คำเตือน: เรื่องราวที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นผลงานที่แต่งขึ้น ชื่อ ตัวละคร สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ ล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียน ความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ สถานที่ หรือบุคคลที่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว ถือเป็นเรื่องบังเอิญ
Warning: The story you are about to read is a work of fiction. Names, characters, places, and events are all the product of the author's imagination. Any resemblance to real events, places, or people, whether living or dead, is considered coincidental.
นี่คือเรื่องราวของต่างโลก ที่โลกนี้มีศาสนาใหญ่อยู่สามศาสนา คือศาสนากางเขนเลือด ศาสนาศิลาดำ และศาสนาวิหารธรรมะ
และในอดีตกาลก่อนหน้านี้ในดินแดนที่เป็นอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือดก็ได้มีเผ่าพันธุ์อยู่เผ่าพันธุ์หนึ่งชื่อว่า "สยิว" ซึ่งชนเผ่านี้ก็ได้ละเมิดคำสอนของศาสนากางเขนเลือดโดยหาเลี้ยงชีวิตด้วยการปล่อยเงินกู้ และการปล่อยเงินกู้นี้ศาสนากางเขนเลือดถือว่าเป็นบาป
จนมาวันหนึ่ง เมืองต่างๆในดินแดนอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือดก็ตกลงใจที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สยิวนั้น โดยยกเหตุว่าเผ่าพันธุ์สยิวเป็นเผ่าพันธุ์แห่งบาป
ชาวสยิวที่โดนไล่ฆ่าก็หนีตายอพยพไปดินแดนอื่นไกลจากดินแดนอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือด ไปที่เมืองหมีขาวบ้าง (White Bear City) ไปที่เมืองแดนศักดิ์สิทธิ์บ้าง (Holy Land City) และชาวสยิวส่วนหนึ่งก็ได้อพยพมาอยู่ที่เมืองอุษา (Usa City)
ชาวสยิวที่อพยพมาอยู่เมืองอุษานี้ได้ตั้งชื่อกลุ่มของตนว่า "ไส้อ่อน" (Saion) และพวกเขาก็รู้สึกโกรธแค้นชิงชังศาสนากางเขนเลือดเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงได้ก่อตั้งลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งขึ้น นั่นคือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ (Saionist) อันชาวโลกมักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าลัทธิบูชาซาตาน
สิ่งใดที่ศาสนากางเขนเลือดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีควรทำ ลัทธิบูชาซาตานจะเห็นตรงข้ามคือคิดล้มล้าง สิ่งใดที่ศาสนากางเขนเลือดเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่ควรทำ ลัทธิบูชาซาตานจะสนับสนุนให้สิ่งนั้นมีขึ้นมา
ที่เมืองอุษาชาวไส้อ่อนหรือเหล่าผู้บูชาซาตานก็ได้ทำมาหากินด้วยการค้าน้ำมัน อีกทั้งยังทำมาหากินด้วยอาชีพที่ศาสนากางเขนเลือดรังเกียจ ทั้งค้าอาวุธสงคราม และปล่อยเงินกู้ เป็นต้น จนชาวไส้อ่อนร่ำรวยเงินทองและมีอิทธิพลอย่างมากในเมืองอุษา
จากนั้นชาวไส้อ่อนก็คิดค้นระบอบการปกครองแบบใหม่ขึ้นนั่นคือการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ชาวไส้อ่อนวางแผนจะครองโลก!! และวางแผนจะกำจัดศาสนากางเขนเลือด!!
แผนการจะเริ่มต้นที่ล้มล้างการปกครองระบอบราชาธิปไตย และเปลี่ยนให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย!!
และแน่นอนแม้การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะถูกโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นระบอบการปกครองของชาวไส้อ่อน โดยชาวไส้อ่อน และเพื่อชาวไส้อ่อนต่างหาก!!
