เมื่อวันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 68 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้น 20 จุด และถือว่าเป็นการดีดตัวขึ้นแรงหลังจากที่ตกลงมาตั้งแต่ต้นปีถึงเกือบ 10% และเป็นตลาดหุ้นที่ “เลวร้ายที่สุดในโลก” อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น หุ้น “ขนาดกลาง” ขนาด Market Cap. ระดับประมาณ 10,000 ล้านบาทตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเกิดอาการ “Corner แตก” คือราคาหุ้นตกลงมาถึงฟลอร์ 30% มูลค่าหายไปประมาณ 3,000 ล้านบาท หุ้นมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกว่า 100 ล้านหุ้น คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 17% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท
เหตุผลที่เห็นได้ชัดน่าจะมาจากการประกาศงบการเงินที่แสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทนั้น “ต่ำกว่าคาดมาก” แม้ว่ารายได้จะยังคงเติบโต ธุรกิจมีการขยายตัวและขยายสาขา—อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตที่ขยายตัวมาตลอด เพราะร้านของบริษัทนั้น มีความโดดเด่นและอยู่ใน “เมกาเทรนด์” ของคนที่รักสุขภาพ เป็นสินค้า “ไฮเอนด์” ที่มี “ราคาแพงแต่คนกินแน่น” และมีภาพของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” สำหรับนักลงทุนหลายคนโดยเฉพาะที่เข้าไปถือหุ้น และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นแพงมาก ค่า PE ก่อนหุ้นตกและการประกาศงบไตรมาศ 4 สูงถึงกว่า 50 เท่า
พูดง่าย ๆ คอร์เนอร์ “แตก” เพราะคนเริ่มตระหนักว่าหุ้นไม่ได้ดีหรือโดดเด่นมากอย่างที่คิด ซึ่งแสดงออกมาผ่านงบผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ได้ดีเท่าไรอยู่แล้วในช่วง 1-2 ไตรมาศที่ผ่านมา แต่ในช่วงนั้นคนก็ยังไม่แน่ใจและอาจจะทำใจยอมรับได้ เหนือสิ่งอื่นใด ยอดขายก็ยังโตดี ชื่อเสียงของร้านก็ยังโดดเด่น ที่สำคัญ ราคาหุ้นก็ยังรักษาระดับสูงอยู่ได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นย่ำแย่มาตลอด
ผมเองไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะช่วงนี้เป็น “เทศกาล” คอร์เนอร์ “แตก” อยู่แล้ว เพราะสภาวะแวดล้อมของตลาดหุ้นและหุ้นโดยรวมค่อนข้าง “เลวร้าย” หุ้นทุกตัวที่มีค่า PE ปกติระดับ 50 เท่านั้น แทบทุกตัวมีโอกาสคอร์เนอร์แตกสูง แม้แต่คนที่ทำคอร์เนอร์เอง ซึ่งก็อาจจะมีหลายคน ต่างก็อาจจะ “จ้อง” เตรียมทิ้งหุ้นเพื่อทำกำไรมหาศาลหรือหนีเอาตัวรอดกันอยู่แล้ว ดังนั้น มีอะไรมา “สะกิด” นิดเดียว คอร์เนอร์ก็อาจจะแตกได้ทันที
