สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับ ผมชื่ออ๋องครับ ปัจจุบันอายุ34 ปี ผมมีเรื่องราวอยากจะเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านได้ฟังกันครับ
ถ้าพูดถึงเรื่องความตายคนส่วนใหญ่มักจะกลัวกันและไม่อยากให้เกิดกับคนรอบตัวของเรา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งนั้นที่มีความคิดแบบนั้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าหากตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ต้องทำอะไรบ้าง และโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริงไหม ก็ยังไม่เคยมีใครบอกได้ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ ผมเองก็ไม่เคยมีความเชื่อพวกนี้มาก่อนหรอกครับ แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มที่จะเชื่อขึ้นมาว่า บาปกรรม เวรกรรม และโลกหลังความตายนั้นอาจจะมีอยู่จริง
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี2566 นี่แหละ ที่ผมทราบข่าวว่าคุณปู่ผมเสีย และหลังจากคุณปู่ผมเสียไม่นานคุณอาของผมก็ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะและมะเร็งตับ เดิมทีคุณอาผมทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ที่จังหวัดชัยภูมิ พอแกทราบว่าแกป่วยแกก็เลยกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดน่าน ระหว่างนั้นผมก็ได้ไปแวะเที่ยวหาคุณอาผมให้กำลังใจแกอยู่บ้าง ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอแกคือวันเสาร์ ผมจำวันที่กับเดือนไม่ได้ ผมคุยกับคุณอาผมว่าถ้าผมมีเวลาจะไปหายิงกระรอกมาทำลาบให้แกกิน ซึ่งแกก็ตอบผมว่า (ดีเหมือนกันอานานละไม่ได้กิน หาและก็ทำให้อากินหน่อยนะ )แกพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง และบอกผมว่า(ถ้าอาจะไปร้อยเอ็ดอ๋องไปส่งอาทีนะอาจะไปหาลูกของอา)แกมีภรรยาเป็นคนร้อยเอ็ดและมีลูกสองคน ซึ้งผมก็ตอบตกลงกับแกสัญญาว่าจะไปส่งแกเอง หลังจากคุยกับแกเสร็จวันอาทิตย์ผมก็เข้าไปในเมือง เพราะช่วงนั้นผมขายของอยู่ในเมืองน่าน และวันจันทร์ต้องไปส่งลูกไปเรียนด้วย ในค่ำคืนของเช้ามืดวันจันเวลา ตี2 ผมนอนสะดุ้งตื่นมาและเป็นอาการของคนหลับๆตื่นๆ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น ผมเห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงปรายเท้าผม ผมพยามที่จะเงยหน้าขึ้นไปดูหน้าเขาแต่เหมือนเขาพยามที่จะไม่ต้องการให้ผมเห็นหน้า ทำให้ผมมองเห็นแค่ช่วงลำคอลงมาถึงขา ผมเห็นเป็นผู้ชายแต่งชุดสีกากี คล้ายๆกับชุดตำรวจกับข้าราชการครู เป็นกางเกงขายาว เสื้อแขนสั้น ผมตกใจมากว่าเข้ามาในห้องผมได้ยังไงผมจึงหันไปมองซ้ายและขวาดูลูกชายกับแฟนผมว่าเป็นยังไง แฟนผมกับลูกชายผมนอนหลับสนิทผมพยามเอามือไปสกิดแฟนผมก็ไม่ยอมตื่น ผมกำลังจะถามผู้ชายทั้งสองคนว่าเป็นใครมาทำอะไร แต่อยู่ๆทันใดนั้นเอง ชายทั้งสองคนก็เดินมาจับแขนผมคนละข้างแล้วยกผมขึ้นโดยง่ายดายทั้งๆที่ผมพยามที่จะสู้กลับแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ เมื่อชายทั้งสองจับแขนผมและยกตัวผมขึ้นอยู่ๆก็เหมือนวาปไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ผมหันไปมองซ้ายขวา สถานที่ตรงนั้นมืดไปหมดแต่ก็มีความสว่างที่พอให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร หากมองไกลเกิน5เมตรก็มืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาจับผมไว้เหมือนห้องขังตามสถานีตำรวจครับ ในตอนนั้นผมหันไปด้านขวาผม มีคนถูกจับเหมือนผมอีกคนผทเองก็พยามมองหน้าว่าเป็นใครแต่ก็เหมือนครับไม่สามารถมองหน้าได้ ต่างคนต่างอยู่ในห้องขังคนละห้อง และอยู่ๆก็มีชายคนหนึ่งโผล่มาตรงหน้าทุกคน แต่งกายคล้ายใส่ชุดสูทสีดำ มีโต๊ะและกองเอกสารเต็มไปหมดกำลังเปิดเอกสารดูแบบตั้งหน้าตั้งตา แล้วก็มีการสนทนากัน
ชายสูทดำ : ไหนจับใครมา
ชายชุดกากี : พวกผมไม่แน่ใจว่าคนไหนที่ท่านสั่งให้พวกผมไปจับก็เลยจับมาทั้งสองคนเลยเพื่อให้ท่านเลือกเองครับ
สิ้นเสียงการสนทนาแค่สองประโยคผมรู้ทันทีเลยว่าสรุปแล้วชายชุดสูทสีดำและชุดกากีคือใคร ในตอนนั้นผมคิดว่าถ้าไหนๆก็ตายงั้นขอตายด้วยความดีเลยระลึกถึงพระรัตนตรัย นั่งสมาธิแผ่เมตตาละลึกถึงความดีที่ตัวเองทำไว้ แต่ภาพที่ละลึกนั้นไวมากมาเป็นฉากๆเลยและก็ไม่ได้มีความดีเยอะมากมายแต่ภาพที่เคยล่าสัตว์ยิงนกตกปลาก็ออกมาให้เห็นหมด ในใจคิดว่าตอนมีชีวิตทำไมถึงไม่ยอมทำแต่ความดีบ้างนะ สิ้นความคิดก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
ชายสูทดำ : ชี้นิ้วมาทางผมแล้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า ไหนเอ็งบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดมาสิ
ผม : ผมชื่อ.......เกิดวันที่ เดือน ปี
เมื่อผมบอกเสร็จปุ๊บก็มีการขึ้นเสียงที่น่าตกใจขึ้นมา
ชายสูทดำ : อ่าวเห้ย! พวกเอ็งสองคนไปจับเขามาทำไม เขายังไม่ถึงเวลาตาย ทำไมจับเขามาแบบนี้ คนที่ถึงเวลาคืออีกคนต่างหาก (หมายถึงชายที่อยู่ห้องขังข้างๆผม) พวกเอ็งรีบพาเขากลับไปเดี๋ยวนี้
พอจบสิ้นคำสั่ง ชายชุดกากีเลยเดินมาจับแขนผมแล้วบอกว่าไปเดี๋ยวไปส่ง ในขณะที่กำลังจะเดินกลับ ชายสูทสีดำมาพร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาลเสียงดังชัดเจนมากๆ เอ่ยขึ้นมา ที่รอบนี้ได้ยินแค่เสียงอย่างเดียว
ชายสูทดำ : ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ถือเป็นการขอโทษอยากจะไปดูคนที่ตายแล้วเขาอยู่ยังไงไหม
ด้วยที่ว่าผมก็เป็นคนอยากรู้อยากเห็นพอสมควรเลยตอบตกลงแบบไม่ได้คิดอะไรเลย เมื่อผมตอบตกลงชายชุดกากีก็พาผมเดินไปเข้าประตูบานหนึ่งเป็นประตูสีดำ พอเปิดประตูเขาก็ให้ผมเดินเข้าไป ก้าวแรกที่ผมเดินเหยียบเข้าไปใจผมสั่นตกใจมาก ใจแทบตกไปอยู่ตรงตาตุ่ม ผมเจอสุนัข สีดำสองตัว เฝ้าตรงประตูทางเข้า เคี้ยวแหลมคมมาก ตาสีแดง และมีขนาดตัวใหญ่มาก น่าจะเท่าๆกับช้างได้ แค่ผมคิดในใจ ชายชุดกากีก็เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร เขาเลยบอกว่า นี่คือสนุขเฝ้าประตูกันไม่ให้คนหนีออก สถานที่ที่ผมเข้าไปนั้นมันไม่ได้เหมือนนรกที่เราเคยคิดว่าต้องมีต้นงิ้วหรือกะทะใบใหญ่ๆมีคนถือหอกทิ่ม