บรรดาผู้สมัครเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นชาวไส้อ่อน อยู่ใต้การบังคับบัญชาของชาวไส้อ่อน หรือนับถือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ ผู้ใดไม่ใช่ ผู้นั้นต้องถูกกำจัดหรือถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนในการบริหารบ้านเมือง
เมืองทั่วโลกทั้งใหญ่น้อยต้องมีผู้นำเป็นชาวไส้อ่อน!! และเหล่าตระกูลราชาที่ผูกขาดสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองก็คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่ของแผนการครองโลกใบนี้ของพวกเขา
ดังนั้นก่อนที่ชาวไส้อ่อนจะได้กำจัดศาสนากางเขนเลือดที่พวกตนชิงชัง เหล่าตระกูลราชาทั้งหลายในโลกจึงต้องถูกกำจัดเสียก่อน!!
กาลเวลาผ่านไป ตระกูลราชาส่วนใหญ่ในโลกก็ถูกลัทธิไส้อ่อนนิสต์กำจัด ตระกูลราชาที่เหลือรอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนั้นก็เหลืออยู่น้อยเต็มที เมืองต่างๆในโลกส่วนมากก็ถูกปกครองในระบอบประชาธิปไตย บางเมืองก็ถูกชาวไส้อ่อนแทรกแซงแอบส่งคนของไส้อ่อนนิสต์เข้ามาเป็นผู้นำอย่างเมืองหมีน้อย (Little Bear City) บางเมืองแม้ผู้นำไม่ใช่ชาวไส้อ่อนและได้ชื่อว่ายังเป็นเอกราช แต่โดยทางพฤตินัยแล้วก็นับว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองอุษาดี ๆ นี่เอง อาทิเช่น เมืองกิมจิ (Kimchi City) และเมืองสาเก (Sake City) เป็นต้น
ชาวลัทธิไส้อ่อนนิสต์ที่ตอนแรกคิดแต่กำจัดศาสนากางเขนเลือดก็ขยายเป้าหมายไปที่การกำจัดศาสนาศิลาดำและศาสนาวิหารธรรมะเพิ่มขึ้นด้วย เพราะทุกศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดีนั้นมันเป็นอุปสรรคในการครองโลกของชาวไส้อ่อน อีกทั้งเป็นความเชื่อที่ขัดต่อลัทธิบูชาซาตาน
หากประชาชนในเมืองต่างๆทุกคนเป็นคนดีมีความคิดแล้ว ลัทธิไส้อ่อนนิสต์จะยึดครองเมืองเหล่านั้นได้อย่างไร? ลัทธิไส้อ่อนนิสต์ประสงค์ให้ประชาชนในเมืองเหล่านั้นชั่วร้าย ยากจน เห็นแก่ตัว ไร้ความคิด หูเบาและโง่เขลาต่างหาก และนั่นจะเป็นเรื่องง่ายในการยึดครองเมืองเหล่านั้น
กลับมาที่ปัจจุบันอันเป็นยุคสมัยที่ผู้ปกครองเมืองอุษามีชื่อว่านายโจ ใบไม้เด่น และมีรองเจ้าเมืองชื่อว่านางสาวกลับไม่ลา แหกจารีต
ณ คฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่งในเมืองอุษา บัดนี้ได้มีผู้นำและนักการเมืองขายชาติจากเมืองน้อยใหญ่ต่างๆในโลกมารวมตัวกัน พวกเขาต่างถือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าลัทธิบูชาซาตาน
ที่ห้องโถงแห่งลัทธิไส้อ่อนนิสต์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้มีการทำพิธีอย่างหนึ่งขึ้น นั่นคือพิธีถวายอาหารให้องค์ซาตานที่อยู่ในแดนนรก เดิมอาหารของซาตานในพิธีก็คือบาปกรรมอันชั่วร้ายที่ว่าไว้ในคำสอนของศาสนากางเขนเลือด บัดนี้อาหารเหล่านั้นได้ขยายไปรวมถึงบาปกรรมอันชั่วร้ายของศาสนาใหญ่ในโลกทั้งสามศาสนา
เหล่าผู้นำและนักการเมืองภายใต้สังกัดของชาวไส้อ่อนต่างแสดงตนแล้วกล่าวถวายผลงานบาปกรรมของตนแด่องค์ซาตาน โดยเริ่มจากนายโจ ใบไม้เด่น เจ้าเมืองอุษา ใช่แล้ว...เจ้าเมืองอุษาก็เป็นพวกไส้อ่อนนิสต์ และเมืองอุษาก็คือศูนย์กลางใหญ่ของลัทธิไส้อ่อนนิสต์!!
