ส่วนตัวเพิ่งจัดฟันใสเสร็จและกำลังใส่รีเทนเนอร์แบบใส เลยอยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเองและอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่นที่จัดฟันใสเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับคนที่สนใจจะจัดฟันใสในอนาคต
เหตุผลหลักที่เลือกจัดฟันใสคือเพื่อความสะดวกในการทำงานและระยะเวลาที่ใช้ในการจัดที่คุณหมอแจ้งว่าจะสั้นกว่าแบบติดเครื่องมือค่อนข้างมาก โดยไม่ได้เลือกจัด Invisalign เนื่องจากสภาพฟันน่าจะต้องใช้ที่จัดฟันหลายชุดและค่าใช้จ่ายสูง จึงเลือกจัดฟันใสยี่ห้ออื่นที่จัดเป็นแพ็คเกจเหมาจ่ายไม่จำกัดจำนวนชิ้น
ก่อนเริ่มจัดฟันใส
คุณหมอก็จะตรวจสภาพฟันว่าสามารถเริ่มจัดฟันใสได้เลยหรือต้องมีการแก้ไขอะไรก่อนเริ่ม ส่วนตัวไม่ได้ต้องถอนฟันเนื่องจากฟันห่างอยู่แล้ว คุณหมอจึงแจ้งว่ามีพื้นที่เพียงพอในการให้ฟันเรียงโดยไม่ต้องถอนฟันเพิ่ม แต่มีการแก้ฟันโดยการหมุนฟันให้อยู่ในทิศทางเดียวกันหมดก่อนเริ่มจัดฟัน (ค่าใช้จ่ายส่วนนี้แยกจากแพ็คเกจจัดฟันใส) หลังจากเตรียมการเรียบร้อยก็จะมีการสแกนฟันเพื่อพิมพ์ชิ้นงานออกมา หลังจากนั้นจะมีการนำผลสแกนไปจำลองการเคลื่อนฟัน ซึ่งหลังจากขั้นตอนนี้จะทราบว่าต้องใช้ชิ้นงานกี่ชุดและติดจุดเคลื่อนฟันกี่ตำแหน่ง ตรงไหนบ้าง โดยคุณหมอจะให้เป็นไฟล์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าฟันของเราจะเป็นอย่างไรหลังจากใส่ชุดเครื่องมือชิ้นต่าง ๆ จนถึงผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อใส่ครบทุกชิ้น ของเราครั้งแรกได้ชิ้นงานมาทั้งหมด 18 ชุด ใส่ชุดละ 2 สัปดาห์
ระหว่างจัดฟันใส
ตอนใส่ชุดแรกจะทรมานนิดหน่อยเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกขณะใส่ ความยากตอนถอดและอาการปวดฟันจากการเคลื่อนของฟันตามชุดอุปกรณ์ แต่หลังจากนั้นก็จะคุ้นเคยไปเองจนรู้สึกว่าปกติ (หรือเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว) ทำให้เห็นข้อดีของการจัดฟันใสค่อนข้างชัดคือการที่คนอื่นไม่เห็นเครื่องมือ (เวลาบางคนชวนกินขนมแล้วเราบอกกินไม่ได้เนื่องจากใส่ชิ้นงานอยู่ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าเราจัดฟันอยู่) การที่กินอะไรได้อย่างถนัดเนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่เป็นเหล็ก (ในกรณีที่ไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนชุดจัดฟัน