ส.ว.อังคณา ห่วงปมไทยส่งผู้ต้องขังอูยกูร์กลับ แฉมีคนอดอาหารประท้วง จี้รบ.เร่งแก้.
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022520
‘อังคณา’ เรียกร้องให้อนุญาต ‘นักวิชาการอิสระ’ เข้าเยี่ยม ‘อุยกูร์’ บอก จนท.แจ้งสว.เข้าไม่ได้ เหตุ เกี่ยวข้องพรรคการเมือง หวังถก ‘ภูมิธรรม’ หาแนวทางออก
เมื่อวันที่ 29 มกราคม เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา นาง
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้แถลง ความก้าวหน้า กรณีผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ว่า มีผู้มาร้องเรียนถึงความกังวล ว่าผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ อาจจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง และจะต้องเผชิญอันตราย ทั้งนี้เมื่อปี 58 ประเทศไทยเคยส่งชาวอุยกรู์ 109 คนกลับประเทศจีนมาแล้ว ซึ่งทางญาติพี่น้องก็ยังยืนยันว่าไม่ทราบชะตากรรมของทั้ง 109 คน
นาง
อังคณากล่าวว่า เมื่อวานนี้ทาง กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ส.ว. ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมกันให้ข้อมูล สิ่งที่ทางกรรมธิการได้พยายามทำตลอด 2 สัปดาห์หลังจากที่มีข่าวว่าจะมีการผลักดันกลับคือ ส่งหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อ จะขอเข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์กลุ่มนี้เนื่องจากได้ทราบว่ามีคนที่กำลังอดอาหารประท้วง แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากว่า มองว่าวุฒิสภาหรือวุฒิสมาชิกเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เราก็ได้ชี้แจงแล้วว่า ส.ว.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง และ กมธ.ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว ดังนั้น กมธ.ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและมีอิสระก็ควรจะมีโอกาสเข้าเยี่ยมคนที่อาจจะถูกละเมิดสิทธิ์
ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่าตอนนี้มีผู้ต้องกักอยู่ในห้องกักขัง 39 คน อยู่ที่โรงพยาบาล 1 คน เป็นผู้ป่วยหรักติดเตียง และปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตด้วย และมีคนซึ่งอดอาหารประท้วงอยู่ ซึ่ง กมธ.ก็แสดงความห่วงใย เนื่องจากผู้กักขังอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการที่จะดูแลเรื่องอาหารในระยะเวลานาน การที่อาจจะมาเริ่มทานอาหารใหม่ อาจจะส่งผลต่อสุขภาพเหมือนกรณีของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ซึ่ง กมธ.ได้มีการแนะนำให้กาชาดระหว่างประเทศเข้าเยี่ยมและให้คำแนะนำในเรื่องของการส่งกลับ
นางสาว
อังคณากล่าวย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สมช.และกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศ รับประกันว่าจะไม่มีการผลักดันผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงกลับไปเผชิญอันตราย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วทางผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้มีหนังสือถึงประเทศไทย กังวลว่าประเทศไทยจะส่งกลับ โดยทาง กมธ. ต้องขอขอบคุณสำหรับการยืนยันนี้ ดังนั้นการเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าไปเยี่ยมจะถือเป็นการยืนยันว่าไทยปฏิบัติตามหลักสากล
“
แม้ว่าคนกลุ่มนี้อาจจะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด แต่ถ้าหากว่าเชื่อว่าเขากลับประเทศต้นทางแล้วจะได้รับอันตราย ประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะส่งกลับได้ ไม่ว่ากรณีใด สิ่งหนึ่งที่เรากังวลก็คือการไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าเยี่ยม ซึ่งในรายงานของผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศไทยตรวจสอบศพผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามหลักสากล” นาง