มันต่างกันมากๆครับ ที่ผมเข้าไปนั้นมันมืดเหมือนช่วงหัวค่ำแบบสลัวๆครับ และเป็นหมู่บ้าน แต่จะเป็นหมู่เหมือนเป็นตึกทาว์โฮมเรียงยาวซ้ายขวาเลยครับ และจะมีถนนคล้ายๆคอนกรีตอยู่ตรงกลาง ไม่กว้างมาก ผมเห็นคนที่เป็นทั้งชายหญิงสวมใส่ชุดเสื้อผ้า สีดำ เทา สีขาวมีครับแต่เหมือนจะน้อยกว่า ผู้คนที่ผมเห็นหน้าตาแต่ละคนดูเศร้าหมองคล้ำมากๆ ไม่เห็นใครมีรอยยิ้มเลย บางคนก็หน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้สสึกรู้สาอะไร บ้างคนก็เห็นนั่งก้มร้องไห้ ผมคิดในใจว่าคนเหล่านี้เป็นใครกันน้อ ทันใดนั้นชายชุดกากีก็ตอบว่า พวกนี้คือคนที่ตายแล้วไม่มีญาติและไม่มีใครทำบุญให้ บางคนก็ตอนมีชีวิตไม่เคยทำความดีทำแต่กรรมเลยต้องอยู่แบบนี้ไปจนกว่าจะหมดกรรมที่ทำไว้ถึงจะได้เข้าไปหมู่บ้านอื่น ในขณะที่ผมเดินตามทางไปดูไป สิ่งที่ทำให้ผมช็อคที่สุดคือ ผมเห็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านผมที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นปู่ของเพื่อนผม เจอเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่ตายไปแล้ว แต่เหมือนคนเหล่านั้นกลับจำผมไม่ได้เลยสักคน แล้วเหมือนเขาจะกลัวชายชุดกากีที่มากับผมมากๆ จนผมเดินจนสุดหมู่บ้านที่1 ก็เลยเดินเข้าไปหมู่บ้านที่2 พอเปิดประตูมาเจอสุนัทเฝ้าประตูเหมือนเดิมครับ สภาพตึกอาคารทุกอย่างเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่ตรงผู้คน หมู่บ้านที่สองผมสังเกตุเห็น ว่าแต่ละคนแตกต่างจากหมู่บ้านที่1 เพราะหมู่บ้านที่2 จะเห็นผู้คนยืนเรียงแถวกันเหมือนกำลังจะต่อแถวเข้าแถวทำอะไรสักอย่าง และดูไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นเหมือนราวกับว่าเขารู้แล้วว่าเขาจะต้องทำอย่างไร เช่นเดิมครับพอผมคิดปุ๊บ ชายชุดกากีก็ตอบผมมาเลยว่า หมู่บ้านนี้คือคนที่พึ่งผ่านมาจากหมู่บ้านเมื่อกี้ ที่กำลังนับส่วนบุญความดีที่เคยทำไว้ และมีการนับทรัพย์สินที่ญาติพี่น้องทำบุญมาให้เยอะหรือน้อย ผมก็ไม่ได้ถามต่อว่าถ้าเยอะหรือน้อยแล้วมันได้อะไร ผมเดินไปจนจะสุดของท้ายหมู่บ้านทันใดนั้นผมตกใจมากๆ เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ พ่อของเพื่อนสนิทผมที่พึ่งตายไปไม่กี่ปี ที่น่าตกใจไม่ใช่ว่าเจอพ่อเพื่อนแต่เห็นพ่อของเพื่อนผมกำลังจับมือถือแขนเพื่อนผมสองคน(มันเป็นพี่น้องกันคนพี่ผมเรียกว่าแก คนน้องเรียกว่าต๊อด) ทันใดนั้นผมรีบเดินดิ่งไปหาเพื่อนผม มันนั่งทำหน้าเศร้ามากๆไม่คุยกันเลย เลยทักมัน
ผม :ไอ่ต๊อด ไอ่แก่ สองคนมาที่นี่ได้ยังไง นี่มันคือโลกของคนตายนะสองคนยังไม่ตายพวกรีบๆกลับไป
มันสองคนก็ทำหน้าตกใจ มันตอบผมว่า
ต๊อดกับแก่ : อ่าวก็พ่อกูบอกว่าเขาจะเอาพวกกูไปอยู่ด้วยเขาบอกเขาเป็นห่วงและก็สงสาร
ผม : ไม่ได้ๆสองคนรีบปล่อยมือพ่อแล้วรีบลุกแล้วกลับไปซะ
พอสิ้นเสียงผมตะคอกใส่มันสองคน มันสองคนเลยปล่อยมือพ่อมันแล้ววิ่งหายไปทันตา ผมหันมาหาพ่อเพื่อน
