ขอเล่าต่อ -- ความน่าปวดหัวของการทำห้องเช่าราคาถูกหากินกับรากหญ้าและกรรมาชีพ (กระทู้2)

จากกระทู้ที่แล้ว https://ppantip.com/topic/43244823

ถามว่า ที่เล่าไปในกระทู้แรก มันไม่มีส่วนที่ดีบ้างเลยหรอไงกลุ่มคนรากหญ้าและกรรมาชีพเนี่ย

แน่นอนครับ ลูกบ้านที่ดีมีเยอะ และแน่นอนว่ามันมีเยอะกว่าส่วนที่เป็นปัญหา
ชุมชนหรือสังคมจะเดินหน้าต่อไปได้ อัตราส่วนของคนดีย่อมมากกว่าคนเลว 
ไม่เช่นนั้น ธุรกิจก็พัง ชุมชน,สังคม,อารยธรรมมนุษย์ก็ถึงจุดล่มสลาย

ผมยังจำได้เลยนะ สมัยผมเป็นเด็กมัธยมหัวเกรียนเดินตามพ่อต๊อกๆ ช่วยพ่อเก็บค่าเช่า
มันจะมีลูกบ้านอยู่หลังนึงครับ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ผมไปเก็บค่าเช่ากี่ครั้งลูกชายเขา ก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ทุกครั้ง
แม่นั่งเย็บจักร ลูกนั่งอ่านหนังสือ จนสุดท้ายก็แอดมิชชั่นเข้าได้ที่สถานบันการศึกษาชั้นนำของประเทศ 
และเรียนจบทำงานในองค์กรมหาชน ย้ายออก ซื้อบ้าน ตั้งหลัก พาแม่ไปอยู่ด้วย

พูดถึงเรื่องเรียน ไม่รู้ยุคนี้เป็นไงนะ แต่สมัยก่อนอ่ะ การเข้าเรียนในระดับมัธยมในโรงเรียนรัฐบาล 
มันจะมีจับฉลากโควต้าพื้นที่บ้านใกล้ , โควต้าผู้มีอุปการคุณแก่สถานศึกษา อะไรเทือกๆนั้น
ก็มีคนในตลาด ทั้งที่เป็นลูกบ้านและไม่ใช่ลูกบ้าน เข้ามาขอความช่วยเหลือให้ที่บ้านผมช่วยฝากเข้าไปเรียนบ้าง ช่วยย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านบ้าง
ที่บ้านผมเขาก็ยินดีช่วยนะ แล้วคุณรู้มั๊ยว่า เด็กเหล่านี้ที่อาจถูกค่อนแคะว่าเป็น "เด็กฝาก" ล้วนขยันและตั้งใจเรียน ได้ดีกันหมดเลยนะ 

นอกจากนี้ ลูกบ้านหลายคนที่จับธุรกิจได้ถูกกับกระแส เขาเติบโตเอาเติบโตเอา จากเดิมที่เช่าตึกแถวไว้ห้องเดียว เริ่มขยายเป็นสอง เป็นสาม เป็นสี่
ผมลองสังเกตเวลาไปเดินเก็บค่าเช่า ผมว่าเขาไม่ได้ "โชคดี" อย่างเดียวที่จับธุรกิจถูก แต่ไลฟสไตล์การใช้ชีวิตของเขาไม่ถ่วงความเจริญของตัวเอง 

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะ Mutate กันได้ทั้งหมด 
อย่างที่ผมได้กล่าวไปในกระทู้แรก ตลอดช่วงหลายปีหลังมานี้  เปอร์เซนต์ลูกบ้านที่เติบโตแนวดิ่ง (ดิ่งลงล่าง) เพิ่มขึ้นเยอะจริงๆ 
และเป็นจุดโฟกัสที่ผมจะกล่าวถึง

คุณคิดว่าต้องค้างค่าเช่ากี่เดือนบ้านผมถึงจะตัดสินใจล็อคห้อง? 2เดือน? 4 เดือน? 6 เดือน?
ทราบไหมครับ บางบ้านค้าง8เดือน เรายังไม่ไล่ ไม่ล็อคห้องเลยนะ

ถามว่าเพาะอะไร? ก็เพราะเขาอยู่กับเรามานาน และเราก็รู้ว่าลูกบ้านบางห้อง โดยกมลสันดานไม่ใช่คนเลวร้าย 
เพียงแต่ช่วงนั้นอาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของชีวิตเขา
ลูกบ้านจำนวนไม่น้อยเลยครับ ที่ "เกือบหลับแต่กลับมาได้"  
กัดฟันสู้ขอเจรจาผ่อนหนี้เก่าลดค่าปรับผิดชำระ แล้วเขาก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขารับผิดชอบและต้องการจะอยู่ตรงนี้จริงๆ

ลูกบ้านที่เป็นปัญหาส่วนมากเลยนะครับ จะร้องขอ "โอกาส" แต่ไม่เคยเห็นค่าในโอกาสที่ได้รับ  
เคยได้รับโอกาสอะไรไปบ้างกี่สิบกี่ร้อยครั้งก็ทำลืมหมด แล้วก็วกกลับมาขอโอกาส วนลูปไปแบบนี้
พอเราไม่ให้โอกาสอีก แม่ม ด่าไล่หลังเสียอีกแหนะ เอาสิ