กรณีของหุ้นตัวนี้นั้น แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่ามีคนตั้งใจเข้ามาทำคอร์เนอร์ตั้งแต่แรกหรือเปล่า อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นถูกคอร์เนอร์เพราะนักลงทุนเข้าใจผิดถึง “คุณค่า” ของกิจการ ว่าเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม เป็น “ผู้ชนะ” ใน “เมกาเทรนด์” ที่คนรุ่นใหม่—และคนรุ่นเก่าที่มีเงิน สนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพและสะอาดปลอดสารพิษ ซึ่งนี่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่แท้จริง “ตามตำรา” เพียงแต่ว่าการวิเคราะห์นั้นอาจจะยังไม่ครบถ้วนและอาจจะ “ผิด”
แต่พวกเขาก็ไล่ซื้อหุ้นจนกลายเป็นคอร์เนอร์หุ้นไปแล้ว และราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปก็ไปส่งสัญญาณว่าหุ้นดีจริงและจะเติบโตเป็นซุปเปอร์สต็อก ดังนั้น ค่า PE จึงสามารถสูงขึ้นไปถึงกว่า 50 เท่าและอยู่อย่างนั้นได้จนถึงเวลาที่ “ความจริงปรากฏออกมา” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Moment of Truth” หรือช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัว เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิต อย่างเช่นที่เขาใช้ในช่วงเวลาที่มาทาดอร์ปักมีดฆ่าวัวกระทิงในสนามกีฬาสู้วัวกระทิงของสเปน
พูดถึงเรื่องการวิเคราะห์หุ้นอาหารและสิ่งที่คนกินนั้น ผมคิดว่าถ้าจะทำได้ดีและถูกต้องมากขึ้น เราควรจะนำเรื่องของ “ยีน” ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะอาหารนั้น เป็นสิ่งที่ยีนบอกให้เราเลือกกินเพื่อเอาตัวรอดซึ่งเป็นภารกิจสำคัญอันดับ 1 ของคนที่เป็นสิ่งมีชีวิต
วิเคราะห์จากยีน ก็จะพบว่าคนส่วนใหญ่ชอบและเลือกกินอาหารที่จะให้พลังงานสูง อันดับ 1 น่าจะเป็นน้ำตาลและแป้ง บางคนอาจจะรวมถึงแอลกอฮอล์ด้วย และเหล่านั้นก็คือ “อาหารเพื่อสุขภาพ” เมื่อหมื่นปีที่แล้วที่การหาอาหารเป็นสิ่งที่ยากและบางทีหาอาหารได้ไม่พอกิน อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ที่อาหารมีเหลือเฟือและการกินอาหารที่มีคุณค่าสูงมากเกินไปก่อให้เกิดโรคสารพัดชนิด อาหารที่ให้แคลอรี่ต่ำอย่างผักก็กลายเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” และอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาลก็กลายเป็น “อาหารขยะ” ไป
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดจากความคิดที่เกิดขึ้นจากความรู้เรื่องสุขภาพเมื่อไม่นานมานี้เอง ยีนของมนุษย์นั้นไม่ได้เปลี่ยนไป คนเราก็ยังชอบ “อาหารขยะ” มากกว่า “อาหารเพื่อสุขภาพอยู่ดี” ดังนั้น ความต้องการหรือยอดขายของ “อาหารเพื่อสุขภาพ” จึงจำกัดมาก บริษัทที่ขายอาหารเพื่อสุขภาพที่จะเติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้นแทบจะไม่มี บริษัทขายอาหารที่มีขนาดใหญ่มากดูเหมือนจะขายอาหารขยะเป็นหลัก เช่น แม็คโดนัลด์ เป็นต้น
