เหตุเกิดบนถนนมิตรภาพ ขาขึ้น ในเขต จ.ขอนแก่น
ระหว่างขับรถเปิดระบบความปลอดภัยของรถทุกอย่าง ได้แก่ Adaptive Cruise control , lane keeping assist , ระบบเตือน/ป้องกัน/ช่วยเบรคก่อนการชน และขับด้วยตัวเองไปด้วยตลอด ถึงจุดเกิดเหตุยอมรับว่ามองไม่เห็นรถคู่กรณีจริงๆครับ เพราะรถคู่กรณีเป็นรถไถติดพ่วงท้ายไม่มีไฟท้าย จึงมืดกลีนไปกับพื้นถนน ภายหลังเปิดคลิปให้ช่างเทคนิคของศูนย์รถดู ช่างสันนิษฐานว่าสภาพแสงที่น้อยอาจทำให้ระบบความปลอดภัยทำงานผิดพลาด จึงไม่มีระบบมาช่วยเบรค
ภายหลังการชน ผมประคองรถลงข้างทางได้ แต่ไม่สามารถลงจากรถได้ทันที เนื่องจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากกระจกแตกและโดนประตูบีบแขน ส่วนรถพ่วงของคู่กรณีเสียหายเล็กน้อย เค้าหยุดจอดสักครู่แล้วขับหนีไม่จอดลงมาดู ผมต้องข่มอาการเจ็บ แล้วรีบมุดตัวออกมาจากรถทางประตูคนนั่งซ้าย และวิ่งตามรถไถ่ไปตะโกนให้หยุดลงมาคุย ตามจนทันก็ยังไม่ยอมหยุด เกือบจะต้องปืนไปกระชากเสิ้อคู่กรณี พี่เค้าถึงจะยอมจอดลงมาคุย คู่กรณีว่าเค้าไม่ผิด ผมไปชนท้ายเค้าเอง เค้าไม่เอาเรื่อง ผมขอให้ไปคุยกันที่สถานีตำรวจและประกันของผม แล้วถ่ายรูปรถคู่กรณีไว้กันเค้าขับหนีอีก ผมจึงกลับไปที่รถหาเอกสารและโทรเรียกประกัน
ประมาณ 5 นาที มีรถตำรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระวังพื้นที่ให้ และมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยทำแผลให้ ขอชื่นชมทั้ง 2 หน่วยงาน ทำงานรวดเร็วมากครับ หลังจากนั้นอีก 10 นาที ร้อยเวรมาถึงที่เกิดเหตุ คุยกับคู่กรณีก่อนแล้วมาคุยกับผม (รถไถคู่กรณีอยู่ห่างจากรถผมประมาณ 200 ม. ไม่ทราบว่าคุยอะไรกัน) สิ่งแรกที่ท่านสอบถาม คือ ขับมาเร็วใช่มั๊ย ตรงนี้จำกัดความเร็วนะ แล้วมีประกันรึเปล่า ผมก็ตอบไปว่าผมขอเปิดกล้องก่อน และรอประกันอยู่ ร้อยเวรท่านให้เรียกรถยกในพื้นที่เร่งเอารถออกจากถนนไปไว้โรงพัก แล้วไปคุยกันต่อ ส่วนคู่กรณีก็ขับรถไถไปรอที่โรงพัก (จุดเกิดเหตุห่างจากโรงพักประมาณ 5 ก.ม. โดนค่ารถยกไป 4,000 บาท)
ผมไปถึงโรงพักพร้อมกับรถยก หลังจากเอารถลงก็เข้าไปคุยกันต่อ ปรากฏว่าคู่กรณีพาญาติพี่น้องมาเพิ่มอีก 5 คน แล้วให้การเสร็จไปแล้ว ร้อยเวรท่านให้ทั้งหมดออกไปนอกห้องแล้วท่านคุยกับผมต่อ ประเด็นคือท่านมองว่าผมผิดที่ไปชนท้ายรถไถคู่กรณี ผมขับรถเร็วเกินกว่ากฏหมายกำหนด ผมแซงแล้วไม่ลงซ้าย ซึ่งผมมองว่าเป็นการเบี่ยงประเด็น ผมจึงเปิดคลิปจากกล้องหน้ารถให้ท่านดู แล้วเถึยงท่านไป ว่ารถคู่กรณีเป็นรถการเกษตรไม่ควรจะขับบนถนนในยามวิกาล พ่วงท้ายไม่มีสัญญาณไฟ รถไถและพ่วงได้มีการขออนุญาตและตรวจสภาพหรือไม่ รถคู่กรณีแซงใครมาจึงมาวิ่งในเลนที่อนุญาตให้เฉพาะรถที่แซง ถ้าท่านไม่ชี้แจงประเด็นที่ผมสงสัย ผมก็ไม่ยอมรับผิด จนท่านไม่อยากคุยกับผมแล้วในเจ้าหน้าที่ประกันของผมเข้าไปคุยกับท่านแทน