ลูกบ้านบางห้องติดค่าเช่าเยอะ บ้านผมก็เห็นว่า เออ...คนนี้พอจะมีจุดเด่นด้านนี้ๆนะ เลยจ้างมาช่วยงานในกิจการอื่นของที่บ้าน
แล้วก็ผ่อนตัดหนี้ที่ค้างกันไป บางคนมาทำได้ครึ่งวันก็หนีกลับ 
บางคนมาทำก็ไม่วายพกนิสัยจองหอง โอหัง ว่านิดแตะหน่อยกรูไม่ทำแม่มละ  ศักดิ์ศรีใหญ่ทับชามข้าว (แต่ค่าเช่าไม่จ่ายนะ)
กลับไปอยู่บ้านไถเงินลูก นอนกอดขวดเบียร์รอความตาย รอเงินช่วยเหลือรัฐอยู่ที่บ้านเช่าเหมือนเดิม 

มีไม่น้อยที่ได้รับโอกาสแล้วกลับ "ทรยศ" กันอีกนะ
ค้างค่าเช่าสามสี่เดือน ให้โอกาสแล้ว อะไรก็แล้ว แต่กลับยกของหนีขึ้นรถกระบะกลางดึก
ก่อนจะไปค้างค่าน้ำค่าไฟไว้ร่วมหมื่น มิเตอร์จะโดนยกอยู่รอมร่อ
นี่ยังสงสัย เมิงขายน้ำขายไฟให้เซเว่นหรือเปล่า ทำไมมันแพงอย่างงี้ 

กลุ่มคนรากหญ้าและกรรมาชีพจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับทุกๆวันและทุกๆเหตุการณ์ในชีวิตครับ
วันเกิด เอ้า เลี้ยงรับขวัญ
ได้งานใหม่ เอ้า เลี้ยงยินดี
ถูกหวย เอ้า เลี้ยงฉลอง
โดนไล่ออก โถ เลี้ยงปลอบใจ
ข้างบ้านย้ายออก อ่ะ เลี้ยงส่ง
มีอยู่วันเดียวที่จะเงียบ คือ วันจ่ายค่าเช่า

ความสามารถพิเศษอย่างนึงของชาวรากหญ้าและกรรมาชีพ คือ "ความสามารถในการจำ" ครับ
แต่เป็นการจำในสิ่งที่ตัวเองได้ประโยชน์นะ เช่น ค่าเช่าบ้าน 3,500 ทะยอยจ่ายมา เดือนนี้ 1,500 บ้าง เดือนหน้า 1,800 บ้าง
คราวนี้เจ้าของบ้านก็บวกไปสิ ทดเลขไปสิ เดือนนั้นทบยอดนี้ หักค่าปรับเท่านี้
ถ้าเราคิดเงินพลาดแล้วเขาได้ประโยชน์ทำเงียบนะ แต่ถ้าเขาเสียประโยชน์ทำมาแหกปากโวยวายหาว่าโกงอีก

ปัญหาอีกอย่างที่นึกได้คือปัญหาสัตว์เลี้ยง
อีตอนเลี้ยงนี่รักกันจั๊งงง ลูกอย่างงั้น ลูกอย่างงี้ 
แต่พอถึงเวลาขี้ แม่มปล่อยออกมาขี้หน้าบ้านคนอื่น ขี้ในที่สาธารณะ 
เฮ้ย! ถ้าจะรักหมารักแมวอ่ะ สิ่งที่ออกจากรูหมารูแมว ก็ช่วยรักและรับผิดชอบด้วย 
ไอ้สิ่งที่ออกมามันก็สิ่งที่คุณป้อนเข้าไปทั้งนั้นไม่ใช่หรอไง 

ที่เล่ามานี่ใช่ว่าผมจะมองตัวเองและครอบครัวว่าวิเศษวิโศกว่าคนอื่นนะ
เท่าที่ผมสังเกต คนไทยรุ่นพ่อ ยุค Baby-Boomer - Gen X ที่ทำธุรกิจระดับ micro-scale หรือ SME นี่เขาก็มีจุดอ่อนเหมือนกัน 
และเป็นจุดอ่อนที่สังเกตง่ายเสียด้วย 
จุดอ่อนที่ว่านี้คือ "การติดกับดักการเป็นคนดี" ครับ  
ว่าง่ายๆเลยคือ กลัวคนเขาว่าไม่ดี หน้าบาง ทำธุรกิจแต่อยากเป็นคนดี เงินก็อยากได้ หน้าก็อยากรักษา 
ได้ฟังลมปากลูกบ้านเขาสรรเสริญเข้าหน่อย เท้าพาลจะลอยไม่ติดพื้น  คนเขาก็จับจุดได้หมดอ่ะ
จะด่าจะไล่ใครสักห้องนึงนี่ต้อง "สมควรตาย" จริงๆถึงจะได้รับเกียรตินั้น
ไอ้ข้อดีของการทำธุรกิจแบบนี้คือ ศัตรูน้อย ครับ มันก็สบายใจเวลาไปจ่ายตลาดไม่ต้องกังวลว่าจะมีลูกตะกั่ว, ถุงขี้, หรือเปลือกทุเรียนลอยมา 

แต่ก็ไอ้ "กับดักการเป็นคนดี" เนี่ยแหละครับ จึงเป็นบ่อเกิดของที่มา คำว่า "คนจนหาแDกกับคนรวย" 

---

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่