ธุรกิจขายอาหารที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” เองก็หาได้ยากมาก เหตุผลก็เพราะยีนมนุษย์ไม่ชอบกินอะไรที่ซ้ำ ๆ เหมือนเดิมตลอด เพราะการกินแบบนั้นอาจจะทำให้มนุษย์กินสิ่งที่เป็นพิษในธรรมชาติเป็นปริมาณมากได้ ซึ่งอาจจะทำให้ป่วยหรือตาย ดังนั้น ยกเว้นอาหารแป้งเช่น ข้าวและขนมปังแล้ว มนุษย์ก็กินอาหารอย่างอื่นหลากหลายและเปลี่ยนไปในแต่ละวัน นั่นทำให้บริษัทที่ขายอาหารรวมถึงน้ำและน้ำหวานที่จะมีขนาดใหญ่และเติบโตเป็นซุปเปอร์สต็อก มีน้อยมาก ยกเว้นก็แต่โค๊กที่คนกินกันได้ไม่เบื่อและกินได้ทุกวันวันละหลายกระป๋อง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นโค๊กในฐานะที่เป็นซุปเปอร์สต็อก
แต่จริง ๆ แล้ว เหตุผลที่กินโค๊กแล้วไม่เบื่อนั้น เป็นเพราะมันมี “สารเสพติด” ธรรมชาติที่เรียกว่า “คาเฟอีน” ที่ทำให้คนติดและอยากกินบ่อย ๆ ผสมกับหัวเชื้อที่ไม่มีใครเหมือนที่จะสามารถเข้ามาแข่งขันได้
หุ้นอาหารที่เป็นน้ำ ถ้าจะสามารถเติบโตมีคนนิยมจำนวนมากและมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนจนกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น มักจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ มีสารให้คนติดคือ คาเฟอีน มีรสหวานที่เป็นน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารที่มนุษย์ชอบตามยีน มีรสชาติเฉพาะที่คนเลียนแบบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ ตัวอย่างนอกจากโค๊กแล้วก็รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังเช่น เรดบูลหรือ “กระทิงแดง” ที่ขายในต่างประเทศ เป็นต้น
ส่วนหุ้นบริษัทขายน้ำผลไม้และน้ำหวานปรุงรสทั้งหลายนั้น โอกาสที่จะเติบโตและมีขนาดตลาดที่ใหญ่นั้น เป็นไปได้ยากมาก เพราะน้ำผลไม้ไม่มีรสหรือกลิ่นเฉพาะตัวที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ นอกจากนั้น ถ้าไม่มีคาเฟอิน คนก็ไม่ติด ดังนั้น ตลาดก็จะกระจายมาก ไม่มีใครสามารถจะใหญ่และกีดกันคนอื่นเข้ามาแข่งขันได้ บริษัทที่อาจจะดูว่าโตเร็วและสินค้าได้รับความนิยมก็มักจะเป็นเรื่องของ “แฟชั่น” ทุกอย่างดูดีชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นคนก็จะเลิกนิยมและสินค้าแทบจะขายไม่ได้เลย
กาแฟและชาที่มีคาเฟอีนสูงและทำให้คนติดและชอบกินนั้น ก็มักจะมีปัญหาไม่สามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกได้เพราะรสชาดแต่ละแห่งก็ใกล้เคียงกัน บางช่วงบางบริษัทก็สามารถสร้างกระแสให้เป็น “แฟชั่น” ตัวอย่างเช่น ร้านขายชานมไข่มุกที่มีความเป็นแฟชั่นสูงมาก แต่พอหลังหมดกระแส ทุกอย่างก็แทบหายไป ร้านกาแฟที่บางแห่งกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” อย่างสตาร์บัคนั้น ที่จริง “ไม่ได้ขายกาแฟ” แต่ขายสถานที่นั่งชิว ๆ ดูมีรสนิยม อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟดัง ๆ เกิดใหม่ก็มีตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั้นไม่สามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกได้ เพราะรสชาดกาแฟนั้น “เหมือน ๆ กัน”