เพราะสองสามวันแรกหลังจากเปลี่ยนชุดจัดฟันจะค่อนข้างปวดฟัน) ระยะเวลาที่ใช้จัดฟันควรจะเสร็จในเวลาประมาณ 9 เดือน (มีอธิบายเพิ่มเติมตอนท้าย) ถึงแม้ว่าคุณหมอจะแจ้งว่าชิ้นงานแต่ละชุดให้ใส่ 2 สัปดาห์ แต่พอใส่จริงจะรู้สึกปวดฟันอยู่ประมาณ 3-5 วัน หลังจากนั้นจะใส่ง่าย ถอดง่ายและไม่รู้สึกปวดฟันอีก ช่วงเปลี่ยนชิ้นงานแรก ๆ จึงพยายามกินข้าวเป็นเวลาเพื่อลดจำนวนครั้งในการถอดและใส่ชิ้นงาน ในบางกรณีที่เราอาจจะรีบจัดให้เสร็จไวขึ้น คุณหมออาจแจ้งว่าสามารถเปลี่ยนชิ้นงานก่อนครบ 2 สัปดาห์ได้
ปัญหาที่อาจพบได้คือชิ้นงานเสียหาย อาจเกิดได้จากหลายปัจจัยเช่นตอนถอดออกดึงแรงเกินไปในทิศทางที่เหมือนหักชิ้นงาน หรือชิ้นงานบางจุดบางเกินไป ทำให้ทุกครั้งที่ใส่และถอดเกิดการเสียดสีจนขาดในที่สุด ปัญหาที่สองคือความสะอาดของชิ้นงาน หากดูแลรักษาไม่ดีชิ้นงานจะสกปรกเช่นสีเปลี่ยน (จากการกินน้ำหวานต่าง ๆ ขณะใส่ชิ้นงาน) หรือมีคราบอยู่ที่ปลายชิ้นงาน (แปรงสีฟันไม่ลึกพอที่จะทำความสะอาดปลายชิ้นงาน)
หลังจัดฟันใส
พอใส่ชิ้นงานครบทั้งหมดจึงพบว่าผลที่ได้ไม่ค่อยตรงกับวิดีโอที่ให้ดูตอนแรก เช่น รูระหว่างฟัน ฟันเกย ช่องว่างระหว่างฟันบนและล่างเยอะบางส่วน ฯลฯ คุณหมอแจ้งว่าเป็นปกติที่จะไม่เป็นไปตามแผน (ไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้า) จึงให้เริ่มแก้โดยการติดเหล็ก ใส่ยางเพื่อดึงฟันบนและล่างให้มาชิดกัน หลังจากดึงเสร็จแล้สจึงสแกนฟันและจัดทำชิ้นงานสำหรับแก้ไขมาให้ เราได้มาทั้งหมด 8 ชุด
หลังจัดฟันใสแก้ไข
หลังจากใส่ชิ้นงานแก้ไขครบทั้ง 8 ชุด ก็ยังเจอปัญหาใหม่เพิ่มเติมเช่นฟันเอียง (ฟันแต่ละส่วนชี้ไปคนละทาง ไม่ได้ชึ้ขึ้นตรง ๆ) ฟันเกย (ฟันโดนเบียดจากซี่ข้าง ๆ และทำให้รู้สึกปวดฟันด้วย) สุดท้ายคุณหมอเลยเสนอว่าถ้าอยากให้จบไวให้ติดเครื่องมือ โดยคุณหมอบอกว่าจะแก้ด้วยชุดจัดฟันใสก็ได้ แต่ใช้เวลานาน เนื่องจากเราก็อยากให้จบแล้ว จึงตัดสินใจติดเครื่องมือ 1 เดือนเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถอดเครื่องมือก็จะทำการสแกนฟันเพื่อทำรีเทนเนอร์แบบใส แต่คุณหมอแจ้งว่าเนื่องจากเครื่องมือแบบใสจะมีความหนาของชิ้นงาน อาจจะทำให้ฟันไม่สบกันดี จึงแนะนำให้ทำแบบลวดเพิ่ม (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ตอนนี้เราเพิ่งได้รีเทนเนอร์และเพิ่งเริ่มใส่ จึงยังไม่ทราบว่าจะเกิดปัญหาอะไรเพิ่มเติมหลังจากนี้อีกไหม
สรุป
