เสียงกระซิบ

ความฝันที่มักจะผลุบขึ้นมาตลอดระยะเวลา 4 - 5 ปีมานี้ แน่นอนมันไม่ใช่สิ่งน่าภิรมณ์ใจอะไรเลย หนำซ้ำมันยิ่งกลับทำให้ความกังวลใจที่กำลังเริ่มตกตะกอนกลับมาลอยคละคลุ้งอีกครั้ง หลายปีที่ต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหวาดหวั่น 
 
กล้ามเนื้อทั่วตัวกระตุกเกร็ง แผ่นหลังที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ หัวใจที่ยังเต้นระรัวทำให้ได้สติว่านี่คือโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อตั้งสติได้ก็รีบลนลานเปิด application ที่ใช้สำหรับติดต่อในที่ทำงาน พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะเหลือบตามองกล่องข้อความ ก่อนจะกดปิดแล้วเปิดใหม่ ก่อนจะอ่านซ้ำ ๆ ให้แน่ใจว่าไม่มีข้อความแสดงความจั่วหัวว่าขอแสดงความเสียใจ หรือจะพูดง่าย ๆ ก็ไล่ออกนั่นแหละ 
 
ฉันเริ่มทำงานที่บริษัทแห่งนี้มาได้เกือบครบ 3 เดือนแล้ว นั่นยิ่งทำให้ฝันร้ายที่วิ่งกวดมานานเร่งฝีเท้ามาเสนอหน้าให้เห็นเสมอ 
 
อันดับแรกฉันก็ต้องยอมรับว่างานที่ทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัดเลย ถามว่าทำได้ไหมก็ทำได้แต่ก็ไม่ได้ทำได้ดีอย่างที่คิดน่ะสิ และสิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหานั่นก็คือฉันเป็นคนที่ชอบคิดอะไรแปลก ๆ เข้าใจอะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้าน พูดจาหรือก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษเลย ไม่ว่าจะภาษาไหนฉันก็พูดไม่รู้เรื่องทั้งนั้นแหละ ดังนั้นมันก็ไม่ได้แปลกอะไรที่ฉันจะดูเป็นคนงก ๆ เงิ่น ๆ ในสายตาของเพื่อนร่วมงาน ถามว่าฉันรู้ได้อย่างไรน่ะเหรอ? 
 
แม้ว่าเพื่อนร่วมงานของฉันทุกคนจะเป็นดี อันนี้ฉันพูดจริง ๆ นะ พวกเขาดีกับฉันมาก ๆ ใจเย็นและเอื้อเฟื้อกับฉันเสมอมา แต่คนดีก็สิ้นสุดความอดทนได้เช่นกัน หลาย ๆ ครั้งฉันได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่พวกเขาจะเดินมาคุยกับฉัน ได้ยินเสียงหัวเราะหลังจากที่พวกเขาได้อ่านข้อความจากฉัน ครั้งหนึ่งเคยมีคนตบหน้าผากตัวเองก่อนจะพิมพ์ตอบฉันกลับมา แต่ฉันก็เข้าใจดีเพราะรู้ตัวว่าฉันกำลังเป็นภาระกำลังเพิ่มงานให้พวกเขาอยู่ 
ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันจึงพยายามมากเป็นพิเศษ ด้วยหวังว่าวันหนึ่งฉันจะมีความสามารถมากพอ มากพอที่จะช่วยแบ่งเบางานของทุกคนได้ มากพอที่จะทำงานคุ้มกับเงินเดือน มากพอที่จะทำให้เจ้านายของฉันได้สบายใจว่าเขาไม่ได้คิดผิดที่ให้โอกาสฉัน 
 
ตลอดระยะเวลา 3 เดือนไม่มีวันไหนที่ฉันจะกลับบ้านเร็วเลย ต่อให้ทุกคนกลับแล้วแต่ฉันก็ยังอยู่ ฉันพยายามเรียนนั่นนี่ หานู่นหานี่มาอ่าน เพราะรู้ดีว่าตัวเองขี้เกียจขนาดไหน ไม่มีทางหรอกที่จะกลับมาอ่านหรือเรียนอะไรตอนกลับถึงห้อง แต่คุณเชื่อไหมว่าดูเหมือนมันไม่ช่วยอะไรเลย ในวันนี้หลังจากพยายามมานานฉันยังไม่สามารถเป็นได้ถึงครึ่งของภาพที่วาดฝันเอาไว้ ฉันยังคงไม่ได้เรื่องอยู่อย่างนั้น ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันจะพอใจกับตัวเอง 
ระหว่างวันหันไปมองนอกหน้าต่าง ฝุ่นควันสีจาง ๆ ท่ามกลางตึกสูงรอบตัว ไม่ได้ต่างไปจากสถานการณ์ชีวิตของฉันเลย ในตอนนี้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะซื้ออะไร หัวสมองก็เอาแต่คิดไม่ยอมหยุด เงินเก็บในบัญชีสำรองที่พอจะใช้ดำรงชีพต่อได้อีกประมาณ 2 เดือน ก็พอจะทำให้เบาใจลงได้บ้างในกรณีที่สิ่งนั้นมันมาถึงจริง ๆ แต่ยังอดที่จะกลัวไม่ได้ 
 
