การสร้างกระแสข่าวเกี่ยวกับสงครามใหญ่หรือภัยคุกคามระดับโลกบ่อยครั้ง กลุ่มที่ได้ประโยชน์หลัก ๆ มีดังนี้
1. อุตสาหกรรมอาวุธและความมั่นคง
- บริษัทผู้ผลิตอาวุธ เช่น Lockheed Martin, Raytheon, Boeing, Northrop Grumman จะได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นจากรัฐบาล
- ธุรกิจป้องกันประเทศ เช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
2. ธุรกิจพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ)
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซสูงขึ้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น Saudi Aramco, ExxonMobil, Gazprom
- ธุรกิจพลังงานทางเลือกก็อาจได้ผลดี เพราะหลายประเทศอาจหันไปพึ่งพาพลังงานสะอาดมากขึ้น
3. ตลาดทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัย
- นักลงทุนมักโยกเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เงิน สวิสฟรังก์ หรือพันธบัตรรัฐบาล
- กองทุนที่ลงทุนในทองคำหรือ ETFs เช่น SPDR Gold Trust อาจเติบโต
4. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ (จะสูงขึ้นอีกถ้ามีข่าวโรคระบาดร่วมด้วย)
- บริษัทผลิตวัคซีน ยา และเวชภัณฑ์ เช่น Pfizer, Moderna, Roche, Gilead Sciences
- ธุรกิจอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก PPE ก็จะได้รับผลประโยชน์
5. สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย
- ข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกทำให้คนติดตามข่าวเยอะขึ้น สื่อหลักและแพลตฟอร์มออนไลน์อาจมีรายได้จากโฆษณามากขึ้น
- บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เช่น Google, Meta, Twitter อาจได้ประโยชน์จาก engagement ที่สูงขึ้น
6. อุตสาหกรรมการเงิน (โดยเฉพาะนักลงทุนสายเก็งกำไร)
- กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ short selling หรือทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
- ธุรกิจคริปโตบางกลุ่ม เช่น Bitcoin ที่มักถูกมองเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ในช่วงวิกฤติ
7. บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์
- หากความขัดแย้งเป็นเชิงดิจิทัล เช่น สงครามไซเบอร์ บริษัทที่ให้บริการความปลอดภัยข้อมูล เช่น Palo Alto Networks, CrowdStrike จะได้รับความสนใจ
โดยรวมแล้ว เวลามีกระแสข่าวสงครามหรือวิกฤติรุนแรง มันมักส่งผลให้เกิด “เงินไหลเข้า-เงินไหลออก” (Capital Flow) อย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนบางกลุ่มจึงสามารถทำกำไรจากสถานการณ์นี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาวางตัวอยู่ฝั่งไหนของตลาด
แต่ถ้ากระแสข่าวถูก “สร้าง” ขึ้นมา จุดประสงค์ก็มักเกี่ยวข้องกับ
- การผลักดันงบประมาณกลาโหม (ให้รัฐบาลซื้ออาวุธเพิ่ม)
- การปั่นตลาดการเงิน (ให้เกิด panic buy หรือ panic sell)
- การควบคุมประชาชน (สร้างความกลัวเพื่อดึงความสนใจจากประเด็นอื่น)
. . .
สโคปมาที่ทองคำและ Bitcoin
1. กลุ่มขายทองคำ (Gold Investors & Dealers)
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่น นักเก็งกำไรในตลาดทองคำ, ธุรกิจร้านทอง, บริษัทเหมืองทอง, และกองทุนทองคำ (Gold ETFs) จะได้ประโยชน์จากกระแสข่าวสงครามหรือวิกฤติในลักษณะต่อไปนี้
✅ ราคาทองพุ่งสูงขึ้น – ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เมื่อนักลงทุนกลัวว่าเศรษฐกิจจะพัง พวกเขามักจะโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) ไปซื้อทอง ทำให้ราคาทองขึ้น
✅ ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น – ไม่ใช่แค่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ประชาชนทั่วไปอาจแห่ซื้อทองเก็บไว้เป็นทรัพย์สิน หรือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่อาจอ่อนค่าหากเกิดสงคราม
✅ ธุรกิจร้านทองมีกำไรจากค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคา – ร้านทองและบริษัทค้าทองสามารถทำกำไรจากการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษาทอง
✅ ETF ทองคำเติบโต – กองทุนที่ลงทุนในทองคำ (เช่น SPDR Gold Trust) จะมีเม็ดเงินไหลเข้า ทำให้ราคาสูงขึ้นอีก
2. กลุ่ม Bitcoin และคริปโต (Crypto Investors & Miners)
Bitcoin มักถูกเปรียบเทียบกับทองคำว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” (Digital Gold) ทำให้ได้รับประโยชน์จากข่าวสงครามหรือวิกฤติคล้าย ๆ กับทองคำ แต่มีความแตกต่างอยู่
✅ Bitcoin ถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือก – เมื่อตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนบางส่วนอาจโยกเงินเข้าคริปโต โดยเฉพาะ BTC เพราะไม่มีใครควบคุม (Decentralized) ต่างจากเงินสกุลหลักที่อาจถูกแทรกแซงจากรัฐบาล
✅ กระแสเงินไหลเข้าคริปโตมากขึ้น – นักลงทุนที่ไม่มั่นใจในธนาคารหรือระบบการเงินแบบดั้งเดิม อาจเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นคริปโต เช่น BTC หรือ USDT เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะสงคราม
✅ ราคาคริปโตอาจผันผวนอย่างหนัก – ต่างจากทองที่ค่อนข้างนิ่งกว่า Bitcoin มักมีการแกว่งของราคาสูง เพราะนักลงทุนเก็งกำไรและมีคนใช้ข่าวเพื่อปั่นราคา
✅ การใช้คริปโตในประเทศที่มีปัญหาทางการเงินเพิ่มขึ้น – ถ้ามีสงครามหรือมาตรการคว่ำบาตร (เช่น รัสเซีย, อิหร่าน) คนในประเทศเหล่านั้นอาจใช้คริปโตในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแทน
สรุปว่าใครได้ประโยชน์มากกว่ากัน?
