สวัสดีค่ะสิ่งที่ฉันจะถาม+เล่าเรื่องชีวิตก็ตามชื่อกระทู้นี้เลยค่ะ "ครอบครัวบอกว่าฉันเป็นคนไม่ใส่ใจคนในครอบครัว"
ฉันไม่เข้าใจเลย...ต้องทำถึงไหนถึงจะเรียกว่าใส่ใจหรือคะ
ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวฐานะกลางๆฉันมี พ่อ แม่ น้องสาว
ตั้งแต่เด็กสมัยตอนที่จะสมัครเรียนชั้นประถมคำถามแรกที่ฉันได้จากพ่อ แม่ คือ อยากเรียนโรงเรียนไหนพอฉันบอกโรงเรียนที่อยากเข้า พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นโรงเรียนอื่น ช่วงที่มีงานโรงเรียนตอนแรกๆพวกเขาก็ดีนะแต่หลังๆไม่ว่างานหรืออะไรตอนนั้นฉันพยายามเอาเอกสารทางโรงเรียนไปให้พวกเขาดู พวกเขามักจะเอาอารมณ์จากที่ทำงานมาหงุดหงิดใส่ฉันตลอดทุกครั้ง จนฉันไม่อยากเอาเอกสารไปให้พวกเขา เวลามีเอกสารอะไรจากทางโรงเรียนเข้ามาฉันก็จะบอกรายละเอียดไปและเซ็นเอง เวลาที่พวกเขาสั่งสอน/ลงโทษก็มักจะย้อนอดีตว่าเขาโดนอะไรมาหนักมาเยอะกว่านี้เพื่อเป็นเหตุผลให้พวกเขาทำได้โดยไม่รู้สึกผิด เวลาที่ฉันมีปัญหากับเพื่อนพอฉันไปขอคำปรึกษากับพวกเขา(ตอนนั้นฉันจำได้เป็นการทเลาะแบบเด็กๆครั้งแรก)พวกเขาก็เอาแต่โมโหไม่ฟังเหตุผลจนสุดท้ายฉันไม่สามารถคุยกับเพื่อนคนนั้นได้อีกต่อไป พอฉันมีปัญหาที่หาทางออกไม่ได้เขาก็ฟังแบบโมโห บางครั้งเขาก็จะบอกปัดๆโดยที่บอกอ้างว่า(เรื่องเก่าๆ/รำคาญ)มันทำให้รู้สึกว่าฉันไม่สามารถปรึกษาที่บ้านเรื่องอะไรได้เลยเพราะเวลาที่ฉันไปขอคำปรึกษาฉันรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว มีวันหนึ่งที่โรคประจำตัวฉันเกิดขึ้น "โรคลมชัก" ซึ่งมันเกิดจากฟันที่ผุของฉันแล้วพ่อไม่ได้พาไปถอนนานวันเข้ามันเลยส่งผลต่อระบบประสาททำให้ฉันมีโรคประจำตัวตั้งแต่ตอนนั้นมา พวกเขาก็แจ้งให้ครูทราบแล้วแต่มันจะมีวันหนึ่งวันที่ฉันนั่งเรียนอยู่ในห้องและมันก็เกิดอาการชักในตอนนั้นภาพมันตัดไป ฉันลืมตามาอีกทีครูก็ถามฉันว่าเป็นอะไรไหมฉันก็บอกแค่ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่พอลับหลังฉันได้ยิน" ครู "บอกว่าฉันก็แค่เรียกร้องความสนใจ ตอนนั้นฉันโครตโมโหที่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันหันไปหาใครไม่ได้ไง มันเลยทำให้ฉันเป็นคนที่เก็บตัว เงียบไม่ค่อยสุงสิง/สนิท กับใครเลยตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตในโรงเรียนฉันรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในคุกฉันใช้ชีวิตไปวันๆสิ่งที่ปลอบใจฉันเวลาเครียดได้ก็คือ อนิเมะ/มังงะ/เกม และสนใจแค่เรื่องเรียน เหตุการณ์ต่อมาคือวันที่พวกเขาซื้อบ้านใหม่ฉันก็ดีใจนะที่จะได้มีเพื่อนข้างบ้านเพราะเขาก็มีเด็กที่อยู่ช่วงวัยเดียวกับฉันอยู่ จนวันหนึ่งเป็นวันที่ฉันทเลาะกับแม่ระหว่างกลับบ้านฉันนอนอยู่บนมอไซต์รอแม่ไปจ่ายตลาดพร้อมกันฉันก็เห็นเด็กข้างบ้าน 2 คน กำลังคุยกันอยู่คงนินทาใครซักคนแหละแต่ฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องของครอบครัวฉันฉันเลยไปเล่าให้แม่ฟัง