ความกลัวทำให้ตัวฉันปั่นป่วนไปหมด ทำงานก็ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ รู้สึกหงุดหงิดใจตลอดเวลา เวลาเพื่อนร่วมงานถามอะไรขึ้นมาก็พลอยลนลานไปหมด และนั่นมันก็ยิ่งทำให้แย่ขึ้นไปอีก หลาย ๆ ครั้งฉันก็นึกโมโห รวมไปถึงยังแอบก่นด่าพวกเขาในใจด้วยเช่นกัน 
 
ใช่ค่ะ...ฉันแอบด่าพวกเขา ทั้งที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ทั้งที่พวกเขากำลังช่วยเหลืออยู่แท้ ๆ ทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังพยายามเข้าใจฉันอยู่ 
มันทำให้ฉันที่อยู่กับตัวเองมาเกือบ 28 ปี รู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับความกังวลที่ก่อตัวมาเนิ่นนาน และกำลังเท่าทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ 
ฉันพยายามควบคุมตัวเองเวลานึกโมโหขึ้นมาก็จะสั่งตัวเองให้กลืนมันลงไป เวลาแอบด่าใครในใจก็จะต้องรีบสั่งตัวเองให้หยุด ฉันไม่ชอบเลยเวลาตัวเองเป็นแบบนี้ พอควบคุมบ่อย ๆ ฉันก็ลดการก่นด่าคนอื่นน้อยลง ก็มีบ้างแหละแต่ก็น้อยลงมาก 
 
ใช่ค่ะ...น้อยครั้งมากที่ฉันจะนึกโมโหเพื่อนร่วมงาน นึกโมโหวินมอเตอร์ไซค์ที่ขับรถไม่ถูกใจ  นึกโมโหพนักงานเซเว่นที่เอาแต่คิดเงินลูกค้าแล้วปล่อยให้ของเวฟของฉันนอนกร่อยรออยู่ในนั้น นึกโมโหพ่อแม่ที่ปล่อยให้ลูกตัวจิ๋ววิ่งวนไปมาในศูนย์อาหาร
 
มันก็ดูเหมือนจะดูดีใช่มั้ยคะ? แต่คุณรู้ไหมว่าคนคนเดียวในโลกที่ฉันโกรธ คนคนเดียวที่ฉันโมโห...มันคือตัวของฉันเอง 
 
ฉันโกรธตัวเองที่โง่งม โง่เสียจนไม่อาจทำอะไรให้สำเร็จได้ โกรธตัวเองที่ไม่มีความมั่นใจ ความกลัวที่มันกัดกินอยู่ทั่วตัวทำให้ต้องห่อตัวให้เล็กที่สุด ความกลัวก็ทำให้เลือกที่จะหุบปากแน่น 
 
ฉันโกรธตัวเองที่ไม่มีปัญญามีชีวิตดี ๆ แบบคนอื่น ๆ นี่ถ้าฉันฉลาดกว่านี้ มีความพยายามมากกว่านี้ มีความอดทน ชีวิตของฉันคงจะดีกว่านี้ ครอบครัวก็คงจะสบายมากกว่านี้ แม่ก็คงจะภูมิใจในตัวฉันมากกว่านี้ คงไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยงนั่งวินมอเตอร์ไซค์ที่ขับราวกับมีชีวิตสำรอง ไม่ต้องมากิน ultra processed food คงจะมีปัญญาไปกินอาหารร้านที่เป็นส่วนตัวมากกว่านี้ 
 
เสียงก่นด่าในใจมาพร้อมกับเสียงกระซิบข้างหู เสียงกระซิบเบา ๆ ที่ถามว่า "ยังอยากไปต่อไหม?" และที่น่าตกใจกว่านั่นก็คือเสียงเลื่อนลอยไร้สติที่ตอบกลับไป เสียงกระซิบนี้ดังขึ้นในหัวมาหลายปี อยู่มานานจนเผลอคิดไปว่ามันคงจะเป็นคำพูดติดปากที่ของสมองกระมัง ที่คงคิดอะไรไม่ออกเลยเลือกสุ่มประโยคบ้า ๆ นี่ออกมา
 
เมื่อเย็นวันพฤหัสที่ผ่านมา เลยเวลางานมาเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากตอบข้อความที่หัวหน้าส่งมาถามถึงความคืบหน้าของงาน สมองฉันตื้อไปหมดหลังจากพยายามกลั่นกรองความคิดตอบกลับด้วยภาษาอังกฤษผิดแกรมม่า แขนขาก็ไร้เรี่ยวแรงด้วยเพราะยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง ไหนจะความรู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณท้องน้อย ที่ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารอบเดือนกำลังจะมา 
 
