ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก เป็นเรื่องที่เราต้องหันมาใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่น่ากลัวขึ้นได้ โดยเฉพาะฟันผุ (Dental Caries/Tooth Decay) เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักเกิดขึ้นได้กับทุกคน, ทุกเพศ และทุกวัย หากปล่อยทิ้งไว้อาจคิดว่าไม่เป็นอะไร แต่ฟันผุเป็นอีกหนึ่งปัญหาของสุขภาพช่องปาก ที่มีความน่ากลัวมากกว่าที่คุณคิด
ฟันผุเกิดจากสาเหตุใด ?
เกิดจากการที่เนื้อฟันถูกทำลายโดยเชื้อโรคที่อยู่ภายในช่องปาก ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดฟันผุขึ้น ได้แก่ การรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล, แผ่นคราบจุลินทรีย์, คราบหินปูน หรือการไม่แปรงฟันหลังจากรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งแบคทีเรียปกติที่อยู่ภายในช่องปากของเรา อาจทำปฏิกิริยากับคราบต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ภายในซอกฟัน หากเราขจัดคราบเหล่านั้นออกไม่หมด จะทำให้คราบที่ทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียเกิดการเป็นกรดขึ้น และไปทำลายผิวที่เคลือบฟันอยู่ ถ้าหากปล่อยให้ภายในช่องปากมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 เป็นระยะเวลานาน
อาการของฟันผุเป็นอย่างไร ?
- หากมีการดื่มหรือรับประทานอาหารรสหวาน, ร้อนหรือเย็นจัด จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันมากยิ่งขึ้น
- ปวดฟัน
- พบรอยผุหรือรูที่บริเวณฟันซี่ที่มีปัญหา
- รู้สึกขมปาก และลมหายใจมีกลิ่น
- พบเศษอาหารติดอยู่ภายในร่องฟัน
ฟันผุมีกี่ระยะ ?
ฟันผุสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ตามรอยผุที่เกิดขึ้น ดังนี้
ระยะที่ 1
พบรอยผุภายในผิวเคลือบฟัน จะพบว่ามีรอยสีดำปรากฏขึ้นตามร่องฟัน แต่ระยะนี้จะยังไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น
ระยะที่ 2
พบรอยผุที่ลึกมากขึ้นภายในชั้นเคลือบฟัน สามารถสังเกตเห็นเป็นรอยผุขนาดเล็กบริเวณบนผิวฟัน โดยระยะนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเสียวฟันขึ้นได้
ระยะที่ 3
รอยผุอาจลึกขึ้นมากกว่าเดิมจนถึงชั้นเนื้อฟัน ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นรูผุขนาดใหญ่และมีความลึก โดยอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยในระยะนี้ คือ ปวดฟันมากเมื่อมีสิ่งมากระตุ้นหรือเสียวฟัน ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้น เช่น การรับประทานอาหารรสจัด, การรับประทานอาหารที่ร้อนหรือเย็นจัด เป็นต้น
ระยะที่ 4
หากปล่อยฟันผุทิ้งไว้จนมาถึงระยะนี้ ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าฟันมีรอยผุขนาดใหญ่และลึกมาก คือ รอยผุที่ทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดฟันเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีสิ่งมากระตุ้น แต่ที่น่ากลัวสำหรับระยะนี้ ถ้าหากเชื้อโรคที่อยู่ในรอยผุเกิดการลุกลามไปถึงปลายรากฟัน อาจเกิดเป็นหนองและเชื้อโรคอาจแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
หากปล่อยฟันผุทิ้งไว้อาจเสี่ยงเกิดโรคเหล่านี้ขึ้นได้
- โรคหัวใจ
- โรคมะเร็งช่องปาก
- โรคเส้นเลือดในสมองตีบ
- โรคปอดอักเสบ
- โรคเบาหวาน
การวินิจฉัยฟันผุ
หากผู้ป่วยเข้าพบทันตแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอาการฟันผุด้วยการสอบถามอาการเบื้องต้น ว่ามีอาการปวดหรือเสียวฟันไหม และจะใช้อุปกรณ์ตรวจสอบภายในช่องปากกับฟัน ถ้าหากผู้ป่วยมีฟันผุที่เกี่ยวข้องกับโรคอื่น ๆ แพทย์อาจจะเอกซเรย์ช่องปาก เพื่อดูความเสียหายของฟัน จากนั้นแพทย์จะแจ้งว่าฟันผุที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการใด ซึ่งโดยปกติแล้ว เด็กทุกคนควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ควรเข้าพบอย่างน้อย 1 ครั้ง ในทุก 2 ปี เพื่อทำการตรวจเช็คสุขภาพฟันเสมอ
