คุณเคยได้ยินคำว่าชีวิตของเรา เราเลือกได้ไหม จริงๆมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นซะทีเดียว คุณเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม ที่เขาว่ากันว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่บนโลกใบนี้ จะมีเราอีกตัวตนนึงอยู่ในโลกคู่ขนานที่ทำสิ่งๆเดียวกับเราอยู่ เช่นถ้าเราตอนนี้กำลังดูทีวีอยู่ ก็จะมีเราอีกตัวตนนึงอยู่ในโลกคู่ขนานก็กำลังดูทีวีอยู่เหมือนกัน
แต่!! ผมจะขอเล่าอะไรอีกนิดนึง คุณรู้จักทฤษฎีbutterfly effect (บัตเตอร์ฟายเอฟเฟกต์ หรือ ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก)ไหม butterfly effect ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยจะมีผลต่ออนาคตมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นมีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 18 กำลังเรียนอยู่ม 6 และไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนต่ออะไรก็เลยไม่คิดจะเรียนต่อแล้วก็ทำงานเลย แต่วันนึงเขากำลังเดินกลับบ้านจากโรงเรียน แล้วที่ซอยหน้าบ้านเขาจะมีทางแยกเป็น 2 ทาง เลี้ยวขวาคือทางไปบ้านเขาส่วนเลี้ยวซ้ายไปยังอีกทางมีร้านค้าอยู่ตรงนั้น ซึ่งเขาตัดสินใจเลือกไปทางซ้ายเพราะจะแวะซื้อขนมที่ร้านค้าหน่อย แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านค้า เขาซื้อสติ๊กเกอร์มาติดประดับร้าน เขาเห็นสติ๊กเกอร์นั้นแล้วรู้สึกว่ามันสวยดี และเขาจ้องมองมันดีๆก็รู้สึกว่าสติ๊กเกอร์นั้นมันคือศิลปะชิ้นนึงที่สร้างสรรค์และสวยงาม เขาเลยคิดขึ้นได้ว่า เขาก็เป็นคนที่ชื่นชอบผลงานที่เกี่ยวกับศิลปะสุดท้ายจากที่เขาตัดสินใจว่าจบม. 6 แล้วจะทำงานเลยเขาเลยเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในสาขาศิลปะศึกษา
และหลังจากเวลาผ่านมาหลายปีเขาเขาได้เรียนจบในสาขาศิลปะศึกษาและได้เป็นครูสอนในโรงเรียน
เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตเพราะการตัดสินใจจากที่จะได้จบม. 6 มาทำงานเลย กลับกลายได้เรียนมหาลัยและจบมาเป็นครูสอนนักเรียน สิ่งนี้มันเกิดขึ้นจากอะไร มันเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจวันนั้น ว่าจะเลือกกลับบ้านเลยหรือไปร้านค้า เหตุมันก็เกิดขึ้นมาจากที่เขาเลือกว่าจะเลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้ายดีมันแค่นั้นเลย การเลือกอะไรบางอย่างเล็กๆน้อยๆจะมีผลต่ออนาคตอย่างมหาศาล นี่ผมไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตใครให้คุณฟัง แต่กำลังอธิบายทฤษฎี butterfly effect ให้คุณฟังอย่างละเอียด
ซึ่งเรามาย้อนกลับไปเรื่องรูปคู่ขนานที่ ที่ผมเล่าไปเมื่อกี้ว่าถ้าหากเราทำอะไรสักอย่างอยู่ในจักรวาลนี้ จะมีเราอีกตัวตนในจักรวาลคู่ขนานที่ทำทุกอย่างเหมือนเรา แต่เดี๋ยวก่อนนะสิ่งที่คุณฟังมามันฟังดูขัดแย้งกับทฤษฎี butterfly effect หรือไม่มันเป็นไปได้หรอที่คนทั้งสองจักรวาลจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันเป๊ะๆเลย ทั้งๆที่ในทฤษฎี butterfly effect ที่ผมเล่าไปนั้น การตัดสินใจอะไรบางอย่างหรือมีเหตุกระตุ้นอะไรบางอย่างที่เป็นสาเหตุเพียงแค่นิดเดียว จะเปลี่ยนแปลงอนาคตไปอย่างมหาศาล ผมจะสมมุติเรื่องของเด็ก ม.6 คนนั้นอีก