หลังจากท่านคุยกับทุกฝ่ายแล้ว ท่านก็เรียกทุกคนไปคุยพร้อมกัน ท่านให้ผมเปิดคลิปของผมให้ฝ่ายคู่กรณีดู ตัวแทนฝ่ายคู่กรณียังไม่ยอมรับผิด แย้งว่าชาวบ้านใช้รถกันแบบนี้กันตลอดมานานแล้วเป็นเรื่องปกติ คนขับรถมาจากที่อื่นต้องระวังเอง รวมถึงลากพ่วงที่ไม่มีสัญญาณไฟก็เป็นเรื่องปกติ เป็นวิถึชีวิตของชาวบ้าน ชาวบ้านทำไร่ไถนาไม่มีเงินไปซื้อรถดีๆ ท่านร้อยเวรจึงอธิบายเรื่องความผิดของแต่ละฝ่ายให้ฟังโดยอ้างอิงตามคลิปกล้องหน้ารถของผม
ฝ่ายผม
1. ผิดที่แซงแล้วไม่ลงซ้าย
2. ความเร็วตามคลิปแม้ไม่เกินกำหนด แต่ก็ดูไม่ปลอดภัยสำหรับกลางคืน
ฝ่ายคู่กรณี
1. ใช้รถสำหรับการเกษตรวิ่งบนถนนที่ไม่ได้รับอนุญาต (เกินเวลา)
2. ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย
3. ไม่มีสัญญาณไฟท้ายรถพ่วง
ท่านให้เป็นประมาทร่วม ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ยินยอม ก็ต้องไปว่ากันที่ศาล เดี๋ยวท่านจะทำสำนวนให้ แล้วยึดรถเป็นของกลางจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 ฝ่ายยินยอม ประกันรถก็ยินยอม แต่เนื่องจากประเมินความเสียหายเกิน 100,000 บาท ประกันขอให้ผมเป่าแอลกอฮอล เสร็จแล้วท่านให้เปรียบเทียบปรับคนละ 400 บาท แล้วลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน
สำหรับผมคงทำดีที่สุดได้เท่านี้ เจ้าหน้าที่ประกันเรียกรถยกของประกันไปส่งซ่อมที่ศูนย์ และช่วยพาผมไปส่งที่พัก ระหว่างทางก็พูดคุยกันเรื่องที่ผมยังสงสัย ทำให้ได้ความรู้ในหลายๆเรื่อง เช่น ถ้ารถยังซ่อมได้และมีค่าเสียหายน้อยกว่าทุนมากและไม่ได้เปรียบคู่กรณีเรื่องคดีมากหรือคู่กรณีไม่ยอมรับผิดจนต้องขึ้นศาล ประกันจะยอมให้เป็นประมาทร่วมเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก , เคสแบบนี้ทางอีสานจะเกิดบ่อยมาก รถมีประกันมักถูกผลักให้เป็นฝ่ายรับผิดชอบถ้าไม่มีหลักฐานมาแก้ต่าง
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์หลายเรื่อง ช่วงที่อยู่โรงพักบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด บทสรุปเหมือนจะเข้าข้างคู่กรณีมากไปหน่อย จนเขาอาจไม่รู้สึกว่าได้รับบทเรียนอะไร และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรง หรือเสียชีวิต จบแค่เสียทรัพย์ เสียความรู้สึก เสียดายรถ
ติดกล้องหน้ารถกันเถอะครับ มีไว้อุ่นใจกว่า
แสดงความเห็นอย่างสุภาพนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ต่างถิ่น เจ้าถิ่นจะให้เราเป็นฝ่ายผิด มีกล้องติดหน้ารถไว้ ช่วยได้เยอะครับ