จนแม่ควันออกหูเดินออกมาข้างนอกพร้อมต่อว่าไม่ฟังเหตุผลจนทำให้ทุกวันนี้คุยกับข้างบ้านอีกเลย(จริงๆมันก็มีปัญหาอื่นๆอีกแหละก่อนจะเป็นเหตุการณ์เด็กข้างบ้านนินทา เช่น พ่อชวนเพื่อนข้างบ้านเล่นเเชร์ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน,แม่+พ่อไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนบ้านและอื่นๆอีก)จนทำทุกวันนี้ก็จะไม่ค่อยไปนอนบ้านหลังนั้นสักเท่าไหร่เนื่องจากบันไดชั้น 2 ด้วยแหละทำให้แม่ฉันมักโทษว่าที่แม่ไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นเป็นเพราะฉัน พ่อ น้อง
พอช่วงมัธยมต้นชีวิตของฉันก็คงเหมือนอยู่ในคุกอยู่ดีแต่....ก็ยังดีหน่อยเพราะฉันก็มีเพื่อนบ้างในช่วงเวลานั้นมันทำให้ฉันไม่ค่อยเหงา ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ 2 คน คนที่1ขอสมมุติว่าชื่อ A เป็นเพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุดเวลาทำอะไรฉันรู้สึกสนุกมากแต่น่าเสียดายพอจบ ม.ต้น เพื่อนก็ไปเรียนที่อื่นต่อส่วนอีกคนขอสมมุติชื่อ B เป็นอีกคนที่ฉันสนิทมากในช่วงเวลานี้แต่มันมีวันหนึ่งที่เพื่อนคนนี้หักหลังฉันโดยนินทาเพื่อนอีกคนที่อยู่ในห้องเดียวกันหาว่าฉันเป็นคนประกาศเรื่องไม่ดีของเพื่อนคนนี้ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำฉันงงมาก ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซำ้แต่ทำไมสายตาของคนในห้องถึงมองฉันแปลกๆ จนฉันได้รู้ว่า B เป็นคนใส่สีตีไข่ให้ฉันผิดได้ขนาดนี้ เพื่อนก็มาขอโทดนะแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันไม่กล้าที่จะไว้ใจใครอีกต่อไปแล้ว 555+ตลกเนอะมีเพื่อนแต่ก็เหมือนไม่มีแล้วจะมีไปทำไม ในช่วงเวลานี้เรื่องครอบครัวก็เหมือนจะแย่ลงเหมือนกันมันเคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ฉันทเลาะกับแม่แล้วโดนตีที่น่องขาเป็นรอยเลยนะสิมาเรียนในวันถัดไปก็โครตอายมีเพื่อนมาถามนะว่าไปโดนอะไรมา ก็พูดความจริงอ่ะสิว่าโดนตีมาพอเพื่อนถามก็ร้องไห้อะดิเพราะมันอึดอัดอ่ะพยายามจะบอกเหตุผลแต่พวกเขาก็บอกหาว่าเถียงโครตแย่เลยตอนนั้น สุดท้ายเพื่อนๆฉันก็คิดว่าแม่ฉันเป็นคนที่ดุมาก พอนานวันเข้าพวกเขาก็ถามว่าฉันไปบอกอะไรให้เพื่อนฟัง ตลกเนอะทั้งที่พวกเขาเป็นคนตีฉันตอนนนั้นแท้ๆฉันผิดหรอที่ฉันอึดอัดเหมือนพวกเขาแคร์สายตาที่มองมาแต่ทำไมเขาไม่แคร์ฉันบ้างละ เขามักจะเอาเรื่องเก่าๆมาพูดถึงทั้งมันผ่านมานานแล้วก็ยังพูดถึงเรื่องที่เขาโดนตา/ยายทำไรมาแล้วจำเป็นต้องมาโทดฉันไหมฉันได้ฟังคำด่าสารพัดอย่างทุกวันเช่น ลูกเนรคุณ ไม่น่ามีแกเลย ฉันโดนมามากกว่าแก แกเป็นคนที่ทำให้ฉันไม่สามารถอยุ่บ้านหลังนั้นได้ แบบนี้ทุกวันจนฉันจะบ้าอยู่แล้วขอเถอะอย่าอ้างว่าทำเพื่อครอบครัวเลย ตอนนั้นฉันแค่เด็กเองนะทำไมต้องโมโหฉันขนาดนั้น ทำไมต้องเอาเรื่องเครียดที่ทำงานแล้วมาลงอารมณ์โมโหใส่ฉันด้วย ฉันก็พยายามเป็นลูกที่ดีนะไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีเลยทำไมถึงต้องว่าฉันขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้ทำผิดถึงขั้นฆ่าใครเลยนะ!!!