สมมุติในจักรวาลนี้เขาเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายไปที่ร้านค้าและได้กลายเป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียน อีกจักรวาลหนึ่งเขาเลือกที่จะเลี้ยวขวาเข้าบ้านเลยเขาไม่ได้ไปเจอสติ๊กเกอร์สวยๆนั่นและสุดท้ายเขาก็ได้จบไปแล้วก็ทำงานเลยเหมือนที่เขาตั้งใจเอาไว้หลายปีผ่านไป
เด็กม 6 คนนั้น ทั้งสองจักรวาลเขามี อนาคตที่แตกต่างกันอย่างที่าิ้นเชิง คนนึงได้เป็นครูสอนลวงนักเรียน อีกคนนึงได้เป็นวัยรุ่นในวัยทำงาน อนาคตที่แตกต่างเกิดจากแค่เรื่องที่เลือกจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา นั่นแหละครับคือความแตกต่างของทางเลือกของบุคคลคนเดียวในทั้งสองจักรวาล พวกเขาเลือกทำอะไรแตกต่างกันแค่นิดเดียว มันก็จะส่งผลต่อไปในอนาคต และพวกเขาก็จะมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งไอคำว่า เราทำอะไรอยู่ตอนนี้ก็จะมีเราอีกตัวตนนึงในโลกคู่ขนานทำเหมือนเรา มันฟังดูขัดแย้งกับทฤษฎี butterfly effect ซะเหลือเกิน แล้วเราอย่าลืมว่าทั้งสองจักรวาลนั้น มีอารยธรรมที่ยาวนานมาหลายหมื่นปี เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ทั้งสองจักรวาลจะมีอนาคตที่แตกต่างกันเลยความเป็นจริงนั้น ในโลกนี้อาจจะมีเราแต่ในอีกโลกคู่ขนานโลกนึง อาจจะไม่มีเรา เราอาจไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ สิ่งทุกอย่างมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์อันยาวนาน ภาษา และชีวิตความเป็นอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ทั้งสองจักรวาลจะเหมือนกันได้นั้น นั่นก็เป็นเพราะมันมีอะไรบางอย่างที่ควบคุมให้ทั้งสองจักรวาลเป็นเหมือนกัน จะมีอะไรบางอย่างที่ล็อคเหตุการณ์เอาไว้ให้เหตุการณ์ทั้ง 2 จักรวาล เป็นไปเหมือนกัน จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นและไม่สามารถเลี่ยงได้ จะมีจุดตัดที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เพื่อให้ทั้งสองจักรวาล เป็นไปเหมือนกัน นี่คือทางเดียวที่จักรวาลทั้งสองจะเหมือนกันเพราะถ้าไม่มีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมอยู่มันก็ไม่มีทางที่ทั้งสองจักรวาลจะเหมือนกัน และคำถามต่อมาคืออะไรคือสิ่งที่ควบคุมเหตุการณ์ของทั้งสองจักรวาลเอาเอาไว้ เวลา หรือพระเจ้า ผู้สร้างพวกเรา หรืออะไรกันแน่ แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของพวกเราได้หรือไม่ เมื่อมันมีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เพื่อให้ทั้งสองจักรวาลเป็นไปเหมือนกัน คำว่าชีวิตของเราเราเลือกได้ มันจะเลือกได้จริงหรอ??? ในเมื่อมีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมหรือว่าล็อคเหตุการณ์เอาไว้แล้ว
