เราจบเอกญี่ปุ่นค่ะมี n2 ทำงานออฟฟิสที่ไทยมา 2 ปี (แต่ไม่ชอบมากๆ ไม่ชอบสุดๆ)
ตัดสินใจไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นด้วยเงินตัวเองทั้งหมด 2ปี ทำพาร์ทไทม์หนักหน่วงมากๆทำจนวันเกือบสุดท้ายที่เรียนจบ ทำมา2ปี
สุดท้ายได้งานโรงแรมที่ญป แต่ค่อนข้างบ้านนอกแต่อยู่ใกล้แฟนค่ะ แต่ทีนี้อาม่าเราป่วย มีคำสั่งจากที่บ้านให้กลับไทย (ครอบครัวคนจีน มีแนวคิดว่าลูกสาวต้องดูแลครอบครัวทุกอย่าง เขาไม่ให้เราไปอยู่ตปท) เราเลยจำใจกลับทั้งที่ทำงานที่ญี่ปุ่นได้ 7 เดือน แต่สนุกมาก วันที่ต้องกลับไทยเราร้องไห้แทบตาย เราชอบมากตอนอยู่ญี่ปุ่น บ้านนอกจริงนะแต่ เราทำงานกะคนหลายๆชาติ มันสนุกมากจริงๆค่ะ เราชอบงานที่จบวันต่อวัน แล้วสภาพแวดล้อมที่วันหยุดสามารถไปเที่ยวได้ เพราะเราขับรถไม่ได้แต่ญี่ปุ่นคือแม่ขับไม่ได้ก้อสะดวก (เราเลิกกะแฟนตอนกลับไทยด้วยค่ะ)
กลับไทยมาดูแลอาม่าไปด้วย แต่สุดท้ายอาการเขาก็ดีขึ้นมากเราเลยหางานออฟฟิสที่ไทยทำ เรารู้สึกห่อเหี่ยวมากๆรู้สึกเหมือนกลับไปตอนก่อนไปญปเดะๆ
บังเอิญได้บอใหญ่ สังคมมีชนชั้นชัดเจนมาก นินทากันฉ่ำๆ ค่อนข้างล้ำเส้น เรื่องส่วนตัว มีไม่ชอบหน้ากัน เราเองเพิ่งเข้ามาก็โดนนินทาโดนแซะฉ่ำเหมือนกันค่ะ เหมือนเรากลับไปตอนก่อนไปญปเลยค่ะ ก็คุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าที่ไหนก็เหมือนกันแหละงานออฟฟิส ถ้าจะทำงานออฟฟิสก็ต้องทำใจ ต้องปรับตัวใส่หน้ากากเยอะๆ เพราะด้วยออฟฟิสมันมีตำแหน่ง การโปรโมทมันเลยแข่งขันสูงมาก ทำดีแทบตายเขาก็ไม่สนใจ เราเป็นคนพูดน้อยกับคนไม่สนิทนะคะ แยกเรืาองานกะเรื่องส่วนตัวชัดเจน ขณะที่ญปเราค่อนข้างสนุกกับงานมากๆ แล้วเราชอบทำงานกับคนต่างชาติ เจอลูกค้าเหยียดใส่ ด่าก็เยอะแต่เหยียดใส่ก็จบแค่ตรงนั้น
เราถามตัวเองว่าชอบไหมที่ทำงานออฟฟิสที่ไทย เราตอบตัวเองว่าไม่มีความสุขเลยค่ะ ฟีลทำไปวันๆ เราชอบตอนทำงานเซอร์วิสมาก เพราะแม้จะมีแบดเดย์ ก็ยังมีคนพูดคำว่าขอบคุณใส่เรารู้สึกเรามีคุณค่ามากๆตื้นตันว่าสิ่งที่เราทำด้วยใจส่งไปถึงลูกค้านะ
ก็เลยคิดว่าจะไปทำรับทุนเรียนบริบาลที่ญี่ปุ่นดีไหมถ้าไปก็คง7ปีเลยค่ะ เรียน2ปีทำงานใช้ทุน5ปี ไม่ได้ใช้เป็นเงินนะคะ มันมีสัญญาว่าต้องทำที่ญี่ปุ่น5ปีในจังหวัดที่เราเรียน ตอนนี้เราย่าง28แล้วกว่าจะกลับไทยคง35แล้ว เพราะเราชอบเซอร์วิสคนมากๆ
กลับไทยมาตั้งใจว่าอยากลองทำล่ามรพ แต่เราขอเอาใบประกอบวิชาชีพนักบริบาลที่ญี่ปุ่นก่อน เผื่อฉุกเฉิน กันเหนี่ยว
