สหรัฐฯ อาจเจ็บตัวเอง ขึ้นภาษีสินค้าจากต่างประเทศ ไม่เป็นผลดีกับคนอเมริกัน

เพราะอะไรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะทำร้ายคนอเมริกันและไม่เป็นผลดีกับผู้ประกอบการในสหรัฐฯ



สิ่งแรกที่เราต้องเข้าใจก่อนคือเวลาที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนหรือประเทศไหนก็ตาม คนที่ต้องจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นตรงนี้ ไม่ใช่บริษัทของประเทศจีน แต่เป็นบริษัทของสหรัฐฯ ที่นำเข้าสินค้านั้นมาจากประเทศจีน ที่จะต้องจ่ายค่าภาษีที่เพิ่มขึ้น และเมื่อบริษัทในสหรัฐฯ ต้องจ่ายภาษีเพิ่ม ก็หมายความว่าบริษัทนั้นจะต้องขึ้นราคาสินค้าที่ขายในสหรัฐฯ เพื่อให้มีกำไรตามเดิม ซึ่งก็หมายความว่าท้ายที่สุดแล้ว คนที่ต้องจ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้น ก็คือผู้บริโภคชาวอเมริกัน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง และกลุ่มคนรายได้น้อยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด

มูลนิธิภาษี ซึ่งเป็นองค์กรที่สนับสนุนการเก็บภาษีที่น้อยลง ประเมินว่าการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์ จะทำให้คนอเมริกันต้องจ่ายเงินเพิ่มครัวเรือนละ 830 ดอลลาร์ หรือกว่า 30,000 บาท ในปีนี้ จากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้

อาร์โนลด์ แคมเลอร์ ประธานบริษัทเคนท์ ผู้ผลิตจักรยานที่มีโรงงานทั้งในสหรัฐฯ และประเทศจีน ให้สัมภาษณ์กับ The New York Times ว่าเขาต้องจ่ายภาษีสินค้านำเข้ามากขึ้น ทุกครั้งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้าอะไหล่จักรยานมาประกอบที่โรงงานในสหรัฐฯ หรือการนำเข้าจักรยานทั้งคันจากประเทศจีน และเขาหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินทรัมป์พูดว่าจีนเป็นฝ่ายที่จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น เพราะเขายืนยันว่า ทุกครั้งที่ทรัมป์ตั้งกำแพงภาษี คนที่ต้องควักประเป๋าจ่ายเงินเพิ่มก็คือเขา และผู้ประกอบการในสหรัฐฯ คนอื่น ๆ ที่นำเข้าสินค้าจากจีน โดยทางจีนไม่ได้ต้องจ่ายเงินเพิ่มแม้แต่ดอลลาร์

ถ้าหากบริษัทในสหรัฐฯ ยอมกัดฟันไม่ขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้ราคาสินค้าคงเดิม หมายความว่าผลกำไรจะหายไปจากการขึ้นภาษีทีเดียว 25% และในไม่นานบริษัทนั้นก็ต้องปิดตัวลง ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อีก เพราะจะทำให้มีคนตกงานจำนวนมาก อย่างกรณีของแคมเลอร์ เขาก็ยอมรับว่าเขาต้องขึ้นราคาจักรยานของเขา ไม่เช่นนั้น บริษัทเขาก็อยู่ไม่ได้

ทรัมป์อธิบายสาเหตุที่ต้องขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศเพื่อปกป้องผู้ผลิตสินค้าในสหรัฐฯ ไม่ให้ถูกสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเข้ามาแย่งส่วนแบ่งในตลาด จนผู้ประกอบการในสหรัฐฯ อยู่ไม่ได้ ซึ่งทรัมป์มองว่าเป็นการทำการค้าที่เอาเปรียบสหรัฐฯ

ทรัมป์เสนอว่าผู้ประกอบการคนไหน ไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกันหรือคนต่างชาติ ถ้าไม่อยากต้องเจอเก็บภาษีสินค้านำเข้าในราคาที่สูงขึ้น ก็ควรเลือกที่จะมาเปิดโรงงานในสหรัฐฯ ซึ่งตามแผนของทรัมป์ ก็จะทำให้มีการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ลืมว่าการที่ทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้านำเข้ากับประเทศต่าง ๆ ก็ย่อมถูกตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีที่สูงในอัตราเดียวกัน เช่น แคนาดาที่ประกาศขึ้นสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% เท่ากันแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการที่ตั้งโรงงานในสหรัฐฯ หากจะส่งสินค้าตัวเองไปขายที่ประเทศอื่น ก็จะเจอเก็บภาษีเหมือนกัน ซึ่งสงครามการค้าลักษณะนี้ มีแต่จะทำให้นักลงทุนลังเลที่จะลงทุน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศไหนทั้งนั้น 

อย่างตอนที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก สภาคองเกรสต้องอนุมัติเงินช่วยเหลือ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพื่ออุดหนุนภาคการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีสินค้าการเกษตรของสหรัฐฯ จากประเทศจีน ซึ่งคราวนี้ ดูเหมือนว่าทรัมป์จะขยายเป้าหมายการขึ้นภาษีไปยังทุกประเทศที่เขามองว่าทำการค้ากับสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม ทำให้สินค้าของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกขึ้นภาษี และอาจจะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากกว่าเดิม

นอกจากนี้ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าแบบนี้ จะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว แทนที่รัฐบาลจะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการพัฒนาศักยภาพ ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ในราคาที่ถูกขึ้น เพื่อส่งไปแข่งขันในตลาดโลก แต่การขึ้นภาษีเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ ไม่ได้ทำให้ผู้ประกอบการในสหรัฐฯ พัฒนาสินค้าของตัวเองให้แข่งขันในตลาดโลกได้ ซึ่งในระยะยาว จะยิ่งทำให้สินค้าของสหรัฐฯ ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

https://www.facebook.com/share/p/185MRWRXzp/

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่