อังคณากล่าว
นาง
อังคณากล่าวว่า ตนหวังว่า กมธ.จะได้พูดคุยกับ นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูแลเรื่องความมั่นคง ตนคิดว่าเรายินดีที่จะไปพบและหารือ เนื่องจากเราก็ยืนยันว่าในฐานะวุฒิสมาชิก เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคการเมือง
“
สภาพห้องกักแย่กว่าเรือนจำมาก แล้วทาง กมธ.เองก็คงจะศึกษาในเรื่องการกักตัวผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในห้องกัก เพื่อมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตให้รัฐบาลต่อไป” นาง
อังคณากล่าว
อังคณา ไล่ ส.ว.อะมัด ศึกษาเพิ่ม ไลฟ์ประหารนักโทษคดียา ขัดกม.อุ้มหาย ห่วงฆ่าตัดตอนพุ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022548
‘อังคณา’ ไล่ ‘อะมัด’ ไปศึกษากฎหมายเพิ่ม หลังเสนอไลฟ์ประหารชีวิตนักโทษยาเสพติด ชี้เป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง-ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 มกราคม ที่รัฐสภา นาง
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นาย
อะมัด อายุเคน ส.ว. เสนอให้ประหารชีวิตนักโทษคดียาเสพติด ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ว่าเป็นการใช้การแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ อย่างไรก็ดี ควรต้องทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่มีการฆ่าตัดตอนคนจำนวนมาก แต่สุดท้ายยาเสพติดก็ไม่หมดไป ทุกวันนี้ก็ยังกลับมาอีก ที่สำคัญการบอกว่าให้ไลฟ์การประหารถือเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการผลิตความรุนแรง แทนที่จะทำให้เกิดความจำและผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหวาดกลัวที่จะกระทำผิด แต่จะทำให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยอย่างเยาวชน มองเห็นว่าวิธีการแบบนี้เป็นวิธีการที่สามารถทำได้
นาง
อังคณากล่าวว่า จริงๆ แล้วเป็นที่ขัดต่อกฎหมายด้วย ขัดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในเรื่องของการกระทำใดๆ ที่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มาตรา 6 ตรงนี้ ท่าน ส.ว. ผู้เสนอควรไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากโทษคดียาเสพติดเป็นการประหารชีวิตจริงจะทำให้มีการใส่ร้ายกันในคดียาเสพติดมากขึ้นหรือไม่ นาง
อังคณากล่าวว่า เมื่อวานนี้ สิ่งที่พูดถึงอย่างกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือ หลายคนเป็นคนไร้สัญชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็จะเก็บเงินไว้ที่บ้าน บางทีเพื่อนบ้านหรือถ้ามีคนไปให้ข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีการยึดทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มาจากการใส่ร้ายป้ายสีได้ และเราก็มีกฎหมายที่ให้นับผู้เสพเป็นผู้ป่วย ผู้ต้องขังคดียาเสพติดลดลง แต่คนเหล่านี้ไม่หายไปไหน ยังอยู่ข้างนอก อยู่ในชุมชน ครอบครัวไม่สามารถดูแลได้ โรงพยาบาลเองก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเป็นระบบก็ต้องปราบปรามผู้กระทำผิดรายใหญ่ ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
นาง
อังคณากล่าวว่า ป.ป.ส.เองก็พูดว่าเมื่อก่อนยาบ้า ยาม้า คนขับรถกินกันเป็นประจำ แต่เมื่อไปเรียกว่ายาบ้าก็เหมือนกลายเป็นไฟเพิ่มมูลค่า มีคนมาขายมากขึ้น ติดยากันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทำไมความเห็นส่วนตัวของตนคือต้องมีหลักประกันว่าอย่างเด็ดขาดคือให้ยาหมดไป ไม่ใช่ใช้วิธีการด้วยความรุนแรง ในขณะที่รัฐบาลใช้กฎหมายรัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปด้วย
เมื่อถามว่า กังวลว่าการแสดงความเห็นแบบนี้จะถูกมองว่าเป็นภาพรวมของ ส.ว.ทั้งหมดหรือไม่ นาง