แต่ส่วนตัวถึงไม่ได้ทำล่ามรพคิดว่าถ้ากลับไทยมาเราคงอาจไม่ทำงานประจำแล้วค่ะ ว่าจะใช้เงินเก็บซื้อห้องให้คนเช่าและถมที่ดินหุ้นกับครอบครัวปล่อยให้คนเช่า ออมทอง รับ passive income แทน
เพราะพ่อเราบอกเราตอนเรากลับไทยมาใหม่ๆว่าเดี๋ยวให้เราทำงานประจำไปก่อน(ไปพิสูจน์ตัวเองว่าเราไม่ได้หวังสมบัติเขา อาจเพราะครอบครัวคนจีนอะคะ เลยหวงตรงนี้มากๆ แต่เขาไม่ให้เราไปตปทแล้วนะ เราเป็นลูกผญ เราเลยดูเป็นทุนที่ไม่ใช้เงินแทนเราจะได้เอาเงินไปลงทุนในการถมที่ดิน) แล้วจะให้เราออกจากงานมาดูแลครอบครัว อาม่า พ่อ แม่ เพราะเราเป็นลูกสาวตามธรรมเนียม ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเขาจะซัพพอตเราเอง+ในส่วน passive incomeของเราเองในอนาคตก็น่าจะมี ยังไงก็พอใช้ ไม่ต้องทำงาน ตอนเราฟัง เราก็อึ้งเพราะเหมือนเราต้องทำงานที่ไทยไปเรื่อยๆรอวันที่เขาอยากให้เราออกจากงาน แต่ในใจเราอยากไปตามฝัน อยากทำงานที่ญปอยู่ ตอนนี้เราก็ดิ่งเลยค่ะ ก็เลยว่าไหนๆถ้ามันเป็นแบบนี้เราไปเรียนบริบาลดีไหม ส่วนตัวเราไม่ได้รังเกียจอะไรสายงานนี้นะคะ
อยากทราบว่าในมุมมองของพี่ๆคิดว่าการตัดสินใจของเรามันแปลกไหมคะที่อยากทำสายนี้มากกว่า
มี n2 ไปรับทุนเรียนบริบาลที่ญี่ปุ่นดีไหมคะ
ตัดสินใจไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นด้วยเงินตัวเองทั้งหมด 2ปี ทำพาร์ทไทม์หนักหน่วงมากๆทำจนวันเกือบสุดท้ายที่เรียนจบ ทำมา2ปี
สุดท้ายได้งานโรงแรมที่ญป แต่ค่อนข้างบ้านนอกแต่อยู่ใกล้แฟนค่ะ แต่ทีนี้อาม่าเราป่วย มีคำสั่งจากที่บ้านให้กลับไทย (ครอบครัวคนจีน มีแนวคิดว่าลูกสาวต้องดูแลครอบครัวทุกอย่าง เขาไม่ให้เราไปอยู่ตปท) เราเลยจำใจกลับทั้งที่ทำงานที่ญี่ปุ่นได้ 7 เดือน แต่สนุกมาก วันที่ต้องกลับไทยเราร้องไห้แทบตาย เราชอบมากตอนอยู่ญี่ปุ่น บ้านนอกจริงนะแต่ เราทำงานกะคนหลายๆชาติ มันสนุกมากจริงๆค่ะ เราชอบงานที่จบวันต่อวัน แล้วสภาพแวดล้อมที่วันหยุดสามารถไปเที่ยวได้ เพราะเราขับรถไม่ได้แต่ญี่ปุ่นคือแม่ขับไม่ได้ก้อสะดวก (เราเลิกกะแฟนตอนกลับไทยด้วยค่ะ)
กลับไทยมาดูแลอาม่าไปด้วย แต่สุดท้ายอาการเขาก็ดีขึ้นมากเราเลยหางานออฟฟิสที่ไทยทำ เรารู้สึกห่อเหี่ยวมากๆรู้สึกเหมือนกลับไปตอนก่อนไปญปเดะๆ