เหตุเกิดบนถนนมิตรภาพ ขาขึ้น ในเขต จ.ขอนแก่น
ระหว่างขับรถเปิดระบบความปลอดภัยของรถทุกอย่าง ได้แก่ Adaptive Cruise control , lane keeping assist , ระบบเตือน/ป้องกัน/ช่วยเบรคก่อนการชน และขับด้วยตัวเองไปด้วยตลอด ถึงจุดเกิดเหตุยอมรับว่ามองไม่เห็นรถคู่กรณีจริงๆครับ เพราะรถคู่กรณีเป็นรถไถติดพ่วงท้ายไม่มีไฟท้าย จึงมืดกลีนไปกับพื้นถนน ภายหลังเปิดคลิปให้ช่างเทคนิคของศูนย์รถดู ช่างสันนิษฐานว่าสภาพแสงที่น้อยอาจทำให้ระบบความปลอดภัยทำงานผิดพลาด จึงไม่มีระบบมาช่วยเบรค
ภายหลังการชน ผมประคองรถลงข้างทางได้ แต่ไม่สามารถลงจากรถได้ทันที เนื่องจากได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากกระจกแตกและโดนประตูบีบแขน ส่วนรถพ่วงของคู่กรณีเสียหายเล็กน้อย เค้าหยุดจอดสักครู่แล้วขับหนีไม่จอดลงมาดู ผมต้องข่มอาการเจ็บ แล้วรีบมุดตัวออกมาจากรถทางประตูคนนั่งซ้าย และวิ่งตามรถไถ่ไปตะโกนให้หยุดลงมาคุย ตามจนทันก็ยังไม่ยอมหยุด เกือบจะต้องปืนไปกระชากเสิ้อคู่กรณี พี่เค้าถึงจะยอมจอดลงมาคุย คู่กรณีว่าเค้าไม่ผิด ผมไปชนท้ายเค้าเอง เค้าไม่เอาเรื่อง ผมขอให้ไปคุยกันที่สถานีตำรวจและประกันของผม แล้วถ่ายรูปรถคู่กรณีไว้กันเค้าขับหนีอีก ผมจึงกลับไปที่รถหาเอกสารและโทรเรียกประกัน
ประมาณ 5 นาที มีรถตำรวจและเจ้าหน้าที่ตำรวจมาระวังพื้นที่ให้ และมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาช่วยทำแผลให้ ขอชื่นชมทั้ง 2 หน่วยงาน ทำงานรวดเร็วมากครับ หลังจากนั้นอีก 10 นาที ร้อยเวรมาถึงที่เกิดเหตุ คุยกับคู่กรณีก่อนแล้วมาคุยกับผม (รถไถคู่กรณีอยู่ห่างจากรถผมประมาณ 200 ม. ไม่ทราบว่าคุยอะไรกัน) สิ่งแรกที่ท่านสอบถาม คือ ขับมาเร็วใช่มั๊ย ตรงนี้จำกัดความเร็วนะ แล้วมีประกันรึเปล่า ผมก็ตอบไปว่าผมขอเปิดกล้องก่อน และรอประกันอยู่ ร้อยเวรท่านให้เรียกรถยกในพื้นที่เร่งเอารถออกจากถนนไปไว้โรงพัก แล้วไปคุยกันต่อ ส่วนคู่กรณีก็ขับรถไถไปรอที่โรงพัก (จุดเกิดเหตุห่างจากโรงพักประมาณ 5 ก.ม. โดนค่ารถยกไป 4,000 บาท)
ผมไปถึงโรงพักพร้อมกับรถยก หลังจากเอารถลงก็เข้าไปคุยกันต่อ ปรากฏว่าคู่กรณีพาญาติพี่น้องมาเพิ่มอีก 5 คน แล้วให้การเสร็จไปแล้ว ร้อยเวรท่านให้ทั้งหมดออกไปนอกห้องแล้วท่านคุยกับผมต่อ ประเด็นคือท่านมองว่าผมผิดที่ไปชนท้ายรถไถคู่กรณี ผมขับรถเร็วเกินกว่ากฏหมายกำหนด ผมแซงแล้วไม่ลงซ้าย ซึ่งผมมองว่าเป็นการเบี่ยงประเด็น ผมจึงเปิดคลิปจากกล้องหน้ารถให้ท่านดู แล้วเถึยงท่านไป ว่ารถคู่กรณีเป็นรถการเกษตรไม่ควรจะขับบนถนนในยามวิกาล พ่วงท้ายไม่มีสัญญาณไฟ รถไถและพ่วงได้มีการขออนุญาตและตรวจสภาพหรือไม่ รถคู่กรณีแซงใครมาจึงมาวิ่งในเลนที่อนุญาตให้เฉพาะรถที่แซง ถ้าท่านไม่ชี้แจงประเด็นที่ผมสงสัย ผมก็ไม่ยอมรับผิด จนท่านไม่อยากคุยกับผมแล้วในเจ้าหน้าที่ประกันของผมเข้าไปคุยกับท่านแทน