ต่อจากนายโจ ใบไม้เด่น ก็เป็นนางสาวกลับไม่ลา แหกจารีต รองเจ้าเมืองอุษา และบรรดานักการเมืองอื่นแห่งเมืองอุษา พอจบเมืองอุษาก็เป็นเมืองอื่น เริ่มจากผู้นำของเมือง และรองเจ้าเมือง และนักการเมืองอื่นๆของเมืองนั้นๆ
และแล้วก็ถึงคราวนายเซ็น ไม่คิดจ่าย แห่งเมืองปราสาทหิน ( Stone Castle City) ออกมาถวายอาหารให้แก่องค์ซาตาน
"ข้าแต่องค์ซาตาน ตัวข้านายเซ็น ไม่คิดจ่าย เจ้าเมืองปราสาทหิน ขอบูชาท่านด้วยผลงานทำเมืองปราสาทหินให้มีบ่อนการพนัน เป็นศูนย์กลางการหลอกลวงและอาชญากรรม เป็นดินแดนฝันร้ายของนักท่องเที่ยว ทั้งยังขยายความชั่วร้ายไปยังบ้านเมืองอื่นด้วยขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ผลงานโดดเด่นของข้าก็คือการล้างสมองชาวเมือง ให้ยินดีในการลักขโมย และภูมิใจในการลักขโมย ชาวปราสาทหินได้ขโมยศิลปวัฒนธรรมของเมืองขวานทอง (Golden Axe City) มีชุดประจำชาติและอาหารโบราณทั้งคาวหวาน โดยอ้างว่าทั้งชุดประจำชาติและอาหารโบราณนั้นเดิมชาวเมืองปราสาทหินเป็นผู้คิดขึ้น และชาวเมืองขวานทองเป็นผู้ลอกเลียน ซึ่งเป็นเนื้อความอันเป็นเท็จแน่แท้ และเป็นการกระทำโดยที่ชาวเมืองปราสาทหินไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย!!"
เมื่อนายเซ็นกล่าวคำถวายอาหารแก่องค์ซาตานจบก็เรียกเสียงฮือฮาต่อสมาชิกไส้อ่อนนิสต์โดยรอบ ช่างเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร
นายเซ็นที่ถวายอาหารเสร็จแล้วก็หลีกทางให้สมาชิกลัทธิคนอื่นจากเมืองปราสาทหินกล่าวคำถวายอาหารต่อ และขณะนั้นเองเหล่ามิตรสหายของนายเซ็นต่างก็มาร่วมแสดงความยินดี โดยเฉพาะสมาชิกลัทธิจากเมืองขวานทอง
"เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เซ็น!" นายเหลี่ยม ชินโกงกิน อดีตเจ้าเมืองขวานทองพูดขึ้น
"ส่วนหนึ่งก็เพราะความร่วมมือของเจ้านั่นแหละเหลี่ยม...โอ้ ว่าแต่เรื่องเกาะบูดและอาณาเขตท้องทะเลขวานทองว่าอย่างไร มีทางไหนบ้างที่เจ้าจะหาทางแบ่งดินแดนเมืองขวานทองมาให้ข้า?" นายเซ็น ไม่คิดจ่ายกล่าวถามขึ้น
"ใจเย็นๆเซ็น อีกไม่นานหรอก เรื่องนี้ข้ากำลังให้ลูกน้องข้าดำเนินการอยู่" นายเหลี่ยมตอบ
ในขณะนั้นเองอยู่ๆนายเหลี่ยมก็เกิดตดขึ้นเสียงดังป๊าด อุ้ยตาย!! มีขี้ออกมาด้วย นายเหลี่ยมขี้แตกเลอะกางเกงเสียแล้ว
"แป๊บนะเซ็น ข้าขี้แตก...เอ้า บรรดาสื่อสุนัขรับใช้ทั้งหลายจงมาเลียขี้ที่เลอะกางเกงข้า"
