โชห่วยโอด น้ำมันปาล์ม ปรับราคาขึ้นเท่าตัว ยังไม่รู้สาเหตุ ล่าสุดขายปลีกพุ่งขวดละ 65 บาทแล้ว.
https://www.matichon.co.th/economy/news_5050569
โชห่วยโอด น้ำมันปาล์ม ปรับราคาขึ้นเท่าตัว ยังไม่รู้สาเหตุ ล่าสุดขายปลีกพุ่งขวดละ 65 บาทแล้ว
น้ำมันปาล์ม – วันที่ 15 กุมภาพันธ์ นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ร้านค้ากำลังเดือดร้อนกับต้นทุนการขายน้ำมันพืชปาล์ม ที่ผู้ผลิตมีการปรับราคาขายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับจากเดือนพฤศจิกายน 2567ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ปรับราคาขึ้นมาแล้วประมาณ 100% หรือเท่าตัว จากลังละ 400 กว่าบาท(จำนวน 12 ขวด ขนาด 1 ลิตร) ล่าสุดอยู่ที่ 720 บาท โดยราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 60 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกอยู่ที่ 65 บาทต่อขวด
“
เมื่อราคาต้นทุนมาแพง ทำให้ร้านค้าก็ต้องขายแพงตามไปด้วย ทำให้ขายยาก และมีกำไรน้อย ขณะเดียวกันทางโรงงานที่ผลิตไม่รับออร์เดอร์ ทำให้ของเริ่มขาดตลาด อยากให้ภาครัฐช่วยดูว่าปัญหาเกิดจากอะไรและจะสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง“ นาย
สมชายกล่าว
ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย
https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
‘
เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย
จริงๆ แล้ว ‘เ
ศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน
แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘
เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘
เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม
ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม
แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย
โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว
จยย.บอมบ์ 50 โล อานุภาพทำลายร้างสูง พังยับรัศมี 100 เมตร เจ็บ 13 ราย
https://www.dailynews.co.th/news/4400300/
โจรใต้ จยย.บอมบ์หนัก 50 โล ข้างกำแพงรั้ว อส.แว้ง เจ็บ 13 ราย ยังนอนโรงพยาบาล วงจรปิดจับภาพ 2 คนร้าย เตรียมไล่กล้องควานหาตัวมาดำเนินคดี
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 ก.พ. 68 พ.ต.อ.
เฮรามาน เจ๊ะดี ผกก.สภ.แว้ง จ.นราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้แลทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางมาตรวจสอบเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด รถ จยย.บอมบ์แบบพวงข้าง ที่บริเวณกำแพงรั้วของโรงนอนกองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.แว้งที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราษฏร์บำรุง หมู่ 2 ต.แว้ง ทำให้มีเจ้าหน้าที่ อส.และประชาชนได้รับบาดเจ็บรวม 25 ราย เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.05 น.ของคืนวันที่ 14 ก.พ.68 ที่ผ่านมา
ที่เกิดเหตุ พบกำแพงรั้วของโรงนอนกองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.แว้ง ถูกอนุภาพของระเบิดทำให้กำแพงรั้วที่ก่อสร้างด้วยปูนซิเมนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 ล็อก หรือยาว 10 เมตร นอกจากนี้ที่บริเวณอาคารของโรงนอนยังถูกอนุภาพของระเบิด ทำให้ฝาผนังอาคารถูกสเก็ดระเบิดเป็นรูพรุน มีหน้าต่างได้รับความเสียหาย 7 บาน หลังคาและกันสาดถูกอนุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายเกือบทั้งแถบ
นอกจากนี้โครงสร้างของหลังคาซึ่งเป็นเหล็กก็ยังถูกอนุภาพของระเบิดหักงอ และร่วงลงมาที่บริเวณโรงนอน โดยเฉพาะที่บริเวณใต้ถุนของโรงนอน ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างใช้สำหรับจอดรถยนต์และรถ จยย.ของ อส. ถูกอนุภาพของระเบิดมีรถ จยย.ได้รับความเสียหาย จำนวน 11 คัน ซึ่งส่วนตัวถูกสะก็ดระเบิดที่บริเวณตัวถัง
