวาส:
* "สุทธาวาส" เป็นภพภูมิหนึ่งในศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี
* การกล่าวถึง "มิติที่รองรับ" หมายถึงการที่ภพภูมินี้อาจมีลักษณะเป็นมิติที่แตกต่างจากมิติที่เราคุ้นเคย
* แนวคิดนี้อาจเชื่อมโยงกับแนวคิดเรื่อง "พหุภพ" (Multiverse) ในทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเสนอว่าอาจมีมิติหรือจักรวาลอื่นๆ ที่มีลักษณะแตกต่างจากของเรา
4. การเชื่อมโยงแนวคิด:
* แนวคิดนี้พยายามอธิบายว่า จิตไม่ได้เป็นสิ่งที่แยกออกจากความเป็นจริงทางกายภาพ แต่มีปฏิสัมพันธ์กับกาลเทศะและมิติอื่นๆ ได้
* การกระเพื่อมของจิตอาจส่งผลต่อโครงสร้างของกาลเทศะ หรืออาจมีปฏิสัมพันธ์กับมิติที่รองรับภพภูมิสุทธาวาส
* อย่างไรก็ตาม แนวคิดนี้ยังเป็นเพียงการคาดการณ์และต้องการการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยัน
ข้อควรพิจารณา:
* แนวคิดนี้เป็นการผสมผสานแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และปรัชญา ซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในแง่ของวิธีการและเป้าหมาย
* การตีความแนวคิดนี้อาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับมุมมองและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
* การศึกษาแนวคิดนี้ควรทำด้วยความระมัดระวังและเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย
โดยสรุปแล้ว แนวคิดนี้เป็นการพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตและความเป็นจริงในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการเชื่อมโยงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาเข้าด้วยกัน



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

คำถามปริศนาธรรมฮะ


อรหันต์เป็นอมตะแท้จริงไหมฮะ นิพพานัง ปรมัง สุญญังไหมฮะ

ในทางพุทธศาสนา ความเชื่อเรื่องเจ้ากรรมนายเวรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีความหลากหลายในการตีความ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว สามารถกล่าวได้ว่า:
* กรรมเป็นเรื่องส่วนบุคคล: กรรมคือการกระทำ ซึ่งส่งผลต่อผู้กระทำเอง ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ดังนั้น การที่บุคคลหนึ่งปฏิบัติธรรมและทำความดี ย่อมส่งผลดีต่อบุคคลนั้นเอง
* เจ้ากรรมนายเวร: หมายถึงผู้ที่เคยมีกรรมร่วมกันมาในอดีตชาติ ซึ่งอาจเป็นทั้งเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ทางกรรม การที่บุคคลหนึ่งปฏิบัติธรรม อาจทำให้เจ้ากรรมนายเวรปรากฏขึ้นได้ เนื่องจาก:
   * เมื่อบุคคลนั้นเริ่มทำความดี อาจเป็นโอกาสที่เจ้ากรรมนายเวรจะมาขอส่วนบุญหรือขออโหสิกรรม
   * การปฏิบัติธรรมอาจทำให้กรรมเก่าที่เคยทำไว้ปรากฏขึ้น เพื่อให้ได้รับการแก้ไขหรือชดใช้
* การปฏิบัติธรรมช่วยชดใช้กรรม: การปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง สามารถช่วยชดใช้กรรมเก่าได้ โดยการสร้างกรรมดีใหม่ทดแทน และการแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
* ความสำคัญของการอโหสิกรรม: การให้อภัยและขออโหสิกรรมเป็นสิ่งสำคัญในการยุติวงจรของกรรม การปฏิบัติธรรมช่วยให้บุคคลมีจิตใจที่เข้มแข็งและเมตตามากขึ้น ซึ่งเอื้อต่อการอโหสิกรรม
สรุป:
* การปฏิบัติธรรมไม่ได้หมายความว่าจะมีเจ้ากรรมนายเวรมากขึ้นเสมอไป
* หากมีเจ้ากรรมนายเวรปรากฏขึ้น การปฏิบัติธรรมจะเป็นเครื่องมือในการแก้ไขและชดใช้กรรม
* การแผ่เมตตาและอโหสิกรรมเป็นสิ่งสำคัญในการยุติวงจรของกรรม
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมจึงเป็นหนทางที่ดีในการแก้ไขกรรมและสร้างชีวิตที่ดีงาม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่