เมื่อนายเหลี่ยมพูดจบ ก็มีนักข่าวของเมืองขวานทองสองสามรายเดินไปที่นายเหลี่ยม จากนั้นนักข่าวเหล่านั้นก็ก้มลง...เลียตูดนายเหลี่ยม
"อ้าว...ท่านเหลี่ยม นี่ท่านขี้แตกหรือนี่?" มีเสียงหนึ่งทักขึ้น
เมื่อนายเหลี่ยมหันไปก็พบคู่แข่งของตนซึ่งเป็นนักการเมืองจากเมืองขวานทอง นั่นคือนายกัญชา มอมเมาเด็ก เดินลากหางสีน้ำเงินเดินตรงมา
ต้องขออธิบายก่อนว่าที่โลกแห่งนี้บรรดานักการเมืองทั้งหลายเมื่อเล่นการเมืองไปชั่วเวลาหนึ่งมักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ โดยจากเดิมมีร่างกายเป็นมนุษย์ก็พลันมีเกล็ดสีเงินสีทองขึ้นตามตัวและมีหางงอกออกมา ซึ่งหางนี้ก็มีหลายสี นายเหลี่ยมมีหางสีแดง ขณะที่นายกัญชามีหางสีน้ำเงิน
"ใช่แล้วท่านกัญชา ข้าขี้แตก ตอนนี้ข้ากำลังให้สื่อในสังกัดทำความสะอาดให้ข้าอยู่" นายเหลี่ยมตอบ
"โอ้...ท่านเหลี่ยม ท่านขี้แตกเหม็นมาก" มีเสียงดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เมื่อนายเหลี่ยมหันไปก็พบกับคู่แข่งของตนที่เมืองขวานทองอีกสองคน คือ นายทอน จึงล้มเจ้า และนายพิโธ่ ชอบเตะเมีย ทั้งคู่ต่างก็เดินลากหางสีส้มเข้ามาหานายเหลี่ยม
"ให้ข้าช่วยท่านแล้วกัน รู้สึกสุนัขรับใช้ของท่านยังเลียได้ไม่ค่อยชำนาญ" นายทอนพูดพลางดีดนิ้วเรียกนักข่าวในสังกัด
ไม่นานนักก็มีนักข่าวอาวุโสใส่แว่นพร้อมทั้งนักข่าวอีกสองสามคนเดินไปที่นายเหลี่ยมพร้อมก้มลง...เลียตูด
"ข้าพึ่งใช้เงินฟาดซื้อตัวมาน่ะท่านทอน ท่านพิโธ่ นี่ทางซ้ายเจ้าเนเน่ ทางขวาเจ้าท๊อปวิว ทั้งสองตัวยังพึ่งหัดเลีย ฝีมือเลียยังไม่ค่อยเก่ง" นายเหลี่ยมตอบพร้อมยิ้มอารมณ์ดี
ทันใดนั้นนายเหลี่ยมก็ครางเสียงแปลกๆ
"โอ้...นี่มันฝีมือเลียของผู้ใดละนี่ ช่างล้ำลึกเสียนี่กระไร อ้าว...นี่มันนายเสร่อ ชอบเล่าเรื่อง นักข่าวในตำนานนี่นา!"
"ฮ่าๆ ใช่แล้วท่านเหลี่ยม สุนัขที่กำลังเลียตูดท่านก็คืออดีตนักข่าวในตำนาน นายเสร่อ ชอบเล่าเรื่อง ซึ่งบัดนี้ก็คือขี้ข้าในสังกัดของพวกข้า" นายพิโธ่ มือขวาของนายทอนบอกอย่างอารมณ์ดี
นิทานสะท้านโลก ลัทธิบูชาซาตาน
Warning: The story you are about to read is a work of fiction. Names, characters, places, and events are all the product of the author's imagination. Any resemblance to real events, places, or people, whether living or dead, is considered coincidental.