อังคณากล่าวว่า คงเป็นความเห็นของคนคนเดียว เพียงแต่ภาพเมื่อวานที่ออกมา มี ส.ว.หลายๆท่านไปยืนอยู่ข้างหลัง ที่สังคมจะมองว่าเหมือนสนับสนุน แต่อยากจะบอกว่าการเสนอเรื่องแบบนี้ในพื้นที่สาธารณะก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ หรืออาจเป็นแนวทางที่ทำให้การฆ่าตัดตอนเกิดขึ้นอีกหรือไม่
“
การประหารชีวิตไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ต้องมีคำพิพากษาจากศาล และมีพยานหลักฐาน การกระทำผิดต้องเป็นโทษรุนแรง การพูดแบบนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเรารับได้ และที่พูดก็คือการขัดมาตรา 6 ใน พ.ร.บ.อุ้มหาย ในเรื่องการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการถ่ายทอดสด แต่คิดว่า ส.ว.ท่านนั้นพูดเหมือนปากพาไป หรืออะไรไม่ทราบ” นาง
อังคณากล่าว
“อังคณา” บอกปม “ทักษิณ” ไม่ควรเป็นเรื่อง ป่วยจริงไม่ควรปิดบัง เป็นผู้ใหญ่แล้ว
https://siamrath.co.th/n/597309
วันที่ 29 ม.ค.2568 ที่รัฐสภา นาง
อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ได้ขอหลักฐานการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากโรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลตำรวจได้ส่งหนังสือกลับ โดยปะหน้าเอกสาร ว่า “
ลับ ต้องระมัดระวังระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ” มองเรื่องนี้อย่างไร ว่า เรื่องของนาย
ทักษิณไม่ควรเป็นเรื่อง เพราะในความเห็นส่วนตัว มองว่านาย
ทักษิณเป็นผู้ใหญ่ และการเจ็บป่วยของบุคคลสาธารณะไม่ควรต้องปิดบังหากไม่ได้เป็นโรคติดต่อ หรือโรคที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ตนได้พูดมาโดยตลอด อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ก็พูดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล
นาง
อังคณา กล่าวย้ำว่า สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ สิทธิส่วนบุคคลต้องมาชั่งน้ำหนักกับประโยชน์สาธารณะ ซึ่งบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะ อาจต้องยอมละ สิทธิส่วนบุคคลบางประการ เพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งสาธารณะก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ เพราะเดี๋ยวนี้ต่อให้เป็นโรคร้ายแรง เช่นโรคมะเร็ง ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องน่าปิดบัง ซึ่งนายทักษิณก็เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นบุคคลสาธารณะ ก็น่าจะมีความเสียสละ ในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล บางประการเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้เกิดความกังขาและให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคมด้วย
เมื่อถามว่าคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง จะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ นาง
อังคณากล่าวว่า กรรมาธิการของ สส. กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ โดยส่วนตัวมองว่า หากจะให้ตรวจสอบก็จะเสียเวลามาก แต่อยากจะบอกกับนายทักษิณว่า ในเมื่อสังคมพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด นาย
ทักษิณก็ควรที่จะออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นความสง่างามด้วยซ้ำ สิ่งที่คนสงสัยก็คือ พอเข้าเรือนจำ นายทักษิณไม่ต้องนอนเรือนจำแม้แต่คืนเดียว คนอื่นยังต้องมีการตรวจสอบ แต่นาย
ทักษิณได้รับการตรวจที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ก็จะถือเป็นการเลือกปฏิบัติได้ ที่สำคัญระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล ไม่มีใครรู้ แต่พอครบกำหนดการพักโทษ เมื่อออกมานายทักษิณก็เหมือนคนธรรมดา ดูไม่เหมือนคนเคยเจ็บป่วยร้ายแรง ซึ่งเป็นธรรมดาที่สังคมจะต้องสงสัย และเรื่องของประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งกรมการแพทย์และโรงพยาบาลตำรวจก็ควรที่จะเปิดเผย และหยุดอ้างเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว
เพราะ สิทธิความเป็นส่วนตัวเมื่อเทียบกับการปกป้องประโยชน์สาธารณะ ประโยชน์สาธารณะต้องมาก่อน เพราะประโยชน์สาธารณะเกี่ยวข้องกับความไม่เลือกปฏิบัติ
JJNY : ส.ว.อังคณาห่วงปมไทย│อังคณาไล่ส.ว.อะมัด ศึกษาเพิ่ม│“อังคณา”บอกป่วยจริงไม่ควรปิดบัง│ยืนยันพบไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022520
‘อังคณา’ เรียกร้องให้อนุญาต ‘นักวิชาการอิสระ’ เข้าเยี่ยม ‘อุยกูร์’ บอก จนท.แจ้งสว.เข้าไม่ได้ เหตุ เกี่ยวข้องพรรคการเมือง หวังถก ‘ภูมิธรรม’ หาแนวทางออก
เมื่อวันที่ 29 มกราคม เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ได้แถลง ความก้าวหน้า กรณีผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ ว่า มีผู้มาร้องเรียนถึงความกังวล ว่าผู้ต้องกักชาวอุยกูร์ อาจจะถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง และจะต้องเผชิญอันตราย ทั้งนี้เมื่อปี 58 ประเทศไทยเคยส่งชาวอุยกรู์ 109 คนกลับประเทศจีนมาแล้ว ซึ่งทางญาติพี่น้องก็ยังยืนยันว่าไม่ทราบชะตากรรมของทั้ง 109 คน
นางอังคณากล่าวว่า เมื่อวานนี้ทาง กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ ส.ว. ได้มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมกันให้ข้อมูล สิ่งที่ทางกรรมธิการได้พยายามทำตลอด 2 สัปดาห์หลังจากที่มีข่าวว่าจะมีการผลักดันกลับคือ ส่งหนังสือถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อ จะขอเข้าเยี่ยมชาวอุยกูร์กลุ่มนี้เนื่องจากได้ทราบว่ามีคนที่กำลังอดอาหารประท้วง แต่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากว่า มองว่าวุฒิสภาหรือวุฒิสมาชิกเป็นผู้เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เราก็ได้ชี้แจงแล้วว่า ส.ว.ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเมือง และ กมธ.ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่แล้ว ดังนั้น กมธ.ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและมีอิสระก็ควรจะมีโอกาสเข้าเยี่ยมคนที่อาจจะถูกละเมิดสิทธิ์
ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่าตอนนี้มีผู้ต้องกักอยู่ในห้องกักขัง 39 คน อยู่ที่โรงพยาบาล 1 คน เป็นผู้ป่วยหรักติดเตียง และปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตด้วย และมีคนซึ่งอดอาหารประท้วงอยู่ ซึ่ง กมธ.ก็แสดงความห่วงใย เนื่องจากผู้กักขังอาจจะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการที่จะดูแลเรื่องอาหารในระยะเวลานาน การที่อาจจะมาเริ่มทานอาหารใหม่ อาจจะส่งผลต่อสุขภาพเหมือนกรณีของ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง ซึ่ง กมธ.ได้มีการแนะนำให้กาชาดระหว่างประเทศเข้าเยี่ยมและให้คำแนะนำในเรื่องของการส่งกลับ
นางสาวอังคณากล่าวย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น สมช.และกระทรวงการต่างประเทศก็ได้ยืนยันว่าประเทศไทยจะไม่ละเมิดพันธะกรณีระหว่างประเทศ รับประกันว่าจะไม่มีการผลักดันผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงกลับไปเผชิญอันตราย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วทางผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้มีหนังสือถึงประเทศไทย กังวลว่าประเทศไทยจะส่งกลับ โดยทาง กมธ. ต้องขอขอบคุณสำหรับการยืนยันนี้ ดังนั้นการเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าไปเยี่ยมจะถือเป็นการยืนยันว่าไทยปฏิบัติตามหลักสากล
“แม้ว่าคนกลุ่มนี้อาจจะถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด แต่ถ้าหากว่าเชื่อว่าเขากลับประเทศต้นทางแล้วจะได้รับอันตราย ประเทศไทยก็ไม่สามารถที่จะส่งกลับได้ ไม่ว่ากรณีใด สิ่งหนึ่งที่เรากังวลก็คือการไม่อนุญาตให้ผู้เชี่ยวชาญอิสระเข้าเยี่ยม ซึ่งในรายงานของผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาชาติได้เรียกร้องให้ประเทศไทยตรวจสอบศพผู้เสียชีวิตให้เป็นไปตามหลักสากล” นางอังคณากล่าว