ขนมและอาหารมื้อหลักนั้น มีความหลากหลายมาก คนกินที่ภัตตาคารหรือซื้อขนมไปกินที่บ้านนั้น มักจะไม่ค่อยกินซ้ำติดต่อกัน คนจะเปลี่ยนอาหารและขนมไปเรื่อย รสที่ยีนชอบก็คือ หวาน มัน เค็ม สินค้าที่คนชอบกินและขายดีเมื่อ “อิ่มตัว” ก็จะโตต่อยาก เพราะคนที่ชอบก็จะไม่เพิ่มอัตราที่จะกิน เขาจะไปกินอาหารหรือขนมอื่นแทน
นาน ๆ ก็จะมีสินค้าอาหารที่ขายดีระเบิดและกลายเป็น “แฟชั่น” เช่นครั้งหนึ่งก็จะมีโดนัทคริสปี้ครีมที่ “หวานมาก” และคนแห่ไปเข้าคิวจองซื้อกลับบ้านหรือไปฝากเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาขายได้ตามปกติระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับอาหารที่บางครั้งก็จะมีประเภท “ไก่ทอดยอดฮิตเกาหลี” เข้ามาเปิดตลาดแล้วก็ “ขายระเบิด” แต่หลังจากนั้นไม่นานคนก็แทบจะเลิกกิน เช่นเดียวกัน ในช่วงหนึ่งร้าน “หมูกระทะ” บูม คนก็เข้าไปกินกันแน่น พอผ่านมาซักพักก็ต้องปิดตัวลง ส่วนหนึ่งเพราะคนอื่นเลียนแบบได้ใกล้เคียงมาก
ข้อสรุปก็คือ เวลาวิเคราะห์หุ้นของกินไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม หรือน้ำ ก็จะต้องดูว่ายีนเราคิดอย่างไรกับมัน หุ้นตัวนั้นขายสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแค่ไหน คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้มากน้อยแค่ไหน อาหารมีสารที่ทำให้เสพติดหรือไม่ ช่องทางการขายมีส่วนในการแข่งขันแค่ไหน ปัจจัยอื่น ๆ เช่นเรื่องของความเป็นแฟชั่นมีผลอย่างไร และสุดท้ายแล้ว ราคาของหุ้นสมเหตุผลไหม
โดยทั่วไป หุ้นของกินนั้นจะมีอำนาจทางการตลาดไม่มากยกเว้นว่าคนเสพติดสารในอาหารบวกกับภาพลักษณ์ที่สินค้าได้สร้างไว้ยาวนาน ดังนั้น หุ้นอาหารและเครื่องดื่มในตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นระดับซุปเปอร์สต็อกน้อย หุ้นที่เติบโตและมีกำไรดีส่วนมากเป็น “แฟชั่น” หรือเป็นสถานการณ์ “ชั่วคราว” และจะกลับมาสู่สภาพที่เป็นจริงในที่สุด ดังนั้น ราคาหุ้นก็ไม่ควรจะแพง ผมคิดว่าระดับ 20 เท่าก็สูงแล้ว
8 ก.พ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://www.blockdit.com/posts/67a723581b41da8ab87dc509
วิเคราะห์หุ้นของกินทุกชนิดด้วยยีน : โกลในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เหตุผลที่เห็นได้ชัดน่าจะมาจากการประกาศงบการเงินที่แสดงให้เห็นว่ากำไรของบริษัทนั้น “ต่ำกว่าคาดมาก” แม้ว่ารายได้จะยังคงเติบโต ธุรกิจมีการขยายตัวและขยายสาขา—อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตที่ขยายตัวมาตลอด เพราะร้านของบริษัทนั้น มีความโดดเด่นและอยู่ใน “เมกาเทรนด์” ของคนที่รักสุขภาพ เป็นสินค้า “ไฮเอนด์” ที่มี “ราคาแพงแต่คนกินแน่น” และมีภาพของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” สำหรับนักลงทุนหลายคนโดยเฉพาะที่เข้าไปถือหุ้น และนั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ราคาหุ้นแพงมาก ค่า PE ก่อนหุ้นตกและการประกาศงบไตรมาศ 4 สูงถึงกว่า 50 เท่า