หลังจากท่านคุยกับทุกฝ่ายแล้ว ท่านก็เรียกทุกคนไปคุยพร้อมกัน ท่านให้ผมเปิดคลิปของผมให้ฝ่ายคู่กรณีดู ตัวแทนฝ่ายคู่กรณียังไม่ยอมรับผิด แย้งว่าชาวบ้านใช้รถกันแบบนี้กันตลอดมานานแล้วเป็นเรื่องปกติ คนขับรถมาจากที่อื่นต้องระวังเอง รวมถึงลากพ่วงที่ไม่มีสัญญาณไฟก็เป็นเรื่องปกติ เป็นวิถึชีวิตของชาวบ้าน ชาวบ้านทำไร่ไถนาไม่มีเงินไปซื้อรถดีๆ ท่านร้อยเวรจึงอธิบายเรื่องความผิดของแต่ละฝ่ายให้ฟังโดยอ้างอิงตามคลิปกล้องหน้ารถของผม
ฝ่ายผม
1. ผิดที่แซงแล้วไม่ลงซ้าย
2. ความเร็วตามคลิปแม้ไม่เกินกำหนด แต่ก็ดูไม่ปลอดภัยสำหรับกลางคืน
ฝ่ายคู่กรณี
1. ใช้รถสำหรับการเกษตรวิ่งบนถนนที่ไม่ได้รับอนุญาต (เกินเวลา)
2. ไม่ชิดขอบทางด้านซ้าย
3. ไม่มีสัญญาณไฟท้ายรถพ่วง
ท่านให้เป็นประมาทร่วม ถ้าทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ยินยอม ก็ต้องไปว่ากันที่ศาล เดี๋ยวท่านจะทำสำนวนให้ แล้วยึดรถเป็นของกลางจนกว่าคดีจะสิ้นสุด
ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 ฝ่ายยินยอม ประกันรถก็ยินยอม แต่เนื่องจากประเมินความเสียหายเกิน 100,000 บาท ประกันขอให้ผมเป่าแอลกอฮอล เสร็จแล้วท่านให้เปรียบเทียบปรับคนละ 400 บาท แล้วลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐาน
สำหรับผมคงทำดีที่สุดได้เท่านี้ เจ้าหน้าที่ประกันเรียกรถยกของประกันไปส่งซ่อมที่ศูนย์ และช่วยพาผมไปส่งที่พัก ระหว่างทางก็พูดคุยกันเรื่องที่ผมยังสงสัย ทำให้ได้ความรู้ในหลายๆเรื่อง เช่น ถ้ารถยังซ่อมได้และมีค่าเสียหายน้อยกว่าทุนมากและไม่ได้เปรียบคู่กรณีเรื่องคดีมากหรือคู่กรณีไม่ยอมรับผิดจนต้องขึ้นศาล ประกันจะยอมให้เป็นประมาทร่วมเพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวก , เคสแบบนี้ทางอีสานจะเกิดบ่อยมาก รถมีประกันมักถูกผลักให้เป็นฝ่ายรับผิดชอบถ้าไม่มีหลักฐานมาแก้ต่าง
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์หลายเรื่อง ช่วงที่อยู่โรงพักบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด บทสรุปเหมือนจะเข้าข้างคู่กรณีมากไปหน่อย จนเขาอาจไม่รู้สึกว่าได้รับบทเรียนอะไร และไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ก็โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บรุนแรง หรือเสียชีวิต จบแค่เสียทรัพย์ เสียความรู้สึก เสียดายรถ
ติดกล้องหน้ารถกันเถอะครับ มีไว้อุ่นใจกว่า
แสดงความเห็นอย่างสุภาพนะครับ ขอบคุณทุกท่านครับ