พอขึ้นม.ปลายเพราะฉันเหงามาก ฉันเองก็อยากมีเพื่อนนะแต่ฉันเบื่อกับเรื่องที่เคยเจอมา...กับคนที่หักหลัง ฉันเบื่อปัญหาที่จะต้องเจอ จริงๆก็มีเพื่อนที่คอยเข้าหาฉันนะ แต่ฉันก็พยายามตีตัวออกห่างเพราะฉันกลัว ถ้าฉันมีโอกาศอีกครั้งฉันก็อยากสนิทกับเพื่อนในช่วงเวลานี้มากที่สุดเหมือนกัน พูดถึงครอบครัวช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่แย่มากที่สุดเช่นกันเพราะเป็นช่วงที่ฉันต้องเลือกเข้ามหาลัยเอาจริงๆนะฉันอยากไปเรียนที่ไกลๆไม่ต้องอยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องเจอคนที่รู้จักแต่สุดท้ายฉันก็ได้ไปที่ไกลจากบ้านแค่ 2 ชม. ปากบอกว่าให้เป็นอะไรก็ได้แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นตามที่เขาอยากให้เป็น เลิกเปรียบเทียบได้ไหมขอเถอะ ตอนที่ทเลาะกันฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันพยายามอดทนมากที่สุดฉันพยายามแสดงออกให้พวกเขาเห็นว่าฉันทนไม่ได้แล้วจากที่พวกเขาชอบด่าฉันแบบไม่มีเหตุผล ลงอารมร์ใส่ หรือแม่กระทั่งพ่นคำด่าสารพัดใส่ฉัน ฉันกำหมัดจิกเล็บไปที่มือเพื่อให้ฉันมีสติไม่ให้ทำอะไรบ้าๆลงไป (เช่นฆ่ายกครัวหรือฆ่าตัวตายมั้ง555+ ตอนนั้นฉันคิดไปได้ยังไงนะทำไมฉันต้องตายละ ทำไมฉันต้องฆ่าคนอื่นเพื่อให้ชาติหน้าของฉันต้องมาเจอแบบนี้อีกด้วยละ)
พอขึ้นมหาลัยได้อยู่หอฉันรู้สึกดีใจมากที่จะไม่ต้องเจอปัญหาที่บ้านอีกต่อไป จะได้ลองเปิดโอกาศให้ตัวเองลองมีเพื่อนใหม่สักทีติดต่อกับที่บ้านบางครั้งคุยเท่าที่จำเป็นเพราะพวกเขาก็มักเอาปัญหาเก่าๆมาด่าทุกครั้ง ฉันคงทำได้แค่หวังว่ามาเรียนที่นี้จะไม่เกิดปัญหาอะไรนะ...แต่พอเอาเข้าจริงเห้อ...มีเหตุการณ์หนึ่งฉันอยู่มีรูมเมท(รูมเมทเป็นคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน)แม่โทรมาหาฉันพอดีแต่แบทโทรศัพท์ฉันหมดฉันเลยรับในไอแพดซึ่งมันเปิดลำโพงอัตโนมัติ...คำแรกที่เขาพูดกับฉันก็คือคำด่าที่เขาโมโหจากพ่อแล้วมาลงที่ฉัน รูมเมทฉันก็เลยได้ยินนะสิ เธอก็สงสารฉันนะแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอกแต่ที่แย่ที่สุดคือการที่รูมเมทเอาเรื่องทางบ้านของฉันไปให้คนอื่นฟัง วันนั้นแหละก็เป็นอีกครั้งที่ได้อยู่คนเดียวอีกรอบ และไหนจะปัญหาเพื่อนที่เจอมหาลัยอีกทั้งที่ฉันเป็นคนสร้างกลุ่มเพื่อนนี้มาแท้ๆเรื่องก็มีอยู่ว่าฉันพยายามเข้าหาเพื่อนจนรวบรวมคนได้ 9 คนเป็นกลุ่มใหญ่ ย่อยอีก2กลุ่ม เรื่องมันเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาของแนววิชาเรียน มีกลุ่มย่อยกลุ่มที่ 1 เป็นคนบอกฉันไม่ให้ไปบอกกลุ่ม 2 กลุ่มย่อยกลุ่มที่ 2 รู้ก็บอกให้ฉันไม่ต้องไปให้กลุ่ม 1 ที่ฉันเป็นคนกลาง ฉันก็จะบ้าตายแล้ว พอเรื่องมันมาแดง ก็บอกว่าเป็นความผิดของฉัน บอกว่าที่พวกเขาบอกฉันไปก็บอกเป็นตามมารยาท (พ่องสิ) เขาบอกว่าจริงๆฉันส่งก็ได้ แต่ฉันเลือกที่จะไม่ทำเอง (ฃวยเหอะ) และสุดท้ายเหตุการณ์นั้นก็กลายเป็นฉันผิด เหตุการณ์เรื่องเพื่อนครั้งที่ 2 ก็เป็นเรื่องแนวววิชาเรียนเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้ฉันเป็นคนได้แนวมาแต่ยังไม่ได้ส่งให้พวกนั้นฉันลืม จนถึงเวลาเรียนฉันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ส่งก็อัดเสียงใน แอปนั้นแล้ว ฉันเลยไม่ได้กดออก พอมีเพื่อนในกลุ่มเห็นว่าฉันมีแนวแต่ไม่ส่งให้ก็รวมหัวออกจากกลุ่มทั้งที่ฉันก็บอกเดี๋ยวส่งให้ไปแล้วจนเหลือคนหนึ่งฉันถามไปว่าทำไมเพื่อนถึงออกละ เขาบอกฉันว่าทำไมไม่ส่งให้ ฉันก็บอกเหตุผลฉันไปว่าอัดอยู่ มันก็บอกอืม...(เชี้ยไร) ฉันคิดว่าไม่ไหวแล้วกับกลุ่มแบบนี้ทั้ง2กลุ่มย่อยที่ฉันมี ฉันเลยถอยออกมา...
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่กล้าไว้ใจ เชื่อใจ ทุกรูปแบบความสัมพันธ์ (เฮงซวย) อีกแล้ว ฉันเลยใช้ชีวิตโดยใส่หน้ากากเข้าหาเฉพาะแค่งานเท่านั้นเรื่องอื่นขอไม่ไว้ใจกันอีก พออยู่ในระยะเวลาฝึกงานฉันก็มาฝึกที่บ้านเนื่องจากมีปัญหาค่าใช้จ่ายเลยต้องฝึกแถวบ้านเอาแต่พอฉันกลุบมาที่บ้านก็หนีไม่พ้นคำด่าอยู่ดี
" เพราะอยู่หอปลีกวิเวท ไม่รู้จักดูแลใส่ใจครอบครัว ถึงได้นึกแต่ตัวเองไง " ฉันทำได้เพียงฟังแต่มันก็ติดอยู่ในใจฉันว่าฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ 22 ปีที่ผ่านมานี้ ทำไมถึงต้องหัวร้อน ว่าฉันตลอดมาละ มีฉันมาทำไม ทำไมฉันต้องมาเจอกับคนพวกนี้ด้วย ทำไมฉันมีเพื่อนดีๆไม่ได้ ทำไมฉันไม่เจอคนที่ไว้ใจได้บ้าง ฉันเกลียดสิ่งที่ฉันเจอมา ฉันเกลียดโรงเรียนที่เหมือนกับคุก ฉันเกลียดคนโกหก ฉันเกลียดบ้านที่พยายามประคองให้ดีแต่สุดท้ายก็เป็นเหมือนนรกสำหรับฉัน
" ฉันผิดหรือที่ฉันกลายเป็นคนที่ไม่ใส่ใจคนในครอบครัว "
ปล.เรื่องดีๆก็มีนะแต่เรื่องไม่ดีมีเยอะกว่า
“ ครอบครัวบอกว่าฉันเป็นคนไม่ใส่ใจคนในครอบครัว ”
ฉันไม่เข้าใจเลย...ต้องทำถึงไหนถึงจะเรียกว่าใส่ใจหรือคะ
ครอบครัวฉันเป็นครอบครัวฐานะกลางๆฉันมี พ่อ แม่ น้องสาว