เราใช้เวลาจัดฟันใสทั้งหมดประมาณ 2 ปี สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจัดฟันใสคือการสื่อสารจากคุณหมอและคลินิคที่ไม่ชัดเจน ก่อนทำจะพูดถึงแต่ข้อดีของการจัดฟันใสโดยไม่ได้พูดถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น แก้ปัญหาใดได้หรือไม่ได้ ปัญหาเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น ฯลฯ ระหว่างกระบวนการจัดจึงรู้ข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ผลการจัดไม่ตรงกับแผน ควรทำรีเทนเนอร์แบบลวด ถึงจุดหนึ่ง (อาจเป็นจุดที่เริ่มไม่คุ้มทั้งคลินิคและลูกค้า เนื่องจากเป็นแพ็คเกจแบบเหมา ทำให้คลินิคไม่ได้รับเงินเพิ่มจากการแก้ไข และลูกค้ารู้สึกเสียเวลาในการจัดฟัน) ทั้งสองฝ่ายจะพยายามปิดเคสด้วยวิธีต่าง ๆ หากลูกค้าพึงพอใจกับผลที่ได้ก็จะสามารถจบกันด้วยดีได้ แต่หากลูกค้ายืนยันจะแก้ไขเพิ่มเติม ก็อาจจะแล้วแต่คลินิคและคุณหมอว่าจะจบเคสได้ยังไง สิ่งสำคัญในการตัดสินใจจัดฟันแบบใดก็ตามคือคุยกับคุณหมอและคลินิคให้ชัดเจนถึงความเหมาะสม (ชีวิตประจำวันของตัวเอง ระยะเวลา งบประมาณ ฯลฯ) ผลข้างเคียง และค่าใช้จ่ายตลอดกระบวนการจัดฟัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจที่สุดภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ของเรา
ท่านใดมีประสบการณ์การจัดฟันใสอยากให้มาแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคนที่กำลังเลือกว่าจะจัดฟันแบบใด
ชวนกันแชร์ประสบการณ์และปัญหาระหว่างและหลังจัดฟันใส
เหตุผลหลักที่เลือกจัดฟันใสคือเพื่อความสะดวกในการทำงานและระยะเวลาที่ใช้ในการจัดที่คุณหมอแจ้งว่าจะสั้นกว่าแบบติดเครื่องมือค่อนข้างมาก โดยไม่ได้เลือกจัด Invisalign เนื่องจากสภาพฟันน่าจะต้องใช้ที่จัดฟันหลายชุดและค่าใช้จ่ายสูง จึงเลือกจัดฟันใสยี่ห้ออื่นที่จัดเป็นแพ็คเกจเหมาจ่ายไม่จำกัดจำนวนชิ้น
ก่อนเริ่มจัดฟันใส
คุณหมอก็จะตรวจสภาพฟันว่าสามารถเริ่มจัดฟันใสได้เลยหรือต้องมีการแก้ไขอะไรก่อนเริ่ม ส่วนตัวไม่ได้ต้องถอนฟันเนื่องจากฟันห่างอยู่แล้ว คุณหมอจึงแจ้งว่ามีพื้นที่เพียงพอในการให้ฟันเรียงโดยไม่ต้องถอนฟันเพิ่ม แต่มีการแก้ฟันโดยการหมุนฟันให้อยู่ในทิศทางเดียวกันหมดก่อนเริ่มจัดฟัน (ค่าใช้จ่ายส่วนนี้แยกจากแพ็คเกจจัดฟันใส) หลังจากเตรียมการเรียบร้อยก็จะมีการสแกนฟันเพื่อพิมพ์ชิ้นงานออกมา หลังจากนั้นจะมีการนำผลสแกนไปจำลองการเคลื่อนฟัน ซึ่งหลังจากขั้นตอนนี้จะทราบว่าต้องใช้ชิ้นงานกี่ชุดและติดจุดเคลื่อนฟันกี่ตำแหน่ง ตรงไหนบ้าง โดยคุณหมอจะให้เป็นไฟล์วิดีโอที่แสดงให้เห็นว่าฟันของเราจะเป็นอย่างไรหลังจากใส่ชุดเครื่องมือชิ้นต่าง ๆ จนถึงผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อใส่ครบทุกชิ้น ของเราครั้งแรกได้ชิ้นงานมาทั้งหมด 18 ชุด ใส่ชุดละ 2 สัปดาห์