ผม : พี่พล(ตอนสมัยแกยังไม่ตายผมจะเรียกแกว่าพี่เพราะถ้านับญาติแล้วต้องเรียกว่าพี่) พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะมันสองคนยังไม่ตายพี่จะเอามันไปอยู่ด้วยไม่ได้หากพี่เอามันสองคนไปอยู่ด้วยใครจะเลี้ยงแม่มันสองคน ไหนจะน้องสาวมันสามคนอีกและหลานพี่เล็กๆอีกสองคนใครจะคอยดูแล (บ้านนี้พี่มีน้อง4คนคือ แก่ ต๊อด น้ำ และแบม ส่วนหลานที่ว่าคือลูกสาวของคนชื่อน้ำและลูกสาวของแก่)
ผม : ถ้าพี่พลเป็นห่วงพวกมันรักพวกมันพี่ก็คอยปกป้องคอยดูแลพวกมันสิ ให้โชคลาภมันเอาไม่ใช่ทำแบบนี้ พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะ
ทุกคำพูดที่ผมกล่าวไปไม่มีเสียงตอบผมสักคำ หน้าตาพี่พลแค่นิ่งๆและก้มหน้า จนท้ายสุดผมย้ำอีกรอบว่า พี่พลผมขอร้องนะพี่อย่าเอาพวกมันไปนะพี่เข้าใจไหม พี่พลแกถึงพยักหน้าให้ผมพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงร้องไห้หรือคำพูดออกจากปากแกสักคำ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก่อนหน้านี้ก้องกังวาลดังมากๆ เอ่ยขึ้นมาว่า
" เอาล่ะหมดเวลาแล้วถึงเวลากลับได้แล้ว" พอสิ้นเสียงปุ๊บชายชุดกากีก็จับแขนผมพูดสั้นๆแค่ว่า " ไป " และผมก็ลุกขึ้นมานั่งจากที่นอนทันที ผมหันมองซ้ายมองขวาดูลูกกับเมียยังหลับปกติเหมือนเดิม และหยิบนาฬิกามาดูเวลา ในตอนนั้นเป็นเวลาตี5 กว่าๆ ผมเลยล้มตัวนอนคิด ใจยังเต้นตุ๊บๆๆแรงมากไม่หยุด และผมก็ไม่ได้นอนจนเวลา 07.00 น. ผมก็ปลุกลูกกับแฟนไปอาบน้ำเพราะค้องไปส่งลูกไป รร และต้องเข้าตลาดซื้อของมาขาย เช้านั้นผมก็เล่าให้แฟนผมฟังแฟนผมบอกหืมน่ากลัว ในวันนั้นไม่รู้อะไรดลบันดาลใจให้ผมไปส่งลูกเรียนสาย ช่วงเวลา08.00น. ผมกำลังขับรถไปส่งลูกเรียนผมโทรหาแม่ผมและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ผมฟัง แม่ผมก็ตั้งใจฟังจนผมเล่าให้ฟังจนจบ สิ่งที่แม่ผมตอบมาทำให้ผมช็อคมากๆ " เอ็งรู้ไหมที่เขาว่าจับเอ็งไปผิดอ่ะแล้วคนข้างๆที่ตายคือใครรู้ป่าว คืออาชาติไง แกอาการไม่ดีตั้งแต่ตอนตีเที่ยงคืน ช่วงตี2เริ่มหนักแฟนอาชาติอ่ะโทรหาแม่ตอนตี2บอกว่าอาชาติไม่น่าไหวแล้ว และเมื่อเช้าช่วงราวๆตี5 อาชาติแกสิ้นลมหายใจ "
วินาทีนั้นรีบจอดรถ ขนลูกซู่เลยครับเล่าให้แฟนผมฟังว่าอาชาติตายเมื่อเช้า แฟนผมนี่ช็อคกว่าผมอีก คงมีเหตุผลที่เขาจับตัวผมไปผิดครับ
1. แฟนอาชาติกับแฟนผม ชื่อนุชเหมือนกัน
2. อาชาติแกมีลูก2คน ส่วนตัวผมก็มีลูก2 คน
3.อาชาติเป็นลูกชายคนที่3 ผมเองก็เป็นลูกชายคนที่3
4. ผมกับอาชาติทางบ้านเรามีการนับถือศาสนาบรรพบุรุษ เวลาทำบุญต่างๆจะไม่มีการแยกพิธีกรรม ถ้าพูดถึงความเชื่ออาจจะมองว่าคือครอบครัวเดียวกัน
ท้ายนี้ ผมไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะคิดว่าที่ผมเล่ามาเป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นมา แต่ถ้าถามผมก็ก็ยังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่ผมพบเจอมาจริงๆ ผมไม่ได้บังคับว่าใครต้องเชื่อเรื่องที่ผมเล่ามา หากใครเชื่อว่าโลกหลังความตายมีจริงก็ขอให้หมั่นทำความดีไว้เยอะๆครับและทำดีกับคนที่คุณรักให้มากๆ หากใครไม่เชื่อก็ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณอ่านคลายเครียดก็ได้ครับ