(ขอย้ำ)เรื่องนี้เป็นแค่ทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมา แล้วทำมาพูดในมุมมองของคนที่เชื่อว่า โลกคู่ขนานมีจริง และเชื่อว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ในจักรวาลนี้ ในอีกจักรวาลก็จะมีเราที่ทำแบบเดียวกัน (ไม่เราจะเชื่อไม่เชื่อดูสมมุติว่าเราเชื่อะกันจะได้อ่านเข้าใจง่ายๆ ) คุณคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ อาจจะอธิบายยาวหน่อยกลัวคนไม่เข้าใจ😅😅
ทฤษฎีโลกคู่ขนานที่ถูกล็อคเหตุการณ์เอาไว้
แต่!! ผมจะขอเล่าอะไรอีกนิดนึง คุณรู้จักทฤษฎีbutterfly effect (บัตเตอร์ฟายเอฟเฟกต์ หรือ ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก)ไหม butterfly effect ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยจะมีผลต่ออนาคตมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นมีเด็กชายคนหนึ่งอายุ 18 กำลังเรียนอยู่ม 6 และไม่รู้ว่าตัวเองจะเรียนต่ออะไรก็เลยไม่คิดจะเรียนต่อแล้วก็ทำงานเลย แต่วันนึงเขากำลังเดินกลับบ้านจากโรงเรียน แล้วที่ซอยหน้าบ้านเขาจะมีทางแยกเป็น 2 ทาง เลี้ยวขวาคือทางไปบ้านเขาส่วนเลี้ยวซ้ายไปยังอีกทางมีร้านค้าอยู่ตรงนั้น ซึ่งเขาตัดสินใจเลือกไปทางซ้ายเพราะจะแวะซื้อขนมที่ร้านค้าหน่อย แต่บังเอิญวันนั้นทางร้านค้า เขาซื้อสติ๊กเกอร์มาติดประดับร้าน เขาเห็นสติ๊กเกอร์นั้นแล้วรู้สึกว่ามันสวยดี และเขาจ้องมองมันดีๆก็รู้สึกว่าสติ๊กเกอร์นั้นมันคือศิลปะชิ้นนึงที่สร้างสรรค์และสวยงาม เขาเลยคิดขึ้นได้ว่า เขาก็เป็นคนที่ชื่นชอบผลงานที่เกี่ยวกับศิลปะสุดท้ายจากที่เขาตัดสินใจว่าจบม. 6 แล้วจะทำงานเลยเขาเลยเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัย ในสาขาศิลปะศึกษา
และหลังจากเวลาผ่านมาหลายปีเขาเขาได้เรียนจบในสาขาศิลปะศึกษาและได้เป็นครูสอนในโรงเรียน
เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตเพราะการตัดสินใจจากที่จะได้จบม. 6 มาทำงานเลย กลับกลายได้เรียนมหาลัยและจบมาเป็นครูสอนนักเรียน สิ่งนี้มันเกิดขึ้นจากอะไร มันเกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจวันนั้น ว่าจะเลือกกลับบ้านเลยหรือไปร้านค้า เหตุมันก็เกิดขึ้นมาจากที่เขาเลือกว่าจะเลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้ายดีมันแค่นั้นเลย การเลือกอะไรบางอย่างเล็กๆน้อยๆจะมีผลต่ออนาคตอย่างมหาศาล นี่ผมไม่ได้เล่าเรื่องชีวิตใครให้คุณฟัง แต่กำลังอธิบายทฤษฎี butterfly effect ให้คุณฟังอย่างละเอียด
ซึ่งเรามาย้อนกลับไปเรื่องรูปคู่ขนานที่ ที่ผมเล่าไปเมื่อกี้ว่าถ้าหากเราทำอะไรสักอย่างอยู่ในจักรวาลนี้ จะมีเราอีกตัวตนในจักรวาลคู่ขนานที่ทำทุกอย่างเหมือนเรา แต่เดี๋ยวก่อนนะสิ่งที่คุณฟังมามันฟังดูขัดแย้งกับทฤษฎี butterfly effect หรือไม่มันเป็นไปได้หรอที่คนทั้งสองจักรวาลจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกันเป๊ะๆเลย ทั้งๆที่ในทฤษฎี butterfly effect ที่ผมเล่าไปนั้น การตัดสินใจอะไรบางอย่างหรือมีเหตุกระตุ้นอะไรบางอย่างที่เป็นสาเหตุเพียงแค่นิดเดียว จะเปลี่ยนแปลงอนาคตไปอย่างมหาศาล ผมจะสมมุติเรื่องของเด็ก ม.6 คนนั้นอีก