บังเอิญได้บอใหญ่ สังคมมีชนชั้นชัดเจนมาก นินทากันฉ่ำๆ ค่อนข้างล้ำเส้น เรื่องส่วนตัว มีไม่ชอบหน้ากัน เราเองเพิ่งเข้ามาก็โดนนินทาโดนแซะฉ่ำเหมือนกันค่ะ เหมือนเรากลับไปตอนก่อนไปญปเลยค่ะ ก็คุยกับเพื่อน เพื่อนบอกว่าที่ไหนก็เหมือนกันแหละงานออฟฟิส ถ้าจะทำงานออฟฟิสก็ต้องทำใจ ต้องปรับตัวใส่หน้ากากเยอะๆ เพราะด้วยออฟฟิสมันมีตำแหน่ง การโปรโมทมันเลยแข่งขันสูงมาก ทำดีแทบตายเขาก็ไม่สนใจ เราเป็นคนพูดน้อยกับคนไม่สนิทนะคะ แยกเรืาองานกะเรื่องส่วนตัวชัดเจน ขณะที่ญปเราค่อนข้างสนุกกับงานมากๆ แล้วเราชอบทำงานกับคนต่างชาติ เจอลูกค้าเหยียดใส่ ด่าก็เยอะแต่เหยียดใส่ก็จบแค่ตรงนั้น
เราถามตัวเองว่าชอบไหมที่ทำงานออฟฟิสที่ไทย เราตอบตัวเองว่าไม่มีความสุขเลยค่ะ ฟีลทำไปวันๆ เราชอบตอนทำงานเซอร์วิสมาก เพราะแม้จะมีแบดเดย์ ก็ยังมีคนพูดคำว่าขอบคุณใส่เรารู้สึกเรามีคุณค่ามากๆตื้นตันว่าสิ่งที่เราทำด้วยใจส่งไปถึงลูกค้านะ
ก็เลยคิดว่าจะไปทำรับทุนเรียนบริบาลที่ญี่ปุ่นดีไหมถ้าไปก็คง7ปีเลยค่ะ เรียน2ปีทำงานใช้ทุน5ปี ไม่ได้ใช้เป็นเงินนะคะ มันมีสัญญาว่าต้องทำที่ญี่ปุ่น5ปีในจังหวัดที่เราเรียน ตอนนี้เราย่าง28แล้วกว่าจะกลับไทยคง35แล้ว เพราะเราชอบเซอร์วิสคนมากๆ
กลับไทยมาตั้งใจว่าอยากลองทำล่ามรพ แต่เราขอเอาใบประกอบวิชาชีพนักบริบาลที่ญี่ปุ่นก่อน เผื่อฉุกเฉิน กันเหนี่ยว
แต่ส่วนตัวถึงไม่ได้ทำล่ามรพคิดว่าถ้ากลับไทยมาเราคงอาจไม่ทำงานประจำแล้วค่ะ ว่าจะใช้เงินเก็บซื้อห้องให้คนเช่าและถมที่ดินหุ้นกับครอบครัวปล่อยให้คนเช่า ออมทอง รับ passive income แทน
เพราะพ่อเราบอกเราตอนเรากลับไทยมาใหม่ๆว่าเดี๋ยวให้เราทำงานประจำไปก่อน(ไปพิสูจน์ตัวเองว่าเราไม่ได้หวังสมบัติเขา อาจเพราะครอบครัวคนจีนอะคะ เลยหวงตรงนี้มากๆ แต่เขาไม่ให้เราไปตปทแล้วนะ เราเป็นลูกผญ เราเลยดูเป็นทุนที่ไม่ใช้เงินแทนเราจะได้เอาเงินไปลงทุนในการถมที่ดิน) แล้วจะให้เราออกจากงานมาดูแลครอบครัว อาม่า พ่อ แม่ เพราะเราเป็นลูกสาวตามธรรมเนียม ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเขาจะซัพพอตเราเอง+ในส่วน passive incomeของเราเองในอนาคตก็น่าจะมี ยังไงก็พอใช้ ไม่ต้องทำงาน ตอนเราฟัง เราก็อึ้งเพราะเหมือนเราต้องทำงานที่ไทยไปเรื่อยๆรอวันที่เขาอยากให้เราออกจากงาน แต่ในใจเราอยากไปตามฝัน อยากทำงานที่ญปอยู่ ตอนนี้เราก็ดิ่งเลยค่ะ ก็เลยว่าไหนๆถ้ามันเป็นแบบนี้เราไปเรียนบริบาลดีไหม ส่วนตัวเราไม่ได้รังเกียจอะไรสายงานนี้นะคะ
อยากทราบว่าในมุมมองของพี่ๆคิดว่าการตัดสินใจของเรามันแปลกไหมคะที่อยากทำสายนี้มากกว่า