ตั้งแต่เด็กสมัยตอนที่จะสมัครเรียนชั้นประถมคำถามแรกที่ฉันได้จากพ่อ แม่ คือ อยากเรียนโรงเรียนไหนพอฉันบอกโรงเรียนที่อยากเข้า พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นโรงเรียนอื่น ช่วงที่มีงานโรงเรียนตอนแรกๆพวกเขาก็ดีนะแต่หลังๆไม่ว่างานหรืออะไรตอนนั้นฉันพยายามเอาเอกสารทางโรงเรียนไปให้พวกเขาดู พวกเขามักจะเอาอารมณ์จากที่ทำงานมาหงุดหงิดใส่ฉันตลอดทุกครั้ง จนฉันไม่อยากเอาเอกสารไปให้พวกเขา เวลามีเอกสารอะไรจากทางโรงเรียนเข้ามาฉันก็จะบอกรายละเอียดไปและเซ็นเอง เวลาที่พวกเขาสั่งสอน/ลงโทษก็มักจะย้อนอดีตว่าเขาโดนอะไรมาหนักมาเยอะกว่านี้เพื่อเป็นเหตุผลให้พวกเขาทำได้โดยไม่รู้สึกผิด เวลาที่ฉันมีปัญหากับเพื่อนพอฉันไปขอคำปรึกษากับพวกเขา(ตอนนั้นฉันจำได้เป็นการทเลาะแบบเด็กๆครั้งแรก)พวกเขาก็เอาแต่โมโหไม่ฟังเหตุผลจนสุดท้ายฉันไม่สามารถคุยกับเพื่อนคนนั้นได้อีกต่อไป พอฉันมีปัญหาที่หาทางออกไม่ได้เขาก็ฟังแบบโมโห บางครั้งเขาก็จะบอกปัดๆโดยที่บอกอ้างว่า(เรื่องเก่าๆ/รำคาญ)มันทำให้รู้สึกว่าฉันไม่สามารถปรึกษาที่บ้านเรื่องอะไรได้เลยเพราะเวลาที่ฉันไปขอคำปรึกษาฉันรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว มีวันหนึ่งที่โรคประจำตัวฉันเกิดขึ้น "โรคลมชัก" ซึ่งมันเกิดจากฟันที่ผุของฉันแล้วพ่อไม่ได้พาไปถอนนานวันเข้ามันเลยส่งผลต่อระบบประสาททำให้ฉันมีโรคประจำตัวตั้งแต่ตอนนั้นมา พวกเขาก็แจ้งให้ครูทราบแล้วแต่มันจะมีวันหนึ่งวันที่ฉันนั่งเรียนอยู่ในห้องและมันก็เกิดอาการชักในตอนนั้นภาพมันตัดไป ฉันลืมตามาอีกทีครูก็ถามฉันว่าเป็นอะไรไหมฉันก็บอกแค่ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่พอลับหลังฉันได้ยิน" ครู "บอกว่าฉันก็แค่เรียกร้องความสนใจ ตอนนั้นฉันโครตโมโหที่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันหันไปหาใครไม่ได้ไง มันเลยทำให้ฉันเป็นคนที่เก็บตัว เงียบไม่ค่อยสุงสิง/สนิท กับใครเลยตั้งแต่ตอนนั้นชีวิตในโรงเรียนฉันรู้สึกว่าเหมือนอยู่ในคุกฉันใช้ชีวิตไปวันๆสิ่งที่ปลอบใจฉันเวลาเครียดได้ก็คือ อนิเมะ/มังงะ/เกม และสนใจแค่เรื่องเรียน เหตุการณ์ต่อมาคือวันที่พวกเขาซื้อบ้านใหม่ฉันก็ดีใจนะที่จะได้มีเพื่อนข้างบ้านเพราะเขาก็มีเด็กที่อยู่ช่วงวัยเดียวกับฉันอยู่ จนวันหนึ่งเป็นวันที่ฉันทเลาะกับแม่ระหว่างกลับบ้านฉันนอนอยู่บนมอไซต์รอแม่ไปจ่ายตลาดพร้อมกันฉันก็เห็นเด็กข้างบ้าน 2 คน กำลังคุยกันอยู่คงนินทาใครซักคนแหละแต่ฉันก็คิดว่าเป็นเรื่องของครอบครัวฉันฉันเลยไปเล่าให้แม่ฟัง จนแม่ควันออกหูเดินออกมาข้างนอกพร้อมต่อว่าไม่ฟังเหตุผลจนทำให้ทุกวันนี้คุยกับข้างบ้านอีกเลย(จริงๆมันก็มีปัญหาอื่นๆอีกแหละก่อนจะเป็นเหตุการณ์เด็กข้างบ้านนินทา เช่น พ่อชวนเพื่อนข้างบ้านเล่นเเชร์ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน,แม่+พ่อไม่ชอบขี้หน้าเพื่อนบ้านและอื่นๆอีก)จนทำทุกวันนี้ก็จะไม่ค่อยไปนอนบ้านหลังนั้นสักเท่าไหร่เนื่องจากบันไดชั้น 2 ด้วยแหละทำให้แม่ฉันมักโทษว่าที่แม่ไม่ได้อยู่บ้านหลังนั้นเป็นเพราะฉัน พ่อ น้อง