ส่วนบริเวณบนถนนราษฎร์บำรุง ซึ่งคนร้ายได้จอดรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง มีร่องรอยของเศษซากกำแพงรั้ว และเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่อง ที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม ขนาดถังบรรจุ 15 ก.ก. หนัก 50 ก.ก. แต่ไม่พบตัวจุดชนวนระเบิด ได้ตกกระจายคลุกเคล้าเกลื่อนทั่วบริเวณ แทบไม่เห็นชิ้นส่วนของรถ จยย.แบบพวงข้างและถังแก็สที่ใช้เป็นภาชนะบรรจุ เนื่องจากระเบิดแสวงเครื่องทำงานสมบูรณ์ ทำให้สะเก็ดระเบิดได้กระจายไปไกลในรัศมี 100 เมตร
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณห้องสมุดประชาชน ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามฟากถนนกับจุดเกิดเหตุ ภายในสวนสาธารณะเทศบาลตำบลแว้ง ทำให้ห้องศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ อ.แว้ง ถูกอนุภาพของระเบิดจนฝาเพดานภายในห้องถล่มลงมา แถมกระจกหน้าต่างทั้งด้านหน้าและด้านข้าง จำนวน 24 บาน แตกเสียหาย และบริเวณกระเบื้องมุงหลังคาบางส่วน ส่วนที่บริเวณลานหน้าสนามของหน้าอาคารห้องสมุดประชาชน เจ้าหน้าที่พบเศษซากชิ้นส่วนของรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง ตกกระจายเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเศษเหล็กเส้นตัดสั้น ที่คนร้ายใช้เป็นสะเก็ดระเบิดตกอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังพบว่า มีบ้านเรือนและร้านค้าของประชาชน ที่ปลูกสร้างอยู่บริเวณฝั่งตรงกันข้ามกับห้องสมุดประชาชน ยังถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายอีก จำนวนกว่า 10 หลัง ซึ่งส่วนใหญ่กระจกหน้าต่างแตกเสียหาย ฝาเพดานของกันสาดถูกสะเก็ดระเบิดเป็นรูพรุน โดยแต่ละหลังมีเศษซากชิ้นส่วนของสะเก็ดระเบิดเป็นเหล็กเส้นตัดสั้น แลบะชิ้นส่วนของรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้างตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 25 ราย เมื่อแพทย์ทำการปฐมพยาบาลแล้วเสร็จ อนุญาตให้กลับบ้านพัก และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแว้ง เพียง
จำนวน 13 ราย ประกอบด้วย อส. 3 นาย ประชาชน 10 ราย คือ
1. อส.อ.
มูฮำหมัดดาเนียล รุสมาน อายุ 26 ปี มีแผลฉีดขาดบริเวณหัวไหล่ข้างซ้าย และมีแผลฟกช้ำบริเวณใต้ซี่โครง
2. อส.อ.
อาญัน อาแว อายุ 54 ปี มีแผลฉีดขาดบริเวณท้อง และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก
3. อส.อ.
มาฮูเซ็ง การียา อายุ 43 ปี มีแผลบริเวณหน้าท้องข้างขวา และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก
ส่วนประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย คือ 1. นาย
อัสมัน เปาะซา อายุ 55 ปี มีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้เท้าข้างขวา 2. นาย
ปฐวี สุวรรณชัยเลิศ อายุ 32 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 3. นาง
วีณา สุวรรณชัยเลิศ อายุ 53 ปี มีแผลบริเวณนิ้วข้างซ้าย และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 4. นาง
ปราณี จันทร์เพ็ชร อายุ 62 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 5. นาง
ซีตีบีเดาะ เลาะอูมา อายุ 45 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 6.นาย
อัยมาน เจ๊ะมิง อายุ 20 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 7. นาย
ไซฟูล บูละ มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก และมีรอยฟกช้ำบริเวณใบหน้าข้างขวา 8. นาย
อภิสิทธิ์ มโนอารมณ์ อายุ 54 ปี มีอาการหูอื้อ แน่นหน้าอก 9. น.ส.