การรักษาฟันผุ
-
การใช้ฟลูออไรด์ หากเป็นฟันผุในระยะแรก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ฟลูออไรด์ เช่น ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก หรือสารเคลือบฟัน เป็นต้น
-
การอุดฟัน เมื่อสังเกตเห็นฟันผุเป็นรูอย่างชัดเจน ทันตแพทย์จะใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง หรือสีเหมือนฟัน อุดไปที่บริเวณรูของฟันซี่ที่ผุ
-
การครอบฟัน ในกรณีที่ฟันของผู้ป่วยมีการผุกร่อนเป็นบริเวณกว้าง, สุขภาพฟันไม่แข็งแรง หรือเนื้อฟันเหลือน้อย โดยแพทย์จะใช้วัสดุที่แข็งแรงและสีเหมือนฟัน ครอบไปที่ฟันซี่ที่มีปัญหา
-
การรักษารากฟัน วิธีนี้จะใช้รักษาเมื่อฟันผุทะลุไปถึงโพรงประสาทแล้ว แพทย์จะดำเนินการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น และรักษาบริเวณที่มีการติดเชื้อ
-
การถอนฟัน เมื่อการอักเสบมีการลุกลามไปมาก และพิจารณาว่าไม่สามารถรักษาฟันซี่นั้นได้แล้ว แพทย์อาจใช้วิธีการถอนฟันเพื่อรักษาอาการของผู้ป่วย
วิธีการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง
- การแปรงฟันสม่ำเสมอและแปรงอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง หรือหลังรับประทานอาหารด้วยแปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม โดยให้แปรงลิ้นทุกครั้งด้วยเสมอ
- การใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันหลังจากแปรงฟันทุกครั้ง
- ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
- รับประทานอาหารให้เหมาะตามหลักโภชนาการ และควรจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตด้วย
- เข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพช่องปากอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าฟันผุนั้นมีความอันตรายเป็นอย่างมากหากท่านปล่อยทิ้งไว้ และอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นกับร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ทุกท่านควรเข้าพบทันตแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และหมั่นสังเกตสุขภาพช่องปากของตนเองว่าผิดปกติหรือไม่ หากมีสิ่งใดที่ผิดปกติไปจากเดิม ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อวินิจฉัย และดำเนินการรักษาต่อไป
ฟันผุ อาจมีความเสี่ยงหากปล่อยทิ้งไว้
ฟันผุเกิดจากสาเหตุใด ?
เกิดจากการที่เนื้อฟันถูกทำลายโดยเชื้อโรคที่อยู่ภายในช่องปาก ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดฟันผุขึ้น ได้แก่ การรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล, แผ่นคราบจุลินทรีย์, คราบหินปูน หรือการไม่แปรงฟันหลังจากรับประทานอาหาร เป็นต้น ซึ่งแบคทีเรียปกติที่อยู่ภายในช่องปากของเรา อาจทำปฏิกิริยากับคราบต่าง ๆ ที่ติดค้างอยู่ภายในซอกฟัน หากเราขจัดคราบเหล่านั้นออกไม่หมด จะทำให้คราบที่ทำปฏิกิริยากับแบคทีเรียเกิดการเป็นกรดขึ้น และไปทำลายผิวที่เคลือบฟันอยู่ ถ้าหากปล่อยให้ภายในช่องปากมีค่า pH ต่ำกว่า 5.5 เป็นระยะเวลานาน
อาการของฟันผุเป็นอย่างไร ?
- หากมีการดื่มหรือรับประทานอาหารรสหวาน, ร้อนหรือเย็นจัด จะทำให้เกิดอาการเสียวฟันมากยิ่งขึ้น
- ปวดฟัน
- พบรอยผุหรือรูที่บริเวณฟันซี่ที่มีปัญหา
- รู้สึกขมปาก และลมหายใจมีกลิ่น
- พบเศษอาหารติดอยู่ภายในร่องฟัน
ฟันผุมีกี่ระยะ ?
ฟันผุสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ตามรอยผุที่เกิดขึ้น ดังนี้
ระยะที่ 1
พบรอยผุภายในผิวเคลือบฟัน จะพบว่ามีรอยสีดำปรากฏขึ้นตามร่องฟัน แต่ระยะนี้จะยังไม่มีอาการใด ๆ เกิดขึ้น
ระยะที่ 2
พบรอยผุที่ลึกมากขึ้นภายในชั้นเคลือบฟัน สามารถสังเกตเห็นเป็นรอยผุขนาดเล็กบริเวณบนผิวฟัน โดยระยะนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการเสียวฟันขึ้นได้
ระยะที่ 3
รอยผุอาจลึกขึ้นมากกว่าเดิมจนถึงชั้นเนื้อฟัน ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นรูผุขนาดใหญ่และมีความลึก โดยอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยในระยะนี้ คือ ปวดฟันมากเมื่อมีสิ่งมากระตุ้นหรือเสียวฟัน ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการขึ้น เช่น การรับประทานอาหารรสจัด, การรับประทานอาหารที่ร้อนหรือเย็นจัด เป็นต้น
ระยะที่ 4
หากปล่อยฟันผุทิ้งไว้จนมาถึงระยะนี้ ผู้ป่วยสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าฟันมีรอยผุขนาดใหญ่และลึกมาก คือ รอยผุที่ทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดฟันเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่ต้องมีสิ่งมากระตุ้น แต่ที่น่ากลัวสำหรับระยะนี้ ถ้าหากเชื้อโรคที่อยู่ในรอยผุเกิดการลุกลามไปถึงปลายรากฟัน อาจเกิดเป็นหนองและเชื้อโรคอาจแพร่กระจายไปสู่ส่วนอื่นของร่างกายได้
หากปล่อยฟันผุทิ้งไว้อาจเสี่ยงเกิดโรคเหล่านี้ขึ้นได้
- โรคหัวใจ
- โรคมะเร็งช่องปาก
- โรคเส้นเลือดในสมองตีบ
- โรคปอดอักเสบ
- โรคเบาหวาน
การวินิจฉัยฟันผุ
หากผู้ป่วยเข้าพบทันตแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยอาการฟันผุด้วยการสอบถามอาการเบื้องต้น ว่ามีอาการปวดหรือเสียวฟันไหม และจะใช้อุปกรณ์ตรวจสอบภายในช่องปากกับฟัน ถ้าหากผู้ป่วยมีฟันผุที่เกี่ยวข้องกับโรคอื่น ๆ แพทย์อาจจะเอกซเรย์ช่องปาก เพื่อดูความเสียหายของฟัน จากนั้นแพทย์จะแจ้งว่าฟันผุที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นอย่างไร และสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการใด ซึ่งโดยปกติแล้ว เด็กทุกคนควรเข้าพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ควรเข้าพบอย่างน้อย 1 ครั้ง ในทุก 2 ปี เพื่อทำการตรวจเช็คสุขภาพฟันเสมอ
การรักษาฟันผุ
- การใช้ฟลูออไรด์ หากเป็นฟันผุในระยะแรก ทันตแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ฟลูออไรด์ เช่น ยาสีฟัน, น้ำยาบ้วนปาก หรือสารเคลือบฟัน เป็นต้น
- การอุดฟัน เมื่อสังเกตเห็นฟันผุเป็นรูอย่างชัดเจน ทันตแพทย์จะใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง หรือสีเหมือนฟัน อุดไปที่บริเวณรูของฟันซี่ที่ผุ
- การครอบฟัน ในกรณีที่ฟันของผู้ป่วยมีการผุกร่อนเป็นบริเวณกว้าง, สุขภาพฟันไม่แข็งแรง หรือเนื้อฟันเหลือน้อย โดยแพทย์จะใช้วัสดุที่แข็งแรงและสีเหมือนฟัน ครอบไปที่ฟันซี่ที่มีปัญหา
- การรักษารากฟัน วิธีนี้จะใช้รักษาเมื่อฟันผุทะลุไปถึงโพรงประสาทแล้ว แพทย์จะดำเนินการซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น และรักษาบริเวณที่มีการติดเชื้อ
- การถอนฟัน เมื่อการอักเสบมีการลุกลามไปมาก และพิจารณาว่าไม่สามารถรักษาฟันซี่นั้นได้แล้ว แพทย์อาจใช้วิธีการถอนฟันเพื่อรักษาอาการของผู้ป่วย
วิธีการดูแลสุขภาพช่องปากของตนเอง
- การแปรงฟันสม่ำเสมอและแปรงอย่างถูกวิธีวันละ 2 ครั้ง หรือหลังรับประทานอาหารด้วยแปรงที่มีขนอ่อนนุ่ม โดยให้แปรงลิ้นทุกครั้งด้วยเสมอ
- การใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันหลังจากแปรงฟันทุกครั้ง
- ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
- รับประทานอาหารให้เหมาะตามหลักโภชนาการ และควรจำกัดการบริโภคคาร์โบไฮเดรตด้วย
- เข้ารับการตรวจเช็คสุขภาพช่องปากอย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าฟันผุนั้นมีความอันตรายเป็นอย่างมากหากท่านปล่อยทิ้งไว้ และอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นกับร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้น ทุกท่านควรเข้าพบทันตแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และหมั่นสังเกตสุขภาพช่องปากของตนเองว่าผิดปกติหรือไม่ หากมีสิ่งใดที่ผิดปกติไปจากเดิม ควรเข้าพบทันตแพทย์เพื่อวินิจฉัย และดำเนินการรักษาต่อไป