นางอังคณากล่าวว่า ตนหวังว่า กมธ.จะได้พูดคุยกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ดูแลเรื่องความมั่นคง ตนคิดว่าเรายินดีที่จะไปพบและหารือ เนื่องจากเราก็ยืนยันว่าในฐานะวุฒิสมาชิก เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพรรคการเมือง
“สภาพห้องกักแย่กว่าเรือนจำมาก แล้วทาง กมธ.เองก็คงจะศึกษาในเรื่องการกักตัวผู้ที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในห้องกัก เพื่อมีข้อเสนอแนะและข้อสังเกตให้รัฐบาลต่อไป” นางอังคณากล่าว
อังคณา ไล่ ส.ว.อะมัด ศึกษาเพิ่ม ไลฟ์ประหารนักโทษคดียา ขัดกม.อุ้มหาย ห่วงฆ่าตัดตอนพุ่ง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5022548
‘อังคณา’ ไล่ ‘อะมัด’ ไปศึกษากฎหมายเพิ่ม หลังเสนอไลฟ์ประหารชีวิตนักโทษยาเสพติด ชี้เป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง-ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 มกราคม ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายอะมัด อายุเคน ส.ว. เสนอให้ประหารชีวิตนักโทษคดียาเสพติด ในที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวานนี้ (28 ม.ค.) ว่าเป็นการใช้การแสดงความคิดเห็นโดยอิสระ อย่างไรก็ดี ควรต้องทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่มีการฆ่าตัดตอนคนจำนวนมาก แต่สุดท้ายยาเสพติดก็ไม่หมดไป ทุกวันนี้ก็ยังกลับมาอีก ที่สำคัญการบอกว่าให้ไลฟ์การประหารถือเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และเป็นการผลิตความรุนแรง แทนที่จะทำให้เกิดความจำและผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดหวาดกลัวที่จะกระทำผิด แต่จะทำให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยอย่างเยาวชน มองเห็นว่าวิธีการแบบนี้เป็นวิธีการที่สามารถทำได้
นางอังคณากล่าวว่า จริงๆ แล้วเป็นที่ขัดต่อกฎหมายด้วย ขัดต่อ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในเรื่องของการกระทำใดๆ ที่ละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มาตรา 6 ตรงนี้ ท่าน ส.ว. ผู้เสนอควรไปศึกษากฎหมายเพิ่มเติมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากโทษคดียาเสพติดเป็นการประหารชีวิตจริงจะทำให้มีการใส่ร้ายกันในคดียาเสพติดมากขึ้นหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า เมื่อวานนี้ สิ่งที่พูดถึงอย่างกรณีกลุ่มชาติพันธุ์ทางเหนือ หลายคนเป็นคนไร้สัญชาติ ส่วนใหญ่ไม่มีบัญชีธนาคาร ก็จะเก็บเงินไว้ที่บ้าน บางทีเพื่อนบ้านหรือถ้ามีคนไปให้ข้อมูลว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีการยึดทรัพย์ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่มาจากการใส่ร้ายป้ายสีได้ และเราก็มีกฎหมายที่ให้นับผู้เสพเป็นผู้ป่วย ผู้ต้องขังคดียาเสพติดลดลง แต่คนเหล่านี้ไม่หายไปไหน ยังอยู่ข้างนอก อยู่ในชุมชน ครอบครัวไม่สามารถดูแลได้ โรงพยาบาลเองก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญไม่เพียงพอ เพราะฉะนั้นเป็นระบบก็ต้องปราบปรามผู้กระทำผิดรายใหญ่ ต้องดำเนินการอย่างจริงจัง
นางอังคณากล่าวว่า ป.ป.ส.เองก็พูดว่าเมื่อก่อนยาบ้า ยาม้า คนขับรถกินกันเป็นประจำ แต่เมื่อไปเรียกว่ายาบ้าก็เหมือนกลายเป็นไฟเพิ่มมูลค่า มีคนมาขายมากขึ้น ติดยากันมากขึ้น นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทำไมความเห็นส่วนตัวของตนคือต้องมีหลักประกันว่าอย่างเด็ดขาดคือให้ยาหมดไป ไม่ใช่ใช้วิธีการด้วยความรุนแรง ในขณะที่รัฐบาลใช้กฎหมายรัฐบาลต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปด้วย
เมื่อถามว่า กังวลว่าการแสดงความเห็นแบบนี้จะถูกมองว่าเป็นภาพรวมของ ส.ว.ทั้งหมดหรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า คงเป็นความเห็นของคนคนเดียว เพียงแต่ภาพเมื่อวานที่ออกมา มี ส.ว.หลายๆท่านไปยืนอยู่ข้างหลัง ที่สังคมจะมองว่าเหมือนสนับสนุน แต่อยากจะบอกว่าการเสนอเรื่องแบบนี้ในพื้นที่สาธารณะก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อการวิพากษ์วิจารณ์ หรืออาจเป็นแนวทางที่ทำให้การฆ่าตัดตอนเกิดขึ้นอีกหรือไม่