- ถ้าข่าวทำให้คน “กลัว” และต้องการเก็บมูลค่า → ทองคำจะได้ประโยชน์มากกว่า
- ถ้าข่าวทำให้คน “ไม่เชื่อมั่น” ในระบบการเงินและธนาคาร → Bitcoin อาจพุ่งขึ้น
แต่บางครั้ง ราคาทองคำกับ Bitcoin อาจขึ้นพร้อมกัน เพราะคนมองว่าเป็นทางเลือกในการปกป้องมูลค่าเงินจากวิกฤติ อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังมีความผันผวนสูงกว่าทอง จึงมีความเสี่ยงที่ราคาจะร่วงแรงหากกระแสข่าวเปลี่ยนไป
. . .
ข้อมูล / ข้อคิดตรงนี้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ทุกด้านนะครับ
การสร้างกระแสข่าว “สงครามโลก” / “สงครามนิวเคลียร์” กลุ่มที่ได้ประโยชน์คือ?
การสร้างกระแสข่าวเกี่ยวกับสงครามใหญ่หรือภัยคุกคามระดับโลกบ่อยครั้ง กลุ่มที่ได้ประโยชน์หลัก ๆ มีดังนี้
1. อุตสาหกรรมอาวุธและความมั่นคง
- บริษัทผู้ผลิตอาวุธ เช่น Lockheed Martin, Raytheon, Boeing, Northrop Grumman จะได้ออเดอร์เพิ่มขึ้นจากรัฐบาล
- ธุรกิจป้องกันประเทศ เช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
2. ธุรกิจพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ)
- ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ราคาน้ำมันและก๊าซสูงขึ้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์ เช่น Saudi Aramco, ExxonMobil, Gazprom
- ธุรกิจพลังงานทางเลือกก็อาจได้ผลดี เพราะหลายประเทศอาจหันไปพึ่งพาพลังงานสะอาดมากขึ้น
3. ตลาดทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัย
- นักลงทุนมักโยกเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ เงิน สวิสฟรังก์ หรือพันธบัตรรัฐบาล
- กองทุนที่ลงทุนในทองคำหรือ ETFs เช่น SPDR Gold Trust อาจเติบโต
4. อุตสาหกรรมยาและเวชภัณฑ์ (จะสูงขึ้นอีกถ้ามีข่าวโรคระบาดร่วมด้วย)
- บริษัทผลิตวัคซีน ยา และเวชภัณฑ์ เช่น Pfizer, Moderna, Roche, Gilead Sciences
- ธุรกิจอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากาก PPE ก็จะได้รับผลประโยชน์
5. สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดีย
- ข่าวที่สร้างความตื่นตระหนกทำให้คนติดตามข่าวเยอะขึ้น สื่อหลักและแพลตฟอร์มออนไลน์อาจมีรายได้จากโฆษณามากขึ้น
- บริษัทเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล เช่น Google, Meta, Twitter อาจได้ประโยชน์จาก engagement ที่สูงขึ้น
6. อุตสาหกรรมการเงิน (โดยเฉพาะนักลงทุนสายเก็งกำไร)
- กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใช้กลยุทธ์ short selling หรือทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
- ธุรกิจคริปโตบางกลุ่ม เช่น Bitcoin ที่มักถูกมองเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” ในช่วงวิกฤติ
7. บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์
- หากความขัดแย้งเป็นเชิงดิจิทัล เช่น สงครามไซเบอร์ บริษัทที่ให้บริการความปลอดภัยข้อมูล เช่น Palo Alto Networks, CrowdStrike จะได้รับความสนใจ
โดยรวมแล้ว เวลามีกระแสข่าวสงครามหรือวิกฤติรุนแรง มันมักส่งผลให้เกิด “เงินไหลเข้า-เงินไหลออก” (Capital Flow) อย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนบางกลุ่มจึงสามารถทำกำไรจากสถานการณ์นี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาวางตัวอยู่ฝั่งไหนของตลาด
แต่ถ้ากระแสข่าวถูก “สร้าง” ขึ้นมา จุดประสงค์ก็มักเกี่ยวข้องกับ
- การผลักดันงบประมาณกลาโหม (ให้รัฐบาลซื้ออาวุธเพิ่ม)
- การปั่นตลาดการเงิน (ให้เกิด panic buy หรือ panic sell)
- การควบคุมประชาชน (สร้างความกลัวเพื่อดึงความสนใจจากประเด็นอื่น)
. . .