โซเฟีย เจะเตะ อายุ 30 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 10. ดช.
สุครัน เงาะ อายุ 8 ปี มีอาการหูอื้อ แน่นหน้าอก
จากการสอบสวนเบื้องต้นและเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บรเสาเสาไฟฟ้า ข้างกำแพงรั้วของที่ว่าการอำเภอแว้ง จำนวน 2 จุด ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้าย จำนวน 2 คน โดยขี่รถ จยย.นำหน้า 1 คัน คนร้ายคนที่ 2 ได้ขี่รถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้างไล่หลังมา เมื่อถึงเป้าคนร้ายที่ขี่รถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง ได้จอดรถไว้ข้างกำแพงรั้วของโรงนอน แล้วรีบวิ่งขึ้นไปซ้อนท้ายรถ จยย.ของเพื่อนที่ขี่นำหน้า ก่อนที่คนขับรถ จยย.จะขี่รถ จยย.วกกลับไปทางเดิมโดยมุงหน้าไปถนนเส้นทางสู่ อ.สุคิริน และให้หลังประมาณ 5 นาที จึงเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ อส.และประชาชนได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งกำแพงรั้ว อาคารโรงนอน อาคารห้องสมุดประชาชน บ้านเรือนและร้านค้ารวมถึงรถยนต์ของประชาชนได้รับความเสียหาย 1 คัน ที่อยู่ในรัศมี 100 เมตร
นอกจากนี้นาย
สุนทร จอมเมือง นายอำภอแว้ง ได้จัดข้าราชการและบุคลากรเจ้าหน้าที่เยียวยา อ.แว้ง มาตั้งโต๊ะให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดดังกล่าว ได้เดินทางมาแจ้งความเสียหาย เพื่อประสงค์ที่ขอรับเงินชดเชยความเสียหายของทรัพย์สิน
ด้าน นาง
มณี หะมิ 1 ในผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้เล่าถึงเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้ว่า ตอนที่ระเบิดนั้นได้ทำธุระอยู่ในบ้าน และออกมาเพื่อที่จะปิดประตูบ้าน ซึ่งพอปิดประตูเสร็จแล้ว สามีก็ได้หันหน้าไปทางบ้านพัก อส.เตรียมที่จะขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน แล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้นพอดี แล้วเราสองคนก็ล้ม สามีก็ล้มก้นกระแทกกับประตู พอสักพักนึงเหตุการณ์สงบลง ก็เลยรีบเข้าบ้านและปิดประตู แล้วเห็นคนเดินมาหน้าร้านเลยแอบดูที่ประตูมีคนมาถ่ายวิดีโออยู่ จากนั้นก็เลยออกมาดูรถปรากฏว่ารถโดนสะเก็ดระเบิด โดนที่ประตูทั้งสองข้างเป็นรูใหญ่มาก ประตูบ้านก็พัง โดยเสียงระเบิดได้ยินนั้นเสียงดังมากสะเทือนไปหมด
ด้าน พ.ต.อ.