พูดง่าย ๆ คอร์เนอร์ “แตก” เพราะคนเริ่มตระหนักว่าหุ้นไม่ได้ดีหรือโดดเด่นมากอย่างที่คิด ซึ่งแสดงออกมาผ่านงบผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ซึ่งว่าที่จริงก็ไม่ได้ดีเท่าไรอยู่แล้วในช่วง 1-2 ไตรมาศที่ผ่านมา แต่ในช่วงนั้นคนก็ยังไม่แน่ใจและอาจจะทำใจยอมรับได้ เหนือสิ่งอื่นใด ยอดขายก็ยังโตดี ชื่อเสียงของร้านก็ยังโดดเด่น ที่สำคัญ ราคาหุ้นก็ยังรักษาระดับสูงอยู่ได้ในช่วงที่ตลาดหุ้นย่ำแย่มาตลอด
ผมเองไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เพราะช่วงนี้เป็น “เทศกาล” คอร์เนอร์ “แตก” อยู่แล้ว เพราะสภาวะแวดล้อมของตลาดหุ้นและหุ้นโดยรวมค่อนข้าง “เลวร้าย” หุ้นทุกตัวที่มีค่า PE ปกติระดับ 50 เท่านั้น แทบทุกตัวมีโอกาสคอร์เนอร์แตกสูง แม้แต่คนที่ทำคอร์เนอร์เอง ซึ่งก็อาจจะมีหลายคน ต่างก็อาจจะ “จ้อง” เตรียมทิ้งหุ้นเพื่อทำกำไรมหาศาลหรือหนีเอาตัวรอดกันอยู่แล้ว ดังนั้น มีอะไรมา “สะกิด” นิดเดียว คอร์เนอร์ก็อาจจะแตกได้ทันที
กรณีของหุ้นตัวนี้นั้น แน่นอนว่าเราไม่รู้ว่ามีคนตั้งใจเข้ามาทำคอร์เนอร์ตั้งแต่แรกหรือเปล่า อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นถูกคอร์เนอร์เพราะนักลงทุนเข้าใจผิดถึง “คุณค่า” ของกิจการ ว่าเป็นกิจการที่ดีเยี่ยม เป็น “ผู้ชนะ” ใน “เมกาเทรนด์” ที่คนรุ่นใหม่—และคนรุ่นเก่าที่มีเงิน สนใจกินอาหารเพื่อสุขภาพและสะอาดปลอดสารพิษ ซึ่งนี่ก็เป็นเงื่อนไขสำคัญของการเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ที่แท้จริง “ตามตำรา” เพียงแต่ว่าการวิเคราะห์นั้นอาจจะยังไม่ครบถ้วนและอาจจะ “ผิด”
แต่พวกเขาก็ไล่ซื้อหุ้นจนกลายเป็นคอร์เนอร์หุ้นไปแล้ว และราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปก็ไปส่งสัญญาณว่าหุ้นดีจริงและจะเติบโตเป็นซุปเปอร์สต็อก ดังนั้น ค่า PE จึงสามารถสูงขึ้นไปถึงกว่า 50 เท่าและอยู่อย่างนั้นได้จนถึงเวลาที่ “ความจริงปรากฏออกมา” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Moment of Truth” หรือช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัว เป็นช่วงเวลาแห่งชีวิต อย่างเช่นที่เขาใช้ในช่วงเวลาที่มาทาดอร์ปักมีดฆ่าวัวกระทิงในสนามกีฬาสู้วัวกระทิงของสเปน
พูดถึงเรื่องการวิเคราะห์หุ้นอาหารและสิ่งที่คนกินนั้น ผมคิดว่าถ้าจะทำได้ดีและถูกต้องมากขึ้น เราควรจะนำเรื่องของ “ยีน” ของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะอาหารนั้น เป็นสิ่งที่ยีนบอกให้เราเลือกกินเพื่อเอาตัวรอดซึ่งเป็นภารกิจสำคัญอันดับ 1 ของคนที่เป็นสิ่งมีชีวิต