ท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามารับฟังเรื่องราวจากผมครับ ผมยังมีเรื่องราวแนวๆนี้อยู่สองสามเหตุการณ์ครับ
ความโชคดีที่แลกกับการสูญเสีย
ถ้าพูดถึงเรื่องความตายคนส่วนใหญ่มักจะกลัวกันและไม่อยากให้เกิดกับคนรอบตัวของเรา ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งนั้นที่มีความคิดแบบนั้น เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าหากตายไปแล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน ต้องทำอะไรบ้าง และโลกหลังความตายนั้นมีอยู่จริงไหม ก็ยังไม่เคยมีใครบอกได้ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ ผมเองก็ไม่เคยมีความเชื่อพวกนี้มาก่อนหรอกครับ แต่มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมเริ่มที่จะเชื่อขึ้นมาว่า บาปกรรม เวรกรรม และโลกหลังความตายนั้นอาจจะมีอยู่จริง
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี2566 นี่แหละ ที่ผมทราบข่าวว่าคุณปู่ผมเสีย และหลังจากคุณปู่ผมเสียไม่นานคุณอาของผมก็ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะและมะเร็งตับ เดิมทีคุณอาผมทำอาชีพขายน้ำเต้าหู้ที่จังหวัดชัยภูมิ พอแกทราบว่าแกป่วยแกก็เลยกลับไปบ้านเกิดที่จังหวัดน่าน ระหว่างนั้นผมก็ได้ไปแวะเที่ยวหาคุณอาผมให้กำลังใจแกอยู่บ้าง ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอแกคือวันเสาร์ ผมจำวันที่กับเดือนไม่ได้ ผมคุยกับคุณอาผมว่าถ้าผมมีเวลาจะไปหายิงกระรอกมาทำลาบให้แกกิน ซึ่งแกก็ตอบผมว่า (ดีเหมือนกันอานานละไม่ได้กิน หาและก็ทำให้อากินหน่อยนะ )แกพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรง และบอกผมว่า(ถ้าอาจะไปร้อยเอ็ดอ๋องไปส่งอาทีนะอาจะไปหาลูกของอา)แกมีภรรยาเป็นคนร้อยเอ็ดและมีลูกสองคน ซึ้งผมก็ตอบตกลงกับแกสัญญาว่าจะไปส่งแกเอง หลังจากคุยกับแกเสร็จวันอาทิตย์ผมก็เข้าไปในเมือง เพราะช่วงนั้นผมขายของอยู่ในเมืองน่าน และวันจันทร์ต้องไปส่งลูกไปเรียนด้วย ในค่ำคืนของเช้ามืดวันจันเวลา ตี2 ผมนอนสะดุ้งตื่นมาและเป็นอาการของคนหลับๆตื่นๆ ผมค่อยๆลืมตาขึ้น ผมเห็นผู้ชายสองคนยืนอยู่ตรงปรายเท้าผม ผมพยามที่จะเงยหน้าขึ้นไปดูหน้าเขาแต่เหมือนเขาพยามที่จะไม่ต้องการให้ผมเห็นหน้า ทำให้ผมมองเห็นแค่ช่วงลำคอลงมาถึงขา ผมเห็นเป็นผู้ชายแต่งชุดสีกากี คล้ายๆกับชุดตำรวจกับข้าราชการครู เป็นกางเกงขายาว เสื้อแขนสั้น ผมตกใจมากว่าเข้ามาในห้องผมได้ยังไงผมจึงหันไปมองซ้ายและขวาดูลูกชายกับแฟนผมว่าเป็นยังไง แฟนผมกับลูกชายผมนอนหลับสนิทผมพยามเอามือไปสกิดแฟนผมก็ไม่ยอมตื่น ผมกำลังจะถามผู้ชายทั้งสองคนว่าเป็นใครมาทำอะไร แต่อยู่ๆทันใดนั้นเอง ชายทั้งสองคนก็เดินมาจับแขนผมคนละข้างแล้วยกผมขึ้นโดยง่ายดายทั้งๆที่ผมพยามที่จะสู้กลับแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสู้ เมื่อชายทั้งสองจับแขนผมและยกตัวผมขึ้นอยู่ๆก็เหมือนวาปไปอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ผมหันไปมองซ้ายขวา