เฮรามาน เจ๊ะดี ผกก.สภ.แว้ง กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้า และสามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้าย 2 คน ที่ร่วมกันลอบวางระเบิดในครั้งนี้ได้ เราก็จะมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจุดอื่นๆที่ติดตั้งไว้บนถนนทุกสายใน 3 มุมเมือง ที่มุงหน้าสู่จุดเกิดเหตุทั้งขาไปและขากลับหลังจากวางรระเบิดแล้วเสร็จ เพราะเชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ หลังจากวางระเบิดแล้วเสร็จอาจจะหลบหนีไปอาศัยกบดานที่บ้านพักหลังใดหลังหนึ่ง ของสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.แว้ง
JJNY : โชห่วยโอด น้ำมันปาล์มขึ้นเท่าตัว│ไทยมี‘ศก.นอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8│จยย.บอมบ์ 50 โล│ขู่ส่งทหารไปยูเครน-คว่ำบาตร
https://www.matichon.co.th/economy/news_5050569
น้ำมันปาล์ม – วันที่ 15 กุมภาพันธ์ นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ร้านค้ากำลังเดือดร้อนกับต้นทุนการขายน้ำมันพืชปาล์ม ที่ผู้ผลิตมีการปรับราคาขายขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นับจากเดือนพฤศจิกายน 2567ถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ปรับราคาขึ้นมาแล้วประมาณ 100% หรือเท่าตัว จากลังละ 400 กว่าบาท(จำนวน 12 ขวด ขนาด 1 ลิตร) ล่าสุดอยู่ที่ 720 บาท โดยราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 60 บาท ขณะที่ราคาขายปลีกอยู่ที่ 65 บาทต่อขวด
“เมื่อราคาต้นทุนมาแพง ทำให้ร้านค้าก็ต้องขายแพงตามไปด้วย ทำให้ขายยาก และมีกำไรน้อย ขณะเดียวกันทางโรงงานที่ผลิตไม่รับออร์เดอร์ ทำให้ของเริ่มขาดตลาด อยากให้ภาครัฐช่วยดูว่าปัญหาเกิดจากอะไรและจะสามารถแก้ไขอย่างไรได้บ้าง“ นายสมชายกล่าว
ไทยมี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก คิดเป็นราว 45% ของ GDP ไทย
https://brandinside.asia/thailand-informal-economy-rank-8-in-the-world/
รู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนเศรษฐกิจกับ GDP ประเทศ ข้อมูลจาก KKP Research บอกว่า ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ของไทยมีขนาดใหญ่ประมาณ 45% ของ GDP ประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก
‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมไปถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ผิดกฎหมายด้วย ส่วนใหญ่มักไม่ได้มีการเสียภาษี ไม่ต้องมีการบันทึกบัญชี ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน ทำให้แรงงานมักไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายและไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ได้ด้วย
จริงๆ แล้ว ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ เป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ และมีความสำคัญกับประเทศกำลังพัฒนา เพราะสามารถช่วยสร้างงาน-สร้างรายได้ ช่วยให้การเริ่มธุรกิจง่ายและยืดหยุ่นกว่า ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจนอกระบบใกล้ตัวก็อย่างเช่นการทำเกษตร หาบเร่ แผงลอย ไปจนถึงการทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ในครอบครัวหรือมีจำนวนลูกจ้างไม่กี่คน