พอช่วงมัธยมต้นชีวิตของฉันก็คงเหมือนอยู่ในคุกอยู่ดีแต่....ก็ยังดีหน่อยเพราะฉันก็มีเพื่อนบ้างในช่วงเวลานั้นมันทำให้ฉันไม่ค่อยเหงา ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่ 2 คน คนที่1ขอสมมุติว่าชื่อ A เป็นเพื่อนที่ฉันสนิทมากที่สุดเวลาทำอะไรฉันรู้สึกสนุกมากแต่น่าเสียดายพอจบ ม.ต้น เพื่อนก็ไปเรียนที่อื่นต่อส่วนอีกคนขอสมมุติชื่อ B เป็นอีกคนที่ฉันสนิทมากในช่วงเวลานี้แต่มันมีวันหนึ่งที่เพื่อนคนนี้หักหลังฉันโดยนินทาเพื่อนอีกคนที่อยู่ในห้องเดียวกันหาว่าฉันเป็นคนประกาศเรื่องไม่ดีของเพื่อนคนนี้ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำฉันงงมาก ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซำ้แต่ทำไมสายตาของคนในห้องถึงมองฉันแปลกๆ จนฉันได้รู้ว่า B เป็นคนใส่สีตีไข่ให้ฉันผิดได้ขนาดนี้ เพื่อนก็มาขอโทดนะแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ฉันไม่กล้าที่จะไว้ใจใครอีกต่อไปแล้ว 555+ตลกเนอะมีเพื่อนแต่ก็เหมือนไม่มีแล้วจะมีไปทำไม ในช่วงเวลานี้เรื่องครอบครัวก็เหมือนจะแย่ลงเหมือนกันมันเคยมีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ฉันทเลาะกับแม่แล้วโดนตีที่น่องขาเป็นรอยเลยนะสิมาเรียนในวันถัดไปก็โครตอายมีเพื่อนมาถามนะว่าไปโดนอะไรมา ก็พูดความจริงอ่ะสิว่าโดนตีมาพอเพื่อนถามก็ร้องไห้อะดิเพราะมันอึดอัดอ่ะพยายามจะบอกเหตุผลแต่พวกเขาก็บอกหาว่าเถียงโครตแย่เลยตอนนั้น สุดท้ายเพื่อนๆฉันก็คิดว่าแม่ฉันเป็นคนที่ดุมาก พอนานวันเข้าพวกเขาก็ถามว่าฉันไปบอกอะไรให้เพื่อนฟัง ตลกเนอะทั้งที่พวกเขาเป็นคนตีฉันตอนนนั้นแท้ๆฉันผิดหรอที่ฉันอึดอัดเหมือนพวกเขาแคร์สายตาที่มองมาแต่ทำไมเขาไม่แคร์ฉันบ้างละ เขามักจะเอาเรื่องเก่าๆมาพูดถึงทั้งมันผ่านมานานแล้วก็ยังพูดถึงเรื่องที่เขาโดนตา/ยายทำไรมาแล้วจำเป็นต้องมาโทดฉันไหมฉันได้ฟังคำด่าสารพัดอย่างทุกวันเช่น ลูกเนรคุณ ไม่น่ามีแกเลย ฉันโดนมามากกว่าแก แกเป็นคนที่ทำให้ฉันไม่สามารถอยุ่บ้านหลังนั้นได้ แบบนี้ทุกวันจนฉันจะบ้าอยู่แล้วขอเถอะอย่าอ้างว่าทำเพื่อครอบครัวเลย ตอนนั้นฉันแค่เด็กเองนะทำไมต้องโมโหฉันขนาดนั้น ทำไมต้องเอาเรื่องเครียดที่ทำงานแล้วมาลงอารมณ์โมโหใส่ฉันด้วย ฉันก็พยายามเป็นลูกที่ดีนะไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีเลยทำไมถึงต้องว่าฉันขนาดนั้นด้วย ฉันไม่ได้ทำผิดถึงขั้นฆ่าใครเลยนะ!!!