“การประหารชีวิตไม่ได้ทำได้ง่ายๆ ต้องมีคำพิพากษาจากศาล และมีพยานหลักฐาน การกระทำผิดต้องเป็นโทษรุนแรง การพูดแบบนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณว่าเรารับได้ และที่พูดก็คือการขัดมาตรา 6 ใน พ.ร.บ.อุ้มหาย ในเรื่องการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หากมีการถ่ายทอดสด แต่คิดว่า ส.ว.ท่านนั้นพูดเหมือนปากพาไป หรืออะไรไม่ทราบ” นางอังคณากล่าว
“อังคณา” บอกปม “ทักษิณ” ไม่ควรเป็นเรื่อง ป่วยจริงไม่ควรปิดบัง เป็นผู้ใหญ่แล้ว
https://siamrath.co.th/n/597309
วันที่ 29 ม.ค.2568 ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ได้ขอหลักฐานการรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากโรงพยาบาลตำรวจ และโรงพยาบาลตำรวจได้ส่งหนังสือกลับ โดยปะหน้าเอกสาร ว่า “ลับ ต้องระมัดระวังระเบียบการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ” มองเรื่องนี้อย่างไร ว่า เรื่องของนายทักษิณไม่ควรเป็นเรื่อง เพราะในความเห็นส่วนตัว มองว่านายทักษิณเป็นผู้ใหญ่ และการเจ็บป่วยของบุคคลสาธารณะไม่ควรต้องปิดบังหากไม่ได้เป็นโรคติดต่อ หรือโรคที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ตนได้พูดมาโดยตลอด อีกทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และผู้อำนวยการโรงพยาบาลตำรวจ ก็พูดว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคล
นางอังคณา กล่าวย้ำว่า สิ่งที่อยากจะบอกก็คือ สิทธิส่วนบุคคลต้องมาชั่งน้ำหนักกับประโยชน์สาธารณะ ซึ่งบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะ อาจต้องยอมละ สิทธิส่วนบุคคลบางประการ เพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งสาธารณะก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ เพราะเดี๋ยวนี้ต่อให้เป็นโรคร้ายแรง เช่นโรคมะเร็ง ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องน่าปิดบัง ซึ่งนายทักษิณก็เป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นบุคคลสาธารณะ ก็น่าจะมีความเสียสละ ในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล บางประการเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้เกิดความกังขาและให้เกิดความโปร่งใสต่อสังคมด้วย
เมื่อถามว่าคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง จะมีการเคลื่อนไหวในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ นางอังคณากล่าวว่า กรรมาธิการของ สส. กำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ โดยส่วนตัวมองว่า หากจะให้ตรวจสอบก็จะเสียเวลามาก แต่อยากจะบอกกับนายทักษิณว่า ในเมื่อสังคมพูดถึงเรื่องนี้มาตลอด นายทักษิณก็ควรที่จะออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ก็จะเป็นประโยชน์และเป็นความสง่างามด้วยซ้ำ สิ่งที่คนสงสัยก็คือ พอเข้าเรือนจำ นายทักษิณไม่ต้องนอนเรือนจำแม้แต่คืนเดียว คนอื่นยังต้องมีการตรวจสอบ แต่นายทักษิณได้รับการตรวจที่ไม่เหมือนกับคนอื่น ก็จะถือเป็นการเลือกปฏิบัติได้ ที่สำคัญระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล ไม่มีใครรู้ แต่พอครบกำหนดการพักโทษ เมื่อออกมานายทักษิณก็เหมือนคนธรรมดา ดูไม่เหมือนคนเคยเจ็บป่วยร้ายแรง ซึ่งเป็นธรรมดาที่สังคมจะต้องสงสัย และเรื่องของประโยชน์สาธารณะ เป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งกรมการแพทย์และโรงพยาบาลตำรวจก็ควรที่จะเปิดเผย และหยุดอ้างเรื่องสิทธิความเป็นส่วนตัว
เพราะ สิทธิความเป็นส่วนตัวเมื่อเทียบกับการปกป้องประโยชน์สาธารณะ ประโยชน์สาธารณะต้องมาก่อน เพราะประโยชน์สาธารณะเกี่ยวข้องกับความไม่เลือกปฏิบัติ