แต่ปัญหาที่เกิดจาก ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ก็มีมากมาย ทั้งเพิ่มโอกาสให้แรงงานถูกเอารัดเอาเปรียบ ธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก ธุรกิจที่อยู่ในระบบถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเก็บภาษีได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือหนักๆ อาจกลายเป็นต้นตอของการทุจริตคอร์รัปชัน และในบางกรณีที่เป็นธุรกิจผิดกฎหมายก็อาจจะนำไปสู่การฟอกเงินหรืออาชญากรรมอื่นๆ ขึ้นมาอีก
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับขนาดของ ‘เศรษฐกิจนอกระบบ’ ในแต่ละประเทศด้วยว่าเหมาะสมไหม
ถ้าดูจากสถิติจะเห็นว่าประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีเศรษฐกิจนอกระบบในสัดส่วนที่ต่ำมาก เพราะสามารถเคลื่อนย้ายเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาไว้ในระบบได้สำเร็จ ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของคนในชาติโดยรวม
แต่อย่างประเทศไทยที่มีเศรษฐกิจนอกระบบมากราวๆ 45% ของ GDP เป็นอันดับ 8 ของโลกนั้น ถือว่ามีเศรษฐกิจนอกระบบใหญ่มาก สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก และสูงกว่าเกือบทุกประเทศในเอเชีย
โดยเมื่อคำนวณจาก GDP ไทยที่มีมูลค่าราวๆ 18 ล้านล้านบาทแล้ว จะพบว่าเศรษฐกิจนอกระบบไทยน่าจะมีมูลค่ามากถึง 8.1 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว
ขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่เกินไป นำมาสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจในไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดจากแรงงานนอกระบบที่มีมากถึง 50% ของแรงงานทั้งหมดไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้จน นำไปสู่การกู้นอกระบบสร้างวรจรหนี้ไม่รู้จบ ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ
หรือปัญหาหลีกเลี่ยงภาษีของธุรกิจมากกว่า 2.4 ล้านรายในไทย ที่ทำให้รัฐเสียรายได้ภาษีจำนวนมหาศาล ขณะที่ธุรกิจเองก็เข้าถึงแหล่งเงินทุนไม่ได้เช่นกัน ข้อเสนอของภาคธุรกิจในระยะหลังจึงอยากให้รัฐบาลไทยนำเศรษฐกิจนอกระบบเข้ามาในระบบด้วยนโยบายที่เหมาะสมโดยเร็ว
จยย.บอมบ์ 50 โล อานุภาพทำลายร้างสูง พังยับรัศมี 100 เมตร เจ็บ 13 ราย
https://www.dailynews.co.th/news/4400300/
โจรใต้ จยย.บอมบ์หนัก 50 โล ข้างกำแพงรั้ว อส.แว้ง เจ็บ 13 ราย ยังนอนโรงพยาบาล วงจรปิดจับภาพ 2 คนร้าย เตรียมไล่กล้องควานหาตัวมาดำเนินคดี
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 ก.พ. 68 พ.ต.อ.เฮรามาน เจ๊ะดี ผกก.สภ.แว้ง จ.นราธิวาส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้แลทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมเดินทางมาตรวจสอบเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด รถ จยย.บอมบ์แบบพวงข้าง ที่บริเวณกำแพงรั้วของโรงนอนกองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.แว้งที่ 3 ซึ่งตั้งอยู่บนถนนราษฏร์บำรุง หมู่ 2 ต.แว้ง ทำให้มีเจ้าหน้าที่ อส.และประชาชนได้รับบาดเจ็บรวม 25 ราย เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.05 น.ของคืนวันที่ 14 ก.พ.68 ที่ผ่านมา
ที่เกิดเหตุ พบกำแพงรั้วของโรงนอนกองร้อยอาสารักษาดินแดน อ.แว้ง ถูกอนุภาพของระเบิดทำให้กำแพงรั้วที่ก่อสร้างด้วยปูนซิเมนต์ได้รับความเสียหาย จำนวน 2 ล็อก หรือยาว 10 เมตร นอกจากนี้ที่บริเวณอาคารของโรงนอนยังถูกอนุภาพของระเบิด ทำให้ฝาผนังอาคารถูกสเก็ดระเบิดเป็นรูพรุน มีหน้าต่างได้รับความเสียหาย 7 บาน หลังคาและกันสาดถูกอนุภาพของระเบิดได้รับความเสียหายเกือบทั้งแถบ