นี่คือเรื่องราวของต่างโลก ที่โลกนี้มีศาสนาใหญ่อยู่สามศาสนา คือศาสนากางเขนเลือด ศาสนาศิลาดำ และศาสนาวิหารธรรมะ
และในอดีตกาลก่อนหน้านี้ในดินแดนที่เป็นอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือดก็ได้มีเผ่าพันธุ์อยู่เผ่าพันธุ์หนึ่งชื่อว่า "สยิว" ซึ่งชนเผ่านี้ก็ได้ละเมิดคำสอนของศาสนากางเขนเลือดโดยหาเลี้ยงชีวิตด้วยการปล่อยเงินกู้ และการปล่อยเงินกู้นี้ศาสนากางเขนเลือดถือว่าเป็นบาป
จนมาวันหนึ่ง เมืองต่างๆในดินแดนอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือดก็ตกลงใจที่จะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สยิวนั้น โดยยกเหตุว่าเผ่าพันธุ์สยิวเป็นเผ่าพันธุ์แห่งบาป
ชาวสยิวที่โดนไล่ฆ่าก็หนีตายอพยพไปดินแดนอื่นไกลจากดินแดนอาณาเขตของศาสนากางเขนเลือด ไปที่เมืองหมีขาวบ้าง (White Bear City) ไปที่เมืองแดนศักดิ์สิทธิ์บ้าง (Holy Land City) และชาวสยิวส่วนหนึ่งก็ได้อพยพมาอยู่ที่เมืองอุษา (Usa City)
ชาวสยิวที่อพยพมาอยู่เมืองอุษานี้ได้ตั้งชื่อกลุ่มของตนว่า "ไส้อ่อน" (Saion) และพวกเขาก็รู้สึกโกรธแค้นชิงชังศาสนากางเขนเลือดเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงได้ก่อตั้งลัทธิความเชื่ออย่างหนึ่งขึ้น นั่นคือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ (Saionist) อันชาวโลกมักเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าลัทธิบูชาซาตาน
สิ่งใดที่ศาสนากางเขนเลือดเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีควรทำ ลัทธิบูชาซาตานจะเห็นตรงข้ามคือคิดล้มล้าง สิ่งใดที่ศาสนากางเขนเลือดเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ดีไม่ควรทำ ลัทธิบูชาซาตานจะสนับสนุนให้สิ่งนั้นมีขึ้นมา
ที่เมืองอุษาชาวไส้อ่อนหรือเหล่าผู้บูชาซาตานก็ได้ทำมาหากินด้วยการค้าน้ำมัน อีกทั้งยังทำมาหากินด้วยอาชีพที่ศาสนากางเขนเลือดรังเกียจ ทั้งค้าอาวุธสงคราม และปล่อยเงินกู้ เป็นต้น จนชาวไส้อ่อนร่ำรวยเงินทองและมีอิทธิพลอย่างมากในเมืองอุษา
จากนั้นชาวไส้อ่อนก็คิดค้นระบอบการปกครองแบบใหม่ขึ้นนั่นคือการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ชาวไส้อ่อนวางแผนจะครองโลก!! และวางแผนจะกำจัดศาสนากางเขนเลือด!!
แผนการจะเริ่มต้นที่ล้มล้างการปกครองระบอบราชาธิปไตย และเปลี่ยนให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย!!
และแน่นอนแม้การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะถูกโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นระบอบการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน แต่ในความเป็นจริงมันเป็นระบอบการปกครองของชาวไส้อ่อน โดยชาวไส้อ่อน และเพื่อชาวไส้อ่อนต่างหาก!!