พอขึ้นม.ปลายเพราะฉันเหงามาก ฉันเองก็อยากมีเพื่อนนะแต่ฉันเบื่อกับเรื่องที่เคยเจอมา...กับคนที่หักหลัง ฉันเบื่อปัญหาที่จะต้องเจอ จริงๆก็มีเพื่อนที่คอยเข้าหาฉันนะ แต่ฉันก็พยายามตีตัวออกห่างเพราะฉันกลัว ถ้าฉันมีโอกาศอีกครั้งฉันก็อยากสนิทกับเพื่อนในช่วงเวลานี้มากที่สุดเหมือนกัน พูดถึงครอบครัวช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงเวลาที่แย่มากที่สุดเช่นกันเพราะเป็นช่วงที่ฉันต้องเลือกเข้ามหาลัยเอาจริงๆนะฉันอยากไปเรียนที่ไกลๆไม่ต้องอยู่ใกล้บ้าน ไม่ต้องเจอคนที่รู้จักแต่สุดท้ายฉันก็ได้ไปที่ไกลจากบ้านแค่ 2 ชม. ปากบอกว่าให้เป็นอะไรก็ได้แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นตามที่เขาอยากให้เป็น เลิกเปรียบเทียบได้ไหมขอเถอะ ตอนที่ทเลาะกันฉันรู้สึกว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันพยายามอดทนมากที่สุดฉันพยายามแสดงออกให้พวกเขาเห็นว่าฉันทนไม่ได้แล้วจากที่พวกเขาชอบด่าฉันแบบไม่มีเหตุผล ลงอารมร์ใส่ หรือแม่กระทั่งพ่นคำด่าสารพัดใส่ฉัน ฉันกำหมัดจิกเล็บไปที่มือเพื่อให้ฉันมีสติไม่ให้ทำอะไรบ้าๆลงไป (เช่นฆ่ายกครัวหรือฆ่าตัวตายมั้ง555+ ตอนนั้นฉันคิดไปได้ยังไงนะทำไมฉันต้องตายละ ทำไมฉันต้องฆ่าคนอื่นเพื่อให้ชาติหน้าของฉันต้องมาเจอแบบนี้อีกด้วยละ)
พอขึ้นมหาลัยได้อยู่หอฉันรู้สึกดีใจมากที่จะไม่ต้องเจอปัญหาที่บ้านอีกต่อไป จะได้ลองเปิดโอกาศให้ตัวเองลองมีเพื่อนใหม่สักทีติดต่อกับที่บ้านบางครั้งคุยเท่าที่จำเป็นเพราะพวกเขาก็มักเอาปัญหาเก่าๆมาด่าทุกครั้ง ฉันคงทำได้แค่หวังว่ามาเรียนที่นี้จะไม่เกิดปัญหาอะไรนะ...แต่พอเอาเข้าจริงเห้อ...มีเหตุการณ์หนึ่งฉันอยู่มีรูมเมท(รูมเมทเป็นคนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน)แม่โทรมาหาฉันพอดีแต่แบทโทรศัพท์ฉันหมดฉันเลยรับในไอแพดซึ่งมันเปิดลำโพงอัตโนมัติ...คำแรกที่เขาพูดกับฉันก็คือคำด่าที่เขาโมโหจากพ่อแล้วมาลงที่ฉัน รูมเมทฉันก็เลยได้ยินนะสิ เธอก็สงสารฉันนะแต่มันก็ทำอะไรไม่ได้หรอกแต่ที่แย่ที่สุดคือการที่รูมเมทเอาเรื่องทางบ้านของฉันไปให้คนอื่นฟัง วันนั้นแหละก็เป็นอีกครั้งที่ได้อยู่คนเดียวอีกรอบ และไหนจะปัญหาเพื่อนที่เจอมหาลัยอีกทั้งที่ฉันเป็นคนสร้างกลุ่มเพื่อนนี้มาแท้ๆเรื่องก็มีอยู่ว่าฉันพยายามเข้าหาเพื่อนจนรวบรวมคนได้ 