นอกจากนี้โครงสร้างของหลังคาซึ่งเป็นเหล็กก็ยังถูกอนุภาพของระเบิดหักงอ และร่วงลงมาที่บริเวณโรงนอน โดยเฉพาะที่บริเวณใต้ถุนของโรงนอน ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างใช้สำหรับจอดรถยนต์และรถ จยย.ของ อส. ถูกอนุภาพของระเบิดมีรถ จยย.ได้รับความเสียหาย จำนวน 11 คัน ซึ่งส่วนตัวถูกสะก็ดระเบิดที่บริเวณตัวถัง
ส่วนบริเวณบนถนนราษฎร์บำรุง ซึ่งคนร้ายได้จอดรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง มีร่องรอยของเศษซากกำแพงรั้ว และเศษซากชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่อง ที่คนร้ายประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม ขนาดถังบรรจุ 15 ก.ก. หนัก 50 ก.ก. แต่ไม่พบตัวจุดชนวนระเบิด ได้ตกกระจายคลุกเคล้าเกลื่อนทั่วบริเวณ แทบไม่เห็นชิ้นส่วนของรถ จยย.แบบพวงข้างและถังแก็สที่ใช้เป็นภาชนะบรรจุ เนื่องจากระเบิดแสวงเครื่องทำงานสมบูรณ์ ทำให้สะเก็ดระเบิดได้กระจายไปไกลในรัศมี 100 เมตร
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณห้องสมุดประชาชน ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามฟากถนนกับจุดเกิดเหตุ ภายในสวนสาธารณะเทศบาลตำบลแว้ง ทำให้ห้องศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ อ.แว้ง ถูกอนุภาพของระเบิดจนฝาเพดานภายในห้องถล่มลงมา แถมกระจกหน้าต่างทั้งด้านหน้าและด้านข้าง จำนวน 24 บาน แตกเสียหาย และบริเวณกระเบื้องมุงหลังคาบางส่วน ส่วนที่บริเวณลานหน้าสนามของหน้าอาคารห้องสมุดประชาชน เจ้าหน้าที่พบเศษซากชิ้นส่วนของรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง ตกกระจายเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก รวมทั้งเศษเหล็กเส้นตัดสั้น ที่คนร้ายใช้เป็นสะเก็ดระเบิดตกอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังพบว่า มีบ้านเรือนและร้านค้าของประชาชน ที่ปลูกสร้างอยู่บริเวณฝั่งตรงกันข้ามกับห้องสมุดประชาชน ยังถูกสะเก็ดระเบิดได้รับความเสียหายอีก จำนวนกว่า 10 หลัง ซึ่งส่วนใหญ่กระจกหน้าต่างแตกเสียหาย ฝาเพดานของกันสาดถูกสะเก็ดระเบิดเป็นรูพรุน โดยแต่ละหลังมีเศษซากชิ้นส่วนของสะเก็ดระเบิดเป็นเหล็กเส้นตัดสั้น แลบะชิ้นส่วนของรถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้างตกอยู่ เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 25 ราย เมื่อแพทย์ทำการปฐมพยาบาลแล้วเสร็จ อนุญาตให้กลับบ้านพัก และนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแว้ง เพียง
จำนวน 13 ราย ประกอบด้วย อส. 3 นาย ประชาชน 10 ราย คือ
1. อส.อ.มูฮำหมัดดาเนียล รุสมาน อายุ 26 ปี มีแผลฉีดขาดบริเวณหัวไหล่ข้างซ้าย และมีแผลฟกช้ำบริเวณใต้ซี่โครง
2. อส.อ.อาญัน อาแว อายุ 54 ปี มีแผลฉีดขาดบริเวณท้อง และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก
3. อส.อ.มาฮูเซ็ง การียา อายุ 43 ปี มีแผลบริเวณหน้าท้องข้างขวา และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก
ส่วนประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ 10 ราย คือ 1. นายอัสมัน เปาะซา อายุ 55 ปี มีบาดแผลจากสะเก็ดระเบิดบริเวณใต้เท้าข้างขวา 2. นายปฐวี สุวรรณชัยเลิศ อายุ 32 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 3. นางวีณา สุวรรณชัยเลิศ อายุ 53 ปี มีแผลบริเวณนิ้วข้างซ้าย และมีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 4. นางปราณี จันทร์เพ็ชร อายุ 62 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 5. นางซีตีบีเดาะ เลาะอูมา อายุ 45 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 6.นายอัยมาน เจ๊ะมิง อายุ 20 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 7. นายไซฟูล บูละ มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก และมีรอยฟกช้ำบริเวณใบหน้าข้างขวา 8. นายอภิสิทธิ์ มโนอารมณ์ อายุ 54 ปี มีอาการหูอื้อ แน่นหน้าอก 9. น.ส.โซเฟีย เจะเตะ อายุ 30 ปี มีอาการหูอื้อแน่นหน้าอก 10. ดช.สุครัน เงาะ อายุ 8 ปี มีอาการหูอื้อ แน่นหน้าอก
จากการสอบสวนเบื้องต้นและเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บรเสาเสาไฟฟ้า ข้างกำแพงรั้วของที่ว่าการอำเภอแว้ง จำนวน 2 จุด ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีคนร้าย จำนวน 2 คน โดยขี่รถ จยย.นำหน้า 1 คัน คนร้ายคนที่ 2 ได้ขี่รถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้างไล่หลังมา เมื่อถึงเป้าคนร้ายที่ขี่รถ จยย.คาร์บอมบ์แบบพวงข้าง ได้จอดรถไว้ข้างกำแพงรั้วของโรงนอน แล้วรีบวิ่งขึ้นไปซ้อนท้ายรถ จยย.ของเพื่อนที่ขี่นำหน้า ก่อนที่คนขับรถ จยย.จะขี่รถ จยย.วกกลับไปทางเดิมโดยมุงหน้าไปถนนเส้นทางสู่ อ.สุคิริน และให้หลังประมาณ 5 นาที จึงเกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทำให้ อส.และประชาชนได้รับบาดเจ็บ รวมทั้งกำแพงรั้ว อาคารโรงนอน อาคารห้องสมุดประชาชน บ้านเรือนและร้านค้ารวมถึงรถยนต์ของประชาชนได้รับความเสียหาย 1 คัน ที่อยู่ในรัศมี 100 เมตร
นอกจากนี้นายสุนทร จอมเมือง นายอำภอแว้ง ได้จัดข้าราชการและบุคลากรเจ้าหน้าที่เยียวยา อ.แว้ง มาตั้งโต๊ะให้บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิดดังกล่าว ได้เดินทางมาแจ้งความเสียหาย เพื่อประสงค์ที่ขอรับเงินชดเชยความเสียหายของทรัพย์สิน
ด้าน นางมณี หะมิ 1 ในผู้ที่อยู่ในที่เกิดเหตุได้เล่าถึงเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้ว่า ตอนที่ระเบิดนั้นได้ทำธุระอยู่ในบ้าน และออกมาเพื่อที่จะปิดประตูบ้าน ซึ่งพอปิดประตูเสร็จแล้ว สามีก็ได้หันหน้าไปทางบ้านพัก อส.เตรียมที่จะขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน แล้วเสียงระเบิดก็ดังขึ้นพอดี แล้วเราสองคนก็ล้ม สามีก็ล้มก้นกระแทกกับประตู พอสักพักนึงเหตุการณ์สงบลง ก็เลยรีบเข้าบ้านและปิดประตู แล้วเห็นคนเดินมาหน้าร้านเลยแอบดูที่ประตูมีคนมาถ่ายวิดีโออยู่ จากนั้นก็เลยออกมาดูรถปรากฏว่ารถโดนสะเก็ดระเบิด โดนที่ประตูทั้งสองข้างเป็นรูใหญ่มาก ประตูบ้านก็พัง โดยเสียงระเบิดได้ยินนั้นเสียงดังมากสะเทือนไปหมด
ด้าน พ.ต.อ.เฮรามาน เจ๊ะดี ผกก.สภ.แว้ง กล่าวว่า หลังจากตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้บนเสาไฟฟ้า และสามารถบันทึกพฤติกรรมของคนร้าย 2 คน ที่ร่วมกันลอบวางระเบิดในครั้งนี้ได้ เราก็จะมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจุดอื่นๆที่ติดตั้งไว้บนถนนทุกสายใน 3 มุมเมือง ที่มุงหน้าสู่จุดเกิดเหตุทั้งขาไปและขากลับหลังจากวางรระเบิดแล้วเสร็จ เพราะเชื่อว่าคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ หลังจากวางระเบิดแล้วเสร็จอาจจะหลบหนีไปอาศัยกบดานที่บ้านพักหลังใดหลังหนึ่ง ของสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.แว้ง