วิเคราะห์จากยีน ก็จะพบว่าคนส่วนใหญ่ชอบและเลือกกินอาหารที่จะให้พลังงานสูง อันดับ 1 น่าจะเป็นน้ำตาลและแป้ง บางคนอาจจะรวมถึงแอลกอฮอล์ด้วย และเหล่านั้นก็คือ “อาหารเพื่อสุขภาพ” เมื่อหมื่นปีที่แล้วที่การหาอาหารเป็นสิ่งที่ยากและบางทีหาอาหารได้ไม่พอกิน อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ที่อาหารมีเหลือเฟือและการกินอาหารที่มีคุณค่าสูงมากเกินไปก่อให้เกิดโรคสารพัดชนิด อาหารที่ให้แคลอรี่ต่ำอย่างผักก็กลายเป็น “อาหารเพื่อสุขภาพ” และอาหารที่อุดมไปด้วยแป้งและน้ำตาลก็กลายเป็น “อาหารขยะ” ไป
แต่นั่นเป็นเรื่องที่เกิดจากความคิดที่เกิดขึ้นจากความรู้เรื่องสุขภาพเมื่อไม่นานมานี้เอง ยีนของมนุษย์นั้นไม่ได้เปลี่ยนไป คนเราก็ยังชอบ “อาหารขยะ” มากกว่า “อาหารเพื่อสุขภาพอยู่ดี” ดังนั้น ความต้องการหรือยอดขายของ “อาหารเพื่อสุขภาพ” จึงจำกัดมาก บริษัทที่ขายอาหารเพื่อสุขภาพที่จะเติบโตเป็นบริษัทขนาดใหญ่นั้นแทบจะไม่มี บริษัทขายอาหารที่มีขนาดใหญ่มากดูเหมือนจะขายอาหารขยะเป็นหลัก เช่น แม็คโดนัลด์ เป็นต้น
ธุรกิจขายอาหารที่เป็น “ซุปเปอร์สต็อก” เองก็หาได้ยากมาก เหตุผลก็เพราะยีนมนุษย์ไม่ชอบกินอะไรที่ซ้ำ ๆ เหมือนเดิมตลอด เพราะการกินแบบนั้นอาจจะทำให้มนุษย์กินสิ่งที่เป็นพิษในธรรมชาติเป็นปริมาณมากได้ ซึ่งอาจจะทำให้ป่วยหรือตาย ดังนั้น ยกเว้นอาหารแป้งเช่น ข้าวและขนมปังแล้ว มนุษย์ก็กินอาหารอย่างอื่นหลากหลายและเปลี่ยนไปในแต่ละวัน นั่นทำให้บริษัทที่ขายอาหารรวมถึงน้ำและน้ำหวานที่จะมีขนาดใหญ่และเติบโตเป็นซุปเปอร์สต็อก มีน้อยมาก ยกเว้นก็แต่โค๊กที่คนกินกันได้ไม่เบื่อและกินได้ทุกวันวันละหลายกระป๋อง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นโค๊กในฐานะที่เป็นซุปเปอร์สต็อก
แต่จริง ๆ แล้ว เหตุผลที่กินโค๊กแล้วไม่เบื่อนั้น เป็นเพราะมันมี “สารเสพติด” ธรรมชาติที่เรียกว่า “คาเฟอีน” ที่ทำให้คนติดและอยากกินบ่อย ๆ ผสมกับหัวเชื้อที่ไม่มีใครเหมือนที่จะสามารถเข้ามาแข่งขันได้
หุ้นอาหารที่เป็นน้ำ ถ้าจะสามารถเติบโตมีคนนิยมจำนวนมากและมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนจนกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกนั้น มักจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้คือ มีสารให้คนติดคือ คาเฟอีน มีรสหวานที่เป็นน้ำตาลซึ่งเป็นอาหารที่มนุษย์ชอบตามยีน มีรสชาติเฉพาะที่คนเลียนแบบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของลิขสิทธิ์ ตัวอย่างนอกจากโค๊กแล้วก็รวมถึงเครื่องดื่มชูกำลังเช่น เรดบูลหรือ “กระทิงแดง” ที่ขายในต่างประเทศ เป็นต้น
ส่วนหุ้นบริษัทขายน้ำผลไม้และน้ำหวานปรุงรสทั้งหลายนั้น โอกาสที่จะเติบโตและมีขนาดตลาดที่ใหญ่นั้น เป็นไปได้ยากมาก เพราะน้ำผลไม้ไม่มีรสหรือกลิ่นเฉพาะตัวที่คนอื่นเลียนแบบไม่ได้ นอกจากนั้น ถ้าไม่มีคาเฟอิน คนก็ไม่ติด ดังนั้น ตลาดก็จะกระจายมาก ไม่มีใครสามารถจะใหญ่และกีดกันคนอื่นเข้ามาแข่งขันได้ บริษัทที่อาจจะดูว่าโตเร็วและสินค้าได้รับความนิยมก็มักจะเป็นเรื่องของ “แฟชั่น” ทุกอย่างดูดีชั่วระยะหนึ่ง หลังจากนั้นคนก็จะเลิกนิยมและสินค้าแทบจะขายไม่ได้เลย