บรรดาผู้สมัครเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นชาวไส้อ่อน อยู่ใต้การบังคับบัญชาของชาวไส้อ่อน หรือนับถือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ ผู้ใดไม่ใช่ ผู้นั้นต้องถูกกำจัดหรือถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนในการบริหารบ้านเมือง
เมืองทั่วโลกทั้งใหญ่น้อยต้องมีผู้นำเป็นชาวไส้อ่อน!! และเหล่าตระกูลราชาที่ผูกขาดสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองก็คือก้างขวางคอชิ้นใหญ่ของแผนการครองโลกใบนี้ของพวกเขา
ดังนั้นก่อนที่ชาวไส้อ่อนจะได้กำจัดศาสนากางเขนเลือดที่พวกตนชิงชัง เหล่าตระกูลราชาทั้งหลายในโลกจึงต้องถูกกำจัดเสียก่อน!!
กาลเวลาผ่านไป ตระกูลราชาส่วนใหญ่ในโลกก็ถูกลัทธิไส้อ่อนนิสต์กำจัด ตระกูลราชาที่เหลือรอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนั้นก็เหลืออยู่น้อยเต็มที เมืองต่างๆในโลกส่วนมากก็ถูกปกครองในระบอบประชาธิปไตย บางเมืองก็ถูกชาวไส้อ่อนแทรกแซงแอบส่งคนของไส้อ่อนนิสต์เข้ามาเป็นผู้นำอย่างเมืองหมีน้อย (Little Bear City) บางเมืองแม้ผู้นำไม่ใช่ชาวไส้อ่อนและได้ชื่อว่ายังเป็นเอกราช แต่โดยทางพฤตินัยแล้วก็นับว่าเป็นเมืองขึ้นของเมืองอุษาดี ๆ นี่เอง อาทิเช่น เมืองกิมจิ (Kimchi City) และเมืองสาเก (Sake City) เป็นต้น
ชาวลัทธิไส้อ่อนนิสต์ที่ตอนแรกคิดแต่กำจัดศาสนากางเขนเลือดก็ขยายเป้าหมายไปที่การกำจัดศาสนาศิลาดำและศาสนาวิหารธรรมะเพิ่มขึ้นด้วย เพราะทุกศาสนาที่สอนให้คนเป็นคนดีนั้นมันเป็นอุปสรรคในการครองโลกของชาวไส้อ่อน อีกทั้งเป็นความเชื่อที่ขัดต่อลัทธิบูชาซาตาน
หากประชาชนในเมืองต่างๆทุกคนเป็นคนดีมีความคิดแล้ว ลัทธิไส้อ่อนนิสต์จะยึดครองเมืองเหล่านั้นได้อย่างไร? ลัทธิไส้อ่อนนิสต์ประสงค์ให้ประชาชนในเมืองเหล่านั้นชั่วร้าย ยากจน เห็นแก่ตัว ไร้ความคิด หูเบาและโง่เขลาต่างหาก และนั่นจะเป็นเรื่องง่ายในการยึดครองเมืองเหล่านั้น
กลับมาที่ปัจจุบันอันเป็นยุคสมัยที่ผู้ปกครองเมืองอุษามีชื่อว่านายโจ ใบไม้เด่น และมีรองเจ้าเมืองชื่อว่านางสาวกลับไม่ลา แหกจารีต
ณ คฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่งในเมืองอุษา บัดนี้ได้มีผู้นำและนักการเมืองขายชาติจากเมืองน้อยใหญ่ต่างๆในโลกมารวมตัวกัน พวกเขาต่างถือลัทธิไส้อ่อนนิสต์ที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าลัทธิบูชาซาตาน
ที่ห้องโถงแห่งลัทธิไส้อ่อนนิสต์อันศักดิ์สิทธิ์ ได้มีการทำพิธีอย่างหนึ่งขึ้น นั่นคือพิธีถวายอาหารให้องค์ซาตานที่อยู่ในแดนนรก เดิมอาหารของซาตานในพิธีก็คือบาปกรรมอันชั่วร้ายที่ว่าไว้ในคำสอนของศาสนากางเขนเลือด บัดนี้อาหารเหล่านั้นได้ขยายไปรวมถึงบาปกรรมอันชั่วร้ายของศาสนาใหญ่ในโลกทั้งสามศาสนา
เหล่าผู้นำและนักการเมืองภายใต้สังกัดของชาวไส้อ่อนต่างแสดงตนแล้วกล่าวถวายผลงานบาปกรรมของตนแด่องค์ซาตาน โดยเริ่มจากนายโจ ใบไม้เด่น เจ้าเมืองอุษา ใช่แล้ว...เจ้าเมืองอุษาก็เป็นพวกไส้อ่อนนิสต์ และเมืองอุษาก็คือศูนย์กลางใหญ่ของลัทธิไส้อ่อนนิสต์!!