สถานที่ตรงนั้นมืดไปหมดแต่ก็มีความสว่างที่พอให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร หากมองไกลเกิน5เมตรก็มืดสนิทไม่เห็นอะไรเลย สิ่งสำคัญที่สุดคือเขาจับผมไว้เหมือนห้องขังตามสถานีตำรวจครับ ในตอนนั้นผมหันไปด้านขวาผม มีคนถูกจับเหมือนผมอีกคนผทเองก็พยามมองหน้าว่าเป็นใครแต่ก็เหมือนครับไม่สามารถมองหน้าได้ ต่างคนต่างอยู่ในห้องขังคนละห้อง และอยู่ๆก็มีชายคนหนึ่งโผล่มาตรงหน้าทุกคน แต่งกายคล้ายใส่ชุดสูทสีดำ มีโต๊ะและกองเอกสารเต็มไปหมดกำลังเปิดเอกสารดูแบบตั้งหน้าตั้งตา แล้วก็มีการสนทนากัน
ชายสูทดำ : ไหนจับใครมา
ชายชุดกากี : พวกผมไม่แน่ใจว่าคนไหนที่ท่านสั่งให้พวกผมไปจับก็เลยจับมาทั้งสองคนเลยเพื่อให้ท่านเลือกเองครับ
สิ้นเสียงการสนทนาแค่สองประโยคผมรู้ทันทีเลยว่าสรุปแล้วชายชุดสูทสีดำและชุดกากีคือใคร ในตอนนั้นผมคิดว่าถ้าไหนๆก็ตายงั้นขอตายด้วยความดีเลยระลึกถึงพระรัตนตรัย นั่งสมาธิแผ่เมตตาละลึกถึงความดีที่ตัวเองทำไว้ แต่ภาพที่ละลึกนั้นไวมากมาเป็นฉากๆเลยและก็ไม่ได้มีความดีเยอะมากมายแต่ภาพที่เคยล่าสัตว์ยิงนกตกปลาก็ออกมาให้เห็นหมด ในใจคิดว่าตอนมีชีวิตทำไมถึงไม่ยอมทำแต่ความดีบ้างนะ สิ้นความคิดก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา
ชายสูทดำ : ชี้นิ้วมาทางผมแล้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า ไหนเอ็งบอกชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดมาสิ
ผม : ผมชื่อ.......เกิดวันที่ เดือน ปี
เมื่อผมบอกเสร็จปุ๊บก็มีการขึ้นเสียงที่น่าตกใจขึ้นมา
ชายสูทดำ : อ่าวเห้ย! พวกเอ็งสองคนไปจับเขามาทำไม เขายังไม่ถึงเวลาตาย ทำไมจับเขามาแบบนี้ คนที่ถึงเวลาคืออีกคนต่างหาก (หมายถึงชายที่อยู่ห้องขังข้างๆผม) พวกเอ็งรีบพาเขากลับไปเดี๋ยวนี้
พอจบสิ้นคำสั่ง ชายชุดกากีเลยเดินมาจับแขนผมแล้วบอกว่าไปเดี๋ยวไปส่ง ในขณะที่กำลังจะเดินกลับ ชายสูทสีดำมาพร้อมกับเสียงที่ก้องกังวาลเสียงดังชัดเจนมากๆ เอ่ยขึ้นมา ที่รอบนี้ได้ยินแค่เสียงอย่างเดียว
ชายสูทดำ : ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ถือเป็นการขอโทษอยากจะไปดูคนที่ตายแล้วเขาอยู่ยังไงไหม
ด้วยที่ว่าผมก็เป็นคนอยากรู้อยากเห็นพอสมควรเลยตอบตกลงแบบไม่ได้คิดอะไรเลย เมื่อผมตอบตกลงชายชุดกากีก็พาผมเดินไปเข้าประตูบานหนึ่งเป็นประตูสีดำ พอเปิดประตูเขาก็ให้ผมเดินเข้าไป ก้าวแรกที่ผมเดินเหยียบเข้าไปใจผมสั่นตกใจมาก ใจแทบตกไปอยู่ตรงตาตุ่ม ผมเจอสุนัข สีดำสองตัว เฝ้าตรงประตูทางเข้า เคี้ยวแหลมคมมาก ตาสีแดง และมีขนาดตัวใหญ่มาก น่าจะเท่าๆกับช้างได้ แค่ผมคิดในใจ ชายชุดกากีก็เหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร เขาเลยบอกว่า นี่คือสนุขเฝ้าประตูกันไม่ให้คนหนีออก สถานที่ที่ผมเข้าไปนั้นมันไม่ได้เหมือนนรกที่เราเคยคิดว่าต้องมีต้นงิ้วหรือกะทะใบใหญ่ๆมีคนถือหอกทิ่ม มันต่างกันมากๆครับ ที่ผมเข้าไปนั้นมันมืดเหมือนช่วงหัวค่ำแบบสลัวๆครับ และเป็นหมู่บ้าน แต่จะเป็นหมู่เหมือนเป็นตึกทาว์โฮมเรียงยาวซ้ายขวาเลยครับ และจะมีถนนคล้ายๆคอนกรีตอยู่ตรงกลาง ไม่กว้างมาก ผมเห็นคนที่เป็นทั้งชายหญิงสวมใส่ชุดเสื้อผ้า สีดำ เทา สีขาวมีครับแต่เหมือนจะน้อยกว่า ผู้คนที่ผมเห็นหน้าตาแต่ละคนดูเศร้าหมองคล้ำมากๆ ไม่เห็นใครมีรอยยิ้มเลย บางคนก็หน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้สสึกรู้สาอะไร บ้างคนก็เห็นนั่งก้มร้องไห้ ผมคิดในใจว่าคนเหล่านี้เป็นใครกันน้อ ทันใดนั้นชายชุดกากีก็ตอบว่า พวกนี้คือคนที่ตายแล้วไม่มีญาติและไม่มีใครทำบุญให้ บางคนก็ตอนมีชีวิตไม่เคยทำความดีทำแต่กรรมเลยต้องอยู่แบบนี้ไปจนกว่าจะหมดกรรมที่ทำไว้ถึงจะได้เข้าไปหมู่บ้านอื่น ในขณะที่ผมเดินตามทางไปดูไป สิ่งที่ทำให้ผมช็อคที่สุดคือ ผมเห็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านผมที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นปู่ของเพื่อนผม เจอเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันที่ตายไปแล้ว แต่เหมือนคนเหล่านั้นกลับจำผมไม่ได้เลยสักคน แล้วเหมือนเขาจะกลัวชายชุดกากีที่มากับผมมากๆ จนผมเดินจนสุดหมู่บ้านที่1 ก็เลยเดินเข้าไปหมู่บ้านที่2 พอเปิดประตูมาเจอสุนัทเฝ้าประตูเหมือนเดิมครับ สภาพตึกอาคารทุกอย่างเหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันที่ตรงผู้คน หมู่บ้านที่สองผมสังเกตุเห็น ว่าแต่ละคนแตกต่างจากหมู่บ้านที่1 เพราะหมู่บ้านที่2 จะเห็นผู้คนยืนเรียงแถวกันเหมือนกำลังจะต่อแถวเข้าแถวทำอะไรสักอย่าง และดูไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นเหมือนราวกับว่าเขารู้แล้วว่าเขาจะต้องทำอย่างไร เช่นเดิมครับพอผมคิดปุ๊บ ชายชุดกากีก็ตอบผมมาเลยว่า หมู่บ้านนี้คือคนที่พึ่งผ่านมาจากหมู่บ้านเมื่อกี้ ที่กำลังนับส่วนบุญความดีที่เคยทำไว้ และมีการนับทรัพย์สินที่ญาติพี่น้องทำบุญมาให้เยอะหรือน้อย ผมก็ไม่ได้ถามต่อว่าถ้าเยอะหรือน้อยแล้วมันได้อะไร ผมเดินไปจนจะสุดของท้ายหมู่บ้านทันใดนั้นผมตกใจมากๆ เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือ พ่อของเพื่อนสนิทผมที่พึ่งตายไปไม่กี่ปี ที่น่าตกใจไม่ใช่ว่าเจอพ่อเพื่อนแต่เห็นพ่อของเพื่อนผมกำลังจับมือถือแขนเพื่อนผมสองคน(มันเป็นพี่น้องกันคนพี่ผมเรียกว่าแก คนน้องเรียกว่าต๊อด) ทันใดนั้นผมรีบเดินดิ่งไปหาเพื่อนผม มันนั่งทำหน้าเศร้ามากๆไม่คุยกันเลย เลยทักมัน
ผม :ไอ่ต๊อด ไอ่แก่ สองคนมาที่นี่ได้ยังไง นี่มันคือโลกของคนตายนะสองคนยังไม่ตายพวกรีบๆกลับไป
มันสองคนก็ทำหน้าตกใจ มันตอบผมว่า
ต๊อดกับแก่ : อ่าวก็พ่อกูบอกว่าเขาจะเอาพวกกูไปอยู่ด้วยเขาบอกเขาเป็นห่วงและก็สงสาร
ผม : ไม่ได้ๆสองคนรีบปล่อยมือพ่อแล้วรีบลุกแล้วกลับไปซะ
พอสิ้นเสียงผมตะคอกใส่มันสองคน มันสองคนเลยปล่อยมือพ่อมันแล้ววิ่งหายไปทันตา ผมหันมาหาพ่อเพื่อน
ผม : พี่พล(ตอนสมัยแกยังไม่ตายผมจะเรียกแกว่าพี่เพราะถ้านับญาติแล้วต้องเรียกว่าพี่) พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะมันสองคนยังไม่ตายพี่จะเอามันไปอยู่ด้วยไม่ได้หากพี่เอามันสองคนไปอยู่ด้วยใครจะเลี้ยงแม่มันสองคน ไหนจะน้องสาวมันสามคนอีกและหลานพี่เล็กๆอีกสองคนใครจะคอยดูแล (บ้านนี้พี่มีน้อง4คนคือ แก่ ต๊อด น้ำ และแบม ส่วนหลานที่ว่าคือลูกสาวของคนชื่อน้ำและลูกสาวของแก่)