ระหว่างจัดฟันใส
ตอนใส่ชุดแรกจะทรมานนิดหน่อยเนื่องจากไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกขณะใส่ ความยากตอนถอดและอาการปวดฟันจากการเคลื่อนของฟันตามชุดอุปกรณ์ แต่หลังจากนั้นก็จะคุ้นเคยไปเองจนรู้สึกว่าปกติ (หรือเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว) ทำให้เห็นข้อดีของการจัดฟันใสค่อนข้างชัดคือการที่คนอื่นไม่เห็นเครื่องมือ (เวลาบางคนชวนกินขนมแล้วเราบอกกินไม่ได้เนื่องจากใส่ชิ้นงานอยู่ เขาถึงเพิ่งรู้ว่าเราจัดฟันอยู่) การที่กินอะไรได้อย่างถนัดเนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่เป็นเหล็ก (ในกรณีที่ไม่ได้เพิ่งเปลี่ยนชุดจัดฟัน เพราะสองสามวันแรกหลังจากเปลี่ยนชุดจัดฟันจะค่อนข้างปวดฟัน) ระยะเวลาที่ใช้จัดฟันควรจะเสร็จในเวลาประมาณ 9 เดือน (มีอธิบายเพิ่มเติมตอนท้าย) ถึงแม้ว่าคุณหมอจะแจ้งว่าชิ้นงานแต่ละชุดให้ใส่ 2 สัปดาห์ แต่พอใส่จริงจะรู้สึกปวดฟันอยู่ประมาณ 3-5 วัน หลังจากนั้นจะใส่ง่าย ถอดง่ายและไม่รู้สึกปวดฟันอีก ช่วงเปลี่ยนชิ้นงานแรก ๆ จึงพยายามกินข้าวเป็นเวลาเพื่อลดจำนวนครั้งในการถอดและใส่ชิ้นงาน ในบางกรณีที่เราอาจจะรีบจัดให้เสร็จไวขึ้น คุณหมออาจแจ้งว่าสามารถเปลี่ยนชิ้นงานก่อนครบ 2 สัปดาห์ได้
ปัญหาที่อาจพบได้คือชิ้นงานเสียหาย อาจเกิดได้จากหลายปัจจัยเช่นตอนถอดออกดึงแรงเกินไปในทิศทางที่เหมือนหักชิ้นงาน หรือชิ้นงานบางจุดบางเกินไป ทำให้ทุกครั้งที่ใส่และถอดเกิดการเสียดสีจนขาดในที่สุด ปัญหาที่สองคือความสะอาดของชิ้นงาน หากดูแลรักษาไม่ดีชิ้นงานจะสกปรกเช่นสีเปลี่ยน (จากการกินน้ำหวานต่าง ๆ ขณะใส่ชิ้นงาน) หรือมีคราบอยู่ที่ปลายชิ้นงาน (แปรงสีฟันไม่ลึกพอที่จะทำความสะอาดปลายชิ้นงาน)
หลังจัดฟันใส
พอใส่ชิ้นงานครบทั้งหมดจึงพบว่าผลที่ได้ไม่ค่อยตรงกับวิดีโอที่ให้ดูตอนแรก เช่น รูระหว่างฟัน ฟันเกย ช่องว่างระหว่างฟันบนและล่างเยอะบางส่วน ฯลฯ คุณหมอแจ้งว่าเป็นปกติที่จะไม่เป็นไปตามแผน (ไม่ได้มีการแจ้งล่วงหน้า) จึงให้เริ่มแก้โดยการติดเหล็ก ใส่ยางเพื่อดึงฟันบนและล่างให้มาชิดกัน หลังจากดึงเสร็จแล้สจึงสแกนฟันและจัดทำชิ้นงานสำหรับแก้ไขมาให้ เราได้มาทั้งหมด 8 ชุด