กาแฟและชาที่มีคาเฟอีนสูงและทำให้คนติดและชอบกินนั้น ก็มักจะมีปัญหาไม่สามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกได้เพราะรสชาดแต่ละแห่งก็ใกล้เคียงกัน บางช่วงบางบริษัทก็สามารถสร้างกระแสให้เป็น “แฟชั่น” ตัวอย่างเช่น ร้านขายชานมไข่มุกที่มีความเป็นแฟชั่นสูงมาก แต่พอหลังหมดกระแส ทุกอย่างก็แทบหายไป ร้านกาแฟที่บางแห่งกลายเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” อย่างสตาร์บัคนั้น ที่จริง “ไม่ได้ขายกาแฟ” แต่ขายสถานที่นั่งชิว ๆ ดูมีรสนิยม อย่างไรก็ตาม ร้านกาแฟดัง ๆ เกิดใหม่ก็มีตลอดเวลา แต่ทั้งหมดนั้นไม่สามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกได้ เพราะรสชาดกาแฟนั้น “เหมือน ๆ กัน”
ขนมและอาหารมื้อหลักนั้น มีความหลากหลายมาก คนกินที่ภัตตาคารหรือซื้อขนมไปกินที่บ้านนั้น มักจะไม่ค่อยกินซ้ำติดต่อกัน คนจะเปลี่ยนอาหารและขนมไปเรื่อย รสที่ยีนชอบก็คือ หวาน มัน เค็ม สินค้าที่คนชอบกินและขายดีเมื่อ “อิ่มตัว” ก็จะโตต่อยาก เพราะคนที่ชอบก็จะไม่เพิ่มอัตราที่จะกิน เขาจะไปกินอาหารหรือขนมอื่นแทน
นาน ๆ ก็จะมีสินค้าอาหารที่ขายดีระเบิดและกลายเป็น “แฟชั่น” เช่นครั้งหนึ่งก็จะมีโดนัทคริสปี้ครีมที่ “หวานมาก” และคนแห่ไปเข้าคิวจองซื้อกลับบ้านหรือไปฝากเพื่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะกลับมาขายได้ตามปกติระดับหนึ่ง เช่นเดียวกับอาหารที่บางครั้งก็จะมีประเภท “ไก่ทอดยอดฮิตเกาหลี” เข้ามาเปิดตลาดแล้วก็ “ขายระเบิด” แต่หลังจากนั้นไม่นานคนก็แทบจะเลิกกิน เช่นเดียวกัน ในช่วงหนึ่งร้าน “หมูกระทะ” บูม คนก็เข้าไปกินกันแน่น พอผ่านมาซักพักก็ต้องปิดตัวลง ส่วนหนึ่งเพราะคนอื่นเลียนแบบได้ใกล้เคียงมาก
ข้อสรุปก็คือ เวลาวิเคราะห์หุ้นของกินไม่ว่าจะเป็นอาหาร ขนม หรือน้ำ ก็จะต้องดูว่ายีนเราคิดอย่างไรกับมัน หุ้นตัวนั้นขายสินค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแค่ไหน คู่แข่งเข้ามาแข่งขันได้มากน้อยแค่ไหน อาหารมีสารที่ทำให้เสพติดหรือไม่ ช่องทางการขายมีส่วนในการแข่งขันแค่ไหน ปัจจัยอื่น ๆ เช่นเรื่องของความเป็นแฟชั่นมีผลอย่างไร และสุดท้ายแล้ว ราคาของหุ้นสมเหตุผลไหม
โดยทั่วไป หุ้นของกินนั้นจะมีอำนาจทางการตลาดไม่มากยกเว้นว่าคนเสพติดสารในอาหารบวกกับภาพลักษณ์ที่สินค้าได้สร้างไว้ยาวนาน ดังนั้น หุ้นอาหารและเครื่องดื่มในตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสที่จะเป็นหุ้นระดับซุปเปอร์สต็อกน้อย หุ้นที่เติบโตและมีกำไรดีส่วนมากเป็น “แฟชั่น” หรือเป็นสถานการณ์ “ชั่วคราว” และจะกลับมาสู่สภาพที่เป็นจริงในที่สุด ดังนั้น ราคาหุ้นก็ไม่ควรจะแพง ผมคิดว่าระดับ 20 เท่าก็สูงแล้ว
8 ก.พ 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
https://www.blockdit.com/posts/67a723581b41da8ab87dc509