ผม : ถ้าพี่พลเป็นห่วงพวกมันรักพวกมันพี่ก็คอยปกป้องคอยดูแลพวกมันสิ ให้โชคลาภมันเอาไม่ใช่ทำแบบนี้ พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะ
ทุกคำพูดที่ผมกล่าวไปไม่มีเสียงตอบผมสักคำ หน้าตาพี่พลแค่นิ่งๆและก้มหน้า จนท้ายสุดผมย้ำอีกรอบว่า พี่พลผมขอร้องนะพี่อย่าเอาพวกมันไปนะพี่เข้าใจไหม พี่พลแกถึงพยักหน้าให้ผมพร้อมกับน้ำตาไหลออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงร้องไห้หรือคำพูดออกจากปากแกสักคำ
ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก่อนหน้านี้ก้องกังวาลดังมากๆ เอ่ยขึ้นมาว่า
" เอาล่ะหมดเวลาแล้วถึงเวลากลับได้แล้ว" พอสิ้นเสียงปุ๊บชายชุดกากีก็จับแขนผมพูดสั้นๆแค่ว่า " ไป " และผมก็ลุกขึ้นมานั่งจากที่นอนทันที ผมหันมองซ้ายมองขวาดูลูกกับเมียยังหลับปกติเหมือนเดิม และหยิบนาฬิกามาดูเวลา ในตอนนั้นเป็นเวลาตี5 กว่าๆ ผมเลยล้มตัวนอนคิด ใจยังเต้นตุ๊บๆๆแรงมากไม่หยุด และผมก็ไม่ได้นอนจนเวลา 07.00 น. ผมก็ปลุกลูกกับแฟนไปอาบน้ำเพราะค้องไปส่งลูกไป รร และต้องเข้าตลาดซื้อของมาขาย เช้านั้นผมก็เล่าให้แฟนผมฟังแฟนผมบอกหืมน่ากลัว ในวันนั้นไม่รู้อะไรดลบันดาลใจให้ผมไปส่งลูกเรียนสาย ช่วงเวลา08.00น. ผมกำลังขับรถไปส่งลูกเรียนผมโทรหาแม่ผมและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ผมฟัง แม่ผมก็ตั้งใจฟังจนผมเล่าให้ฟังจนจบ สิ่งที่แม่ผมตอบมาทำให้ผมช็อคมากๆ " เอ็งรู้ไหมที่เขาว่าจับเอ็งไปผิดอ่ะแล้วคนข้างๆที่ตายคือใครรู้ป่าว คืออาชาติไง แกอาการไม่ดีตั้งแต่ตอนตีเที่ยงคืน ช่วงตี2เริ่มหนักแฟนอาชาติอ่ะโทรหาแม่ตอนตี2บอกว่าอาชาติไม่น่าไหวแล้ว และเมื่อเช้าช่วงราวๆตี5 อาชาติแกสิ้นลมหายใจ "
วินาทีนั้นรีบจอดรถ ขนลูกซู่เลยครับเล่าให้แฟนผมฟังว่าอาชาติตายเมื่อเช้า แฟนผมนี่ช็อคกว่าผมอีก คงมีเหตุผลที่เขาจับตัวผมไปผิดครับ
1. แฟนอาชาติกับแฟนผม ชื่อนุชเหมือนกัน
2. อาชาติแกมีลูก2คน ส่วนตัวผมก็มีลูก2 คน
3.อาชาติเป็นลูกชายคนที่3 ผมเองก็เป็นลูกชายคนที่3
4. ผมกับอาชาติทางบ้านเรามีการนับถือศาสนาบรรพบุรุษ เวลาทำบุญต่างๆจะไม่มีการแยกพิธีกรรม ถ้าพูดถึงความเชื่ออาจจะมองว่าคือครอบครัวเดียวกัน
ท้ายนี้ ผมไม่ได้คาดหวังว่าทุกคนจะคิดว่าที่ผมเล่ามาเป็นเรื่องจริงหรือแต่งขึ้นมา แต่ถ้าถามผมก็ก็ยังยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงที่ผมพบเจอมาจริงๆ ผมไม่ได้บังคับว่าใครต้องเชื่อเรื่องที่ผมเล่ามา หากใครเชื่อว่าโลกหลังความตายมีจริงก็ขอให้หมั่นทำความดีไว้เยอะๆครับและทำดีกับคนที่คุณรักให้มากๆ หากใครไม่เชื่อก็ขอให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณอ่านคลายเครียดก็ได้ครับ
ท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามารับฟังเรื่องราวจากผมครับ ผมยังมีเรื่องราวแนวๆนี้อยู่สองสามเหตุการณ์ครับ