หลังจัดฟันใสแก้ไข
หลังจากใส่ชิ้นงานแก้ไขครบทั้ง 8 ชุด ก็ยังเจอปัญหาใหม่เพิ่มเติมเช่นฟันเอียง (ฟันแต่ละส่วนชี้ไปคนละทาง ไม่ได้ชึ้ขึ้นตรง ๆ) ฟันเกย (ฟันโดนเบียดจากซี่ข้าง ๆ และทำให้รู้สึกปวดฟันด้วย) สุดท้ายคุณหมอเลยเสนอว่าถ้าอยากให้จบไวให้ติดเครื่องมือ โดยคุณหมอบอกว่าจะแก้ด้วยชุดจัดฟันใสก็ได้ แต่ใช้เวลานาน เนื่องจากเราก็อยากให้จบแล้ว จึงตัดสินใจติดเครื่องมือ 1 เดือนเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากถอดเครื่องมือก็จะทำการสแกนฟันเพื่อทำรีเทนเนอร์แบบใส แต่คุณหมอแจ้งว่าเนื่องจากเครื่องมือแบบใสจะมีความหนาของชิ้นงาน อาจจะทำให้ฟันไม่สบกันดี จึงแนะนำให้ทำแบบลวดเพิ่ม (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) ตอนนี้เราเพิ่งได้รีเทนเนอร์และเพิ่งเริ่มใส่ จึงยังไม่ทราบว่าจะเกิดปัญหาอะไรเพิ่มเติมหลังจากนี้อีกไหม
สรุป
เราใช้เวลาจัดฟันใสทั้งหมดประมาณ 2 ปี สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจัดฟันใสคือการสื่อสารจากคุณหมอและคลินิคที่ไม่ชัดเจน ก่อนทำจะพูดถึงแต่ข้อดีของการจัดฟันใสโดยไม่ได้พูดถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น แก้ปัญหาใดได้หรือไม่ได้ ปัญหาเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น ฯลฯ ระหว่างกระบวนการจัดจึงรู้ข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น ผลการจัดไม่ตรงกับแผน ควรทำรีเทนเนอร์แบบลวด ถึงจุดหนึ่ง (อาจเป็นจุดที่เริ่มไม่คุ้มทั้งคลินิคและลูกค้า เนื่องจากเป็นแพ็คเกจแบบเหมา ทำให้คลินิคไม่ได้รับเงินเพิ่มจากการแก้ไข และลูกค้ารู้สึกเสียเวลาในการจัดฟัน) ทั้งสองฝ่ายจะพยายามปิดเคสด้วยวิธีต่าง ๆ หากลูกค้าพึงพอใจกับผลที่ได้ก็จะสามารถจบกันด้วยดีได้ แต่หากลูกค้ายืนยันจะแก้ไขเพิ่มเติม ก็อาจจะแล้วแต่คลินิคและคุณหมอว่าจะจบเคสได้ยังไง สิ่งสำคัญในการตัดสินใจจัดฟันแบบใดก็ตามคือคุยกับคุณหมอและคลินิคให้ชัดเจนถึงความเหมาะสม (ชีวิตประจำวันของตัวเอง ระยะเวลา งบประมาณ ฯลฯ) ผลข้างเคียง และค่าใช้จ่ายตลอดกระบวนการจัดฟัน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจที่สุดภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ของเรา
ท่านใดมีประสบการณ์การจัดฟันใสอยากให้มาแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของคนที่กำลังเลือกว่าจะจัดฟันแบบใด