ต่อจากนายโจ ใบไม้เด่น ก็เป็นนางสาวกลับไม่ลา แหกจารีต รองเจ้าเมืองอุษา และบรรดานักการเมืองอื่นแห่งเมืองอุษา พอจบเมืองอุษาก็เป็นเมืองอื่น เริ่มจากผู้นำของเมือง และรองเจ้าเมือง และนักการเมืองอื่นๆของเมืองนั้นๆ
และแล้วก็ถึงคราวนายเซ็น ไม่คิดจ่าย แห่งเมืองปราสาทหิน ( Stone Castle City) ออกมาถวายอาหารให้แก่องค์ซาตาน
"ข้าแต่องค์ซาตาน ตัวข้านายเซ็น ไม่คิดจ่าย เจ้าเมืองปราสาทหิน ขอบูชาท่านด้วยผลงานทำเมืองปราสาทหินให้มีบ่อนการพนัน เป็นศูนย์กลางการหลอกลวงและอาชญากรรม เป็นดินแดนฝันร้ายของนักท่องเที่ยว ทั้งยังขยายความชั่วร้ายไปยังบ้านเมืองอื่นด้วยขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ผลงานโดดเด่นของข้าก็คือการล้างสมองชาวเมือง ให้ยินดีในการลักขโมย และภูมิใจในการลักขโมย ชาวปราสาทหินได้ขโมยศิลปวัฒนธรรมของเมืองขวานทอง (Golden Axe City) มีชุดประจำชาติและอาหารโบราณทั้งคาวหวาน โดยอ้างว่าทั้งชุดประจำชาติและอาหารโบราณนั้นเดิมชาวเมืองปราสาทหินเป็นผู้คิดขึ้น และชาวเมืองขวานทองเป็นผู้ลอกเลียน ซึ่งเป็นเนื้อความอันเป็นเท็จแน่แท้ และเป็นการกระทำโดยที่ชาวเมืองปราสาทหินไม่รู้สึกละอายแม้แต่น้อย!!"
เมื่อนายเซ็นกล่าวคำถวายอาหารแก่องค์ซาตานจบก็เรียกเสียงฮือฮาต่อสมาชิกไส้อ่อนนิสต์โดยรอบ ช่างเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร
นายเซ็นที่ถวายอาหารเสร็จแล้วก็หลีกทางให้สมาชิกลัทธิคนอื่นจากเมืองปราสาทหินกล่าวคำถวายอาหารต่อ และขณะนั้นเองเหล่ามิตรสหายของนายเซ็นต่างก็มาร่วมแสดงความยินดี โดยเฉพาะสมาชิกลัทธิจากเมืองขวานทอง
"เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เซ็น!" นายเหลี่ยม ชินโกงกิน อดีตเจ้าเมืองขวานทองพูดขึ้น
"ส่วนหนึ่งก็เพราะความร่วมมือของเจ้านั่นแหละเหลี่ยม...โอ้ ว่าแต่เรื่องเกาะบูดและอาณาเขตท้องทะเลขวานทองว่าอย่างไร มีทางไหนบ้างที่เจ้าจะหาทางแบ่งดินแดนเมืองขวานทองมาให้ข้า?" นายเซ็น ไม่คิดจ่ายกล่าวถามขึ้น
"ใจเย็นๆเซ็น อีกไม่นานหรอก เรื่องนี้ข้ากำลังให้ลูกน้องข้าดำเนินการอยู่" นายเหลี่ยมตอบ
