ทฤษฎีปีกผีเสื้อขยับมีจริงหรือไม่ (butterfly effect )

มันคือการเเก้ไขอดีตเเล้วส่งผลต่ออนาคตเเบบไม่รู้จบหรอครับทำไมอ่ะครับการเเก้ไขสิ่งเล็กๆทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้เลยหรอครับยกตัวอย่างเเละอธิบายให้พอเข้าใจทีครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
เรื่อง butterfly effect เค้าเปรียบเทียบว่าพายุที่เกิดขึ้น จริงๆมันเกิดได้ทั้งจากการเคลื่อนที่ของอากาศมากๆ หรือเล็กๆน้อยๆ ซึ่งการกระพือปีกของผีเสื้อก็ทำให้เกิดพายุได้ (แต่จริงๆอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ คนเดินก็ได้ อะไรก็ได้)
แต่การเคลื่อนที่ของอากาศเป็นล้านๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆครั้งที่เกิดขึ้นบนโลกในทุกวินาทีนั้น มันมีครั้งนึง ที่ผลิกผันต่อยอดกลายเป็นพายุได้ แม้จะเป็นเพียงแค่การกระพือปีกของผีเสื้อก็ตาม ... เค้าเลยตั้งชื่อว่า butterfly effect เพื่อให้เห็นภาพครับ
... ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งที่ผีเสื้อกระพือปีกทำให้เกิดพายุ หรือการเคลื่อนที่ที่แรงกว่าการกระพือปีกของผีเสื้อจะไม่เกิดพายุ ทุกอย่างเป็นจุดเริ่มต้นได้หมดครับ
ความคิดเห็นที่ 18
อันเนื่องมาจากนักอุตุนิยมวิทยาท่านนึงคิดไว้ค่ะ เค้าศึกษาเกี่ยวกับการแปรผันของสภาพอากาศ พยายามหาแบบรูปการเกิด อะไรประมาณนั้นโดยศึกษาผ่านการใช้คณิตศาสตร์

เค้าบอกว่าทุกอย่างบนโลกเปลี่ยนอย่างสะเปะสะปะ อย่างมีทิศทาง มีแพทเทิร์น อะไรประมาณนี้ค่ะ เรียกทฤษฎีอลวน
โดยสามารถแทนเข้าไปในสูตรทางคณิตศาสตร์ได้เลย

และเค้าศึกษาทฤษฎีเช่นนี้โดยเก็บตัวอย่างเป็นล้านๆครั้งมาทำเป็นกราฟ

ซึ่งได้กราฟออกมาเป็นรูปนี้ค่ะ


เค้าเห็นว่ากราฟมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ เลยตั้งชื่อทฤษฎีนี้ว่า butterfly effect ค่ะ

นี่คือที่มาของชื่อทฤษฎีนะคะ

ส่วนบทความประมาณที่คห.7พูดก็เช่นกันค่ะ
แต่เป็นบทความที่เค้าได้นำไปพูดในงานเสนอทฤษฎีมากกว่าเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ

แต่ชื่อทฤษฎีจริงๆมาจากภาพกราฟค่ะ

สนใจสามารถศึกษาต่อได้นะคะ
ค้นหาคำว่า ทฤษฎีอลวน ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 15
ถ้าถามว่าทฤษฎีปีกผีเสื้อขยับมีจริงหรือไม่?

มีจริงครับ เพราะ การเปลี่ยนแปลงอะไรเพียงเล็กน้อยก็ทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงได้อยู่แล้ว
สมมุติว่า...
เหตุการณ์ที่1 คุณใส่เสื้อแมนยูไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามคุณวันนั้นอาจเป็นแฟนแมนยูแล้วเข้ามาทักคุณ ท้ายที่สุด แต่งงานอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข และการที่คุณแต่งงานอาจมีลูกเป็นมหาเศรษฐีนักธุรกิจพันล้าน มีบ้านหลังใหญ่โตเป็นสิบๆล้าน
เหตุการณ์ที่2 คุณใส่เสื้อธรรมดาๆไปกินข้าวที่ร้านอาหาร ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษในวันนั้น คุณยังใช้ชีวิตโสดต่อไป จนวันนึงคุณรู้สึกปลงและไปบวช ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขศึกษาพระธรรมอยู่ในวัด

เหตุการณ์ทั้งสองนี้ต่างกันแค่การเลือกเสื้อใส่ของคุณในวันนั้นเอง

แต่หลักๆคือ เราไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ของอีกเส้นเวลานึงได้ครับ เพราะเราย้อนเวลาไปดูหรือทดสอบไม่ได้
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าถ้าตอนนั้น ทำแบบนั้น จะออกมาเป็นแบบไหน

และต่อให้การย้อนเวลาเปลี่ยนแปลงอดีตสามารถทำได้จริง เราไม่สามารถรับรู้ได้ครับ เพราะเส้นเวลาที่เราอยู่นี้ คือเส้นเวลาสุดท้ายที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

เห็นTAG About Time ลองนึกภาพคนที่พระเอกสารภาพรักคนแรกอะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ถ้าเขียนงงก็ขออภัยด้วย =.=
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่