9 คนเป็นกลุ่มใหญ่ ย่อยอีก2กลุ่ม เรื่องมันเกิดขึ้นเนื่องจากปัญหาของแนววิชาเรียน มีกลุ่มย่อยกลุ่มที่ 1 เป็นคนบอกฉันไม่ให้ไปบอกกลุ่ม 2 กลุ่มย่อยกลุ่มที่ 2 รู้ก็บอกให้ฉันไม่ต้องไปให้กลุ่ม 1 ที่ฉันเป็นคนกลาง ฉันก็จะบ้าตายแล้ว พอเรื่องมันมาแดง ก็บอกว่าเป็นความผิดของฉัน บอกว่าที่พวกเขาบอกฉันไปก็บอกเป็นตามมารยาท (พ่องสิ) เขาบอกว่าจริงๆฉันส่งก็ได้ แต่ฉันเลือกที่จะไม่ทำเอง (ฃวยเหอะ) และสุดท้ายเหตุการณ์นั้นก็กลายเป็นฉันผิด เหตุการณ์เรื่องเพื่อนครั้งที่ 2 ก็เป็นเรื่องแนวววิชาเรียนเหมือนเดิมแต่ครั้งนี้ฉันเป็นคนได้แนวมาแต่ยังไม่ได้ส่งให้พวกนั้นฉันลืม จนถึงเวลาเรียนฉันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ส่งก็อัดเสียงใน แอปนั้นแล้ว ฉันเลยไม่ได้กดออก พอมีเพื่อนในกลุ่มเห็นว่าฉันมีแนวแต่ไม่ส่งให้ก็รวมหัวออกจากกลุ่มทั้งที่ฉันก็บอกเดี๋ยวส่งให้ไปแล้วจนเหลือคนหนึ่งฉันถามไปว่าทำไมเพื่อนถึงออกละ เขาบอกฉันว่าทำไมไม่ส่งให้ ฉันก็บอกเหตุผลฉันไปว่าอัดอยู่ มันก็บอกอืม...(เชี้ยไร) ฉันคิดว่าไม่ไหวแล้วกับกลุ่มแบบนี้ทั้ง2กลุ่มย่อยที่ฉันมี ฉันเลยถอยออกมา...
ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ไม่กล้าไว้ใจ เชื่อใจ ทุกรูปแบบความสัมพันธ์ (เฮงซวย) อีกแล้ว ฉันเลยใช้ชีวิตโดยใส่หน้ากากเข้าหาเฉพาะแค่งานเท่านั้นเรื่องอื่นขอไม่ไว้ใจกันอีก พออยู่ในระยะเวลาฝึกงานฉันก็มาฝึกที่บ้านเนื่องจากมีปัญหาค่าใช้จ่ายเลยต้องฝึกแถวบ้านเอาแต่พอฉันกลุบมาที่บ้านก็หนีไม่พ้นคำด่าอยู่ดี
" เพราะอยู่หอปลีกวิเวท ไม่รู้จักดูแลใส่ใจครอบครัว ถึงได้นึกแต่ตัวเองไง " ฉันทำได้เพียงฟังแต่มันก็ติดอยู่ในใจฉันว่าฉันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ 22 ปีที่ผ่านมานี้ ทำไมถึงต้องหัวร้อน ว่าฉันตลอดมาละ มีฉันมาทำไม ทำไมฉันต้องมาเจอกับคนพวกนี้ด้วย ทำไมฉันมีเพื่อนดีๆไม่ได้ ทำไมฉันไม่เจอคนที่ไว้ใจได้บ้าง ฉันเกลียดสิ่งที่ฉันเจอมา ฉันเกลียดโรงเรียนที่เหมือนกับคุก ฉันเกลียดคนโกหก ฉันเกลียดบ้านที่พยายามประคองให้ดีแต่สุดท้ายก็เป็นเหมือนนรกสำหรับฉัน
" ฉันผิดหรือที่ฉันกลายเป็นคนที่ไม่ใส่ใจคนในครอบครัว "
ปล.เรื่องดีๆก็มีนะแต่เรื่องไม่ดีมีเยอะกว่า