ในขณะนั้นเองอยู่ๆนายเหลี่ยมก็เกิดตดขึ้นเสียงดังป๊าด อุ้ยตาย!! มีขี้ออกมาด้วย นายเหลี่ยมขี้แตกเลอะกางเกงเสียแล้ว
"แป๊บนะเซ็น ข้าขี้แตก...เอ้า บรรดาสื่อสุนัขรับใช้ทั้งหลายจงมาเลียขี้ที่เลอะกางเกงข้า"
เมื่อนายเหลี่ยมพูดจบ ก็มีนักข่าวของเมืองขวานทองสองสามรายเดินไปที่นายเหลี่ยม จากนั้นนักข่าวเหล่านั้นก็ก้มลง...เลียตูดนายเหลี่ยม
"อ้าว...ท่านเหลี่ยม นี่ท่านขี้แตกหรือนี่?" มีเสียงหนึ่งทักขึ้น
เมื่อนายเหลี่ยมหันไปก็พบคู่แข่งของตนซึ่งเป็นนักการเมืองจากเมืองขวานทอง นั่นคือนายกัญชา มอมเมาเด็ก เดินลากหางสีน้ำเงินเดินตรงมา
ต้องขออธิบายก่อนว่าที่โลกแห่งนี้บรรดานักการเมืองทั้งหลายเมื่อเล่นการเมืองไปชั่วเวลาหนึ่งมักเกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ โดยจากเดิมมีร่างกายเป็นมนุษย์ก็พลันมีเกล็ดสีเงินสีทองขึ้นตามตัวและมีหางงอกออกมา ซึ่งหางนี้ก็มีหลายสี นายเหลี่ยมมีหางสีแดง ขณะที่นายกัญชามีหางสีน้ำเงิน
"ใช่แล้วท่านกัญชา ข้าขี้แตก ตอนนี้ข้ากำลังให้สื่อในสังกัดทำความสะอาดให้ข้าอยู่" นายเหลี่ยมตอบ
"โอ้...ท่านเหลี่ยม ท่านขี้แตกเหม็นมาก" มีเสียงดังขึ้นอีกเสียงหนึ่ง เมื่อนายเหลี่ยมหันไปก็พบกับคู่แข่งของตนที่เมืองขวานทองอีกสองคน คือ นายทอน จึงล้มเจ้า และนายพิโธ่ ชอบเตะเมีย ทั้งคู่ต่างก็เดินลากหางสีส้มเข้ามาหานายเหลี่ยม
"ให้ข้าช่วยท่านแล้วกัน รู้สึกสุนัขรับใช้ของท่านยังเลียได้ไม่ค่อยชำนาญ" นายทอนพูดพลางดีดนิ้วเรียกนักข่าวในสังกัด
ไม่นานนักก็มีนักข่าวอาวุโสใส่แว่นพร้อมทั้งนักข่าวอีกสองสามคนเดินไปที่นายเหลี่ยมพร้อมก้มลง...เลียตูด
"ข้าพึ่งใช้เงินฟาดซื้อตัวมาน่ะท่านทอน ท่านพิโธ่ นี่ทางซ้ายเจ้าเนเน่ ทางขวาเจ้าท๊อปวิว ทั้งสองตัวยังพึ่งหัดเลีย ฝีมือเลียยังไม่ค่อยเก่ง" นายเหลี่ยมตอบพร้อมยิ้มอารมณ์ดี
ทันใดนั้นนายเหลี่ยมก็ครางเสียงแปลกๆ
"โอ้...นี่มันฝีมือเลียของผู้ใดละนี่ ช่างล้ำลึกเสียนี่กระไร อ้าว...นี่มันนายเสร่อ ชอบเล่าเรื่อง นักข่าวในตำนานนี่นา!"
"ฮ่าๆ ใช่แล้วท่านเหลี่ยม สุนัขที่กำลังเลียตูดท่านก็คืออดีตนักข่าวในตำนาน นายเสร่อ ชอบเล่าเรื่อง ซึ่งบัดนี้ก็คือขี้ข้าในสังกัดของพวกข้า" นายพิโธ่ มือขวาของนายทอนบอกอย่างอารมณ์ดี