สโคปมาที่ทองคำและ Bitcoin
1. กลุ่มขายทองคำ (Gold Investors & Dealers)
กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับทองคำ เช่น นักเก็งกำไรในตลาดทองคำ, ธุรกิจร้านทอง, บริษัทเหมืองทอง, และกองทุนทองคำ (Gold ETFs) จะได้ประโยชน์จากกระแสข่าวสงครามหรือวิกฤติในลักษณะต่อไปนี้
✅ ราคาทองพุ่งสูงขึ้น – ทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) เมื่อนักลงทุนกลัวว่าเศรษฐกิจจะพัง พวกเขามักจะโยกเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) ไปซื้อทอง ทำให้ราคาทองขึ้น
✅ ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้น – ไม่ใช่แค่นักลงทุนรายใหญ่ แต่ประชาชนทั่วไปอาจแห่ซื้อทองเก็บไว้เป็นทรัพย์สิน หรือป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่อาจอ่อนค่าหากเกิดสงคราม
✅ ธุรกิจร้านทองมีกำไรจากค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคา – ร้านทองและบริษัทค้าทองสามารถทำกำไรจากการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าธรรมเนียมในการเก็บรักษาทอง
✅ ETF ทองคำเติบโต – กองทุนที่ลงทุนในทองคำ (เช่น SPDR Gold Trust) จะมีเม็ดเงินไหลเข้า ทำให้ราคาสูงขึ้นอีก
2. กลุ่ม Bitcoin และคริปโต (Crypto Investors & Miners)
Bitcoin มักถูกเปรียบเทียบกับทองคำว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” (Digital Gold) ทำให้ได้รับประโยชน์จากข่าวสงครามหรือวิกฤติคล้าย ๆ กับทองคำ แต่มีความแตกต่างอยู่
✅ Bitcoin ถูกมองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยทางเลือก – เมื่อตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนบางส่วนอาจโยกเงินเข้าคริปโต โดยเฉพาะ BTC เพราะไม่มีใครควบคุม (Decentralized) ต่างจากเงินสกุลหลักที่อาจถูกแทรกแซงจากรัฐบาล
✅ กระแสเงินไหลเข้าคริปโตมากขึ้น – นักลงทุนที่ไม่มั่นใจในธนาคารหรือระบบการเงินแบบดั้งเดิม อาจเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นคริปโต เช่น BTC หรือ USDT เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะสงคราม
✅ ราคาคริปโตอาจผันผวนอย่างหนัก – ต่างจากทองที่ค่อนข้างนิ่งกว่า Bitcoin มักมีการแกว่งของราคาสูง เพราะนักลงทุนเก็งกำไรและมีคนใช้ข่าวเพื่อปั่นราคา
✅ การใช้คริปโตในประเทศที่มีปัญหาทางการเงินเพิ่มขึ้น – ถ้ามีสงครามหรือมาตรการคว่ำบาตร (เช่น รัสเซีย, อิหร่าน) คนในประเทศเหล่านั้นอาจใช้คริปโตในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศแทน
สรุปว่าใครได้ประโยชน์มากกว่ากัน?
- ถ้าข่าวทำให้คน “กลัว” และต้องการเก็บมูลค่า → ทองคำจะได้ประโยชน์มากกว่า
- ถ้าข่าวทำให้คน “ไม่เชื่อมั่น” ในระบบการเงินและธนาคาร → Bitcoin อาจพุ่งขึ้น
แต่บางครั้ง ราคาทองคำกับ Bitcoin อาจขึ้นพร้อมกัน เพราะคนมองว่าเป็นทางเลือกในการปกป้องมูลค่าเงินจากวิกฤติ อย่างไรก็ตาม Bitcoin ยังมีความผันผวนสูงกว่าทอง จึงมีความเสี่ยงที่ราคาจะร่วงแรงหากกระแสข่าวเปลี่ยนไป
. . .
ข้อมูล / ข้อคิดตรงนี้ นำไปใช้ประโยชน์ได้ทุกด้านนะครับ