สมมุติในจักรวาลนี้เขาเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายไปที่ร้านค้าและได้กลายเป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียน อีกจักรวาลหนึ่งเขาเลือกที่จะเลี้ยวขวาเข้าบ้านเลยเขาไม่ได้ไปเจอสติ๊กเกอร์สวยๆนั่นและสุดท้ายเขาก็ได้จบไปแล้วก็ทำงานเลยเหมือนที่เขาตั้งใจเอาไว้หลายปีผ่านไป
เด็กม 6 คนนั้น ทั้งสองจักรวาลเขามี อนาคตที่แตกต่างกันอย่างที่าิ้นเชิง คนนึงได้เป็นครูสอนลวงนักเรียน อีกคนนึงได้เป็นวัยรุ่นในวัยทำงาน อนาคตที่แตกต่างเกิดจากแค่เรื่องที่เลือกจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา นั่นแหละครับคือความแตกต่างของทางเลือกของบุคคลคนเดียวในทั้งสองจักรวาล พวกเขาเลือกทำอะไรแตกต่างกันแค่นิดเดียว มันก็จะส่งผลต่อไปในอนาคต และพวกเขาก็จะมีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งไอคำว่า เราทำอะไรอยู่ตอนนี้ก็จะมีเราอีกตัวตนนึงในโลกคู่ขนานทำเหมือนเรา มันฟังดูขัดแย้งกับทฤษฎี butterfly effect ซะเหลือเกิน แล้วเราอย่าลืมว่าทั้งสองจักรวาลนั้น มีอารยธรรมที่ยาวนานมาหลายหมื่นปี เพราะฉะนั้นอย่าว่าแต่ทั้งสองจักรวาลจะมีอนาคตที่แตกต่างกันเลยความเป็นจริงนั้น ในโลกนี้อาจจะมีเราแต่ในอีกโลกคู่ขนานโลกนึง อาจจะไม่มีเรา เราอาจไม่มีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำ สิ่งทุกอย่างมันจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือประวัติศาสตร์อันยาวนาน ภาษา และชีวิตความเป็นอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ทั้งสองจักรวาลจะเหมือนกันได้นั้น นั่นก็เป็นเพราะมันมีอะไรบางอย่างที่ควบคุมให้ทั้งสองจักรวาลเป็นเหมือนกัน จะมีอะไรบางอย่างที่ล็อคเหตุการณ์เอาไว้ให้เหตุการณ์ทั้ง 2 จักรวาล เป็นไปเหมือนกัน จะมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นและไม่สามารถเลี่ยงได้ จะมีจุดตัดที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ เพื่อให้ทั้งสองจักรวาล เป็นไปเหมือนกัน นี่คือทางเดียวที่จักรวาลทั้งสองจะเหมือนกันเพราะถ้าไม่มีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมอยู่มันก็ไม่มีทางที่ทั้งสองจักรวาลจะเหมือนกัน และคำถามต่อมาคืออะไรคือสิ่งที่ควบคุมเหตุการณ์ของทั้งสองจักรวาลเอาเอาไว้ เวลา หรือพระเจ้า ผู้สร้างพวกเรา หรืออะไรกันแน่ แล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของพวกเราได้หรือไม่ เมื่อมันมีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เพื่อให้ทั้งสองจักรวาลเป็นไปเหมือนกัน คำว่าชีวิตของเราเราเลือกได้ มันจะเลือกได้จริงหรอ??? ในเมื่อมีอะไรบางอย่างที่คอยควบคุมหรือว่าล็อคเหตุการณ์เอาไว้แล้ว
(ขอย้ำ)เรื่องนี้เป็นแค่ทฤษฎีที่ผมคิดขึ้นมา แล้วทำมาพูดในมุมมองของคนที่เชื่อว่า โลกคู่ขนานมีจริง และเชื่อว่าไม่ว่าเราจะทำอะไรอยู่ในจักรวาลนี้ ในอีกจักรวาลก็จะมีเราที่ทำแบบเดียวกัน (ไม่เราจะเชื่อไม่เชื่อดูสมมุติว่าเราเชื่อะกันจะได้อ่านเข้าใจง่ายๆ ) คุณคิดเห็นยังไงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้ สามารถเข้ามาพูดคุยกันได้ อาจจะอธิบายยาวหน่อยกลัวคนไม่เข้าใจ😅😅