แสงไฟจากท้ายรถที่แน่นขนัดบนท้องถนนระยิบระยับเต็มไปหมด เสียงรถพยาบาลดังขึ้นมาถึงบนตึกสูงที่ฉันอยู่ มองจากมุมนี้ทุกอย่างดูเล็กไปเสียหมด คนที่เดินอยู่ตามฟุตบาทดูไม่ได้ต่างอะไรกับหุ่นยนต์ทหารที่น้องชายเคยมี และเมื่อหันกลับมองโซฟาตัวที่เคยนั่งเมื่อวันมาสัมภาษณ์ 
จังหวะนั้นเองมันทำให้ฉันตระหนักได้ว่า "ฉันทำมันได้แล้ว!" อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ได้ทำงานในที่นี่ ต่อให้ไม่ผ่านการทดลองงานโดนไล่ออกก็ไม่เป็นไร 3 เดือนที่ผ่านมาฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย สมมติถ้าโดนไล่ออกจริง ๆ จะถือว่าถูกจ้างมาเรียน 3 เดือนก็ยังได้ นอกจากจะได้เงินแล้วยังได้ความรู้และประสบการณ์อีก
 
ฉันเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะต๊ะต่อนยอนไปสถานีรถไฟฟ้า เดินสวนทั้งไทยทั้งเทศ ภาษาต่างถิ่นไม่คุ้นหูดังขึ้นตลอดทาง ก่อนจะมีเด็กสาวต่างชาติเดินเข้ามาถามทางกับฉัน ฉันตอบกลับไปแบบเบลอ ๆ เธอขอบคุณก่อนจะส่งยิ้มหวานให้ 
 
ในตอนนั้นเองสมองก็เริ่มกลับมาประมวลผลอีกครั้ง และเพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันสามารถที่จะอธิบายเส้นทางเป็นภาษาอังกฤษได้ แม้มันจะไม่ได้ซับซ้อนอะไร และทุกอย่างก็ไม่ได้เกินความรู้ที่มี แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ฉันคงจะยืนใบ้อึ้งทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่ว่าไม่รู้หรือตอบไม่ได้หรอกนะ แต่เป็นเพราะว่ากลัวต่างหาก กลัวว่าจะพูดผิด กลัวสาระพัดอย่าง กลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปาก  ดูเหมือน 3 เดือนที่ฉันได้ก้าวข้ามผ่านความกลัวหลาย ๆ เรื่อง ได้ลองทำอะไรมากมาย พอมองย้อนกลับไปแล้ว ฉันเดินมาไกลเหลือเกิน เดินมาไกลโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
 
ตาของฉันเอาแต่มองไปข้างหน้า เพ่งไปยังเป้าหมายที่ยังอยู่ไกลลิบ ไม่เคยหันกลับไปมองสิ่งที่ผ่านมาเลย เอาแต่ก่นด่าสองขาที่ก้าวเดินไม่ทันใจ หลงลืมไปว่ามันคงจะเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักมานาน
 
เมื่อมาถึงสถานีรถไฟฉันหักเลี้ยวไม่ได้ไปทางเดิมแบบทุกที แสงไฟสวยสดดูน่าตื่นตา สองขาขยับตามเสียงเพลงที่เปิดคลอในห้างสรรพสินค้า ฉันมุ่งตรงไปยังร้านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สีสด เลือกหยิบคีย์บอร์ดและเมาส์ราคากลาง ๆ ขึ้นมา ไม่ใส่ใจเสียงกระซิบข้างหูที่บอกให้วางมันลง ภาพตัวเลขในบัญชีที่ค่อย ๆ ลดลงผุดขึ้นมา แต่ฉันก็เลือกที่จะมองข้ามมันไป พร้อมกับนึกถึงคำสัญญาที่ผลัดมาหลายเดือนว่าจะซื้อคีย์บอร์ดใหม่ ตอนคิดเงินแม้จะใจหายอยู่บ้าง แต่ลึก ๆ ก็แอบดีใจกับคีย์บอร์ดใหม่เหลือเกิน 
 
เสียงกระซิบยังคงเพรียกถามว่า "ยังอยากจะไปต่อไหม?" หัวสมองพิสดารก็สรรหาหนทางลัดเพื่อจบปัญหาทุกอย่าง แต่ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะเดินต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันก็พร้อมที่ก้าวต่อ ฉันไม่รู้หรอกว่าทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จะขรุขระหรืองดงามขนาดไหน แต่ฉันก็เชื่อมั่นว่าฉันจะผ่านมันไปได้ พระอาทิตย์ยังรอส่งยิ้มแฉ่งให้ฉันในวันพรุ่งนี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่