JJNY : ปกรณ์วุฒิปูดสส.พรรคร่วมรบ.│“กัณวีร์” ชี้ถึงเวลาจัดการปัญหา│อุ้มซิงซิง กระทบเที่ยวพัทยา│“เอ็นวิเดีย” ชม “ดีปซีค”

ปกรณ์วุฒิ ปูด สส.พรรคร่วมรัฐบาล ดอดเอาข้อมูลซักฟอกให้ฝ่ายค้าน อุบหมัดเด็ด
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9609405
 
 
ปกรณ์วุฒิ ปูด สส.พรรคร่วมรัฐบาล น้ำท่วมปาก ดอดเอาข้อมูลซักฟอกให้ฝ่ายค้าน อุบหมัดเด็ด ไม่แย้มแม้แต่น้ำจิ้ม บอกรอรู้พร้อมกัน
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ม.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ตอนนี้เตรียมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการอภิปรายจะอยู่ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือน มี.ค.
 
โดยช่วงต้นเดือนหน้าได้นัดพูดคุยกับพรรคร่วมฝ่ายค้านไว้แล้ว โดยอาจจะเป็นการประชุมและรับประทานอาหารร่วมกัน เหมือนกับตอนดินเนอร์พรรคร่วมฝ่ายค้านครั้งที่แล้ว ซึ่งครั้งนี้พรรคไทยสร้างไทยจะเป็นเจ้าภาพ
 
เมื่อถามกรณีนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคประชาชน เคยระบุว่า มีคนในพรรคร่วมรัฐบาลทนไม่ไหว ส่งข้อมูลการอภิปรายมาให้ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายปกรณ์วุฒิ ยิ้มพร้อมกล่าวว่า เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ก็ได้ ตั้งแต่ตนเป็น สส.สมัยที่แล้ว ก็เคยมี สส.ฝั่งรัฐบาล นำข้อมูลบางอย่างมาให้
 
“ผมคิดว่ามันมีความกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ในหลายๆ เรื่องในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นสิ่งที่ควรจะถูกแก้ไข แต่เขาไม่สามารถพูดเองได้ ด้วยความที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล น้ำท่วมปาก ก็จะยื่นมาให้ผมลองนำไปขับเคลื่อนต่อดู ก็เป็นไปได้ว่า อย่างนายณัฐชา สส.ฝั่งรัฐบาลอาจจะมองเห็นศักยภาพว่า ถ้ามอบข้อมูลบางอย่างที่อาจจะนำไปสู่การไม่ไว้วางใจได้ ก็อาจจะเป็นไปได้อยู่เหมือนกัน” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
 
เมื่อถามกรณีเคยมีข่าวว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เคยถูกข่มขู่จะให้พ้นจากเก้าอี้ โดยนำเงิน 300 ล้านบาทมาแลก นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า ปัญหานี้คงไม่ได้สะท้อนสถานภาพของรัฐบาล แต่สะท้อนเสถียรภาพของประชาธิปไตยไทยด้วยว่า ถ้าอยากเป็นรัฐมนตรีต้องใช้เงิน 300 ล้านบาท แล้วประชาธิปไตยไทยถูกขับเคลื่อนด้วยอะไร ตำแหน่งรัฐมนตรีถูกเลือกกันด้วยอะไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงประชาชนก็พูดมาตลอด
 
เมื่อถามว่าข้อมูลอภิปรายประเด็นไหนถือว่าเด็ดที่สุด นายปกรณ์วุฒิ หัวเราะ ก่อนกล่าวว่า ยังไม่บอก
ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่าจะมีเป็นน้ำจิ้มมาให้ก่อนหรือไม่ นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เปิดมาก็รู้พร้อมกัน


 
“กัณวีร์” ชี้ถึงเวลาไทยจัดการปัญหาผู้ลี้ภัย ค้างคามากว่า 40 ปี
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_833702/

“กัณวีร์” ชี้ถึงเวลารัฐบาลไทยจัดการปัญหาผู้ลี้ภัย ที่ค้างคามากว่า 40 ปี หลังสหรัฐฯตัดงบตามนโนบาย “ทรัมป์” ยอมรับความจริง เปลี่ยนผู้ลี้ภัยเป็นแรงงานถูกกฎหมาย ร่วมพัฒนาประเทศ หลังโอกาสกลับเมียนมายากมาก
 
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยถึงกรณีมีการปิดโรงพยาบาลในค่ายผู้ลี้ภัยในชายแดนไทยที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสหรัฐอเมริกา จากนโยบาย “Executive Order” ให้ตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศทันที 90 วัน ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้ผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่ลี้ภัยการสู้รบจากประเทศเมียนมา มากว่า 40 ปี และยังเหลืออยู่ในค่ายผู้หนีภัยการสู้รบ 9 แห่งในไทยกว่า 80,000 คน ได้รับผบกระทบทันที โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงถึงตารัฐบาลไทยต้องจัดการสิ่งที่ค้างคามานานกว่า 40 กว่าปีในค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่ง ที่มีจำนวนผู้ลี้ภัยจากเมียนมากว่า 80,000 คน
ฝรั่งเมกันเปิดแนบกลับไปหาเทพีสันติภาพแล้ว
 
นายกัณวีร์ กล่าวว่า มีข้อเสนอที่เสนอมานานแล้วในเรื่องค่ายผู้ลี้ภัยทั้ง 9 แห่งมาเสนอต่อว่า หากเราอยากกำจัดปัญหาสถานการณ์มนุษยธรรมที่ยืดเยื้อให้หมดไปนั้น “เราเปิดค่าย เพื่อปิดค่าย” ซึ่งมีเหตุผล
 
1. เราปิดมานานเพราะคิดว่าจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว
2. พวกเขากลับเมียนมาไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะถ้ากลับได้กลับไปนานแล้ว
3. การตั้งถิ่นฐานใหม่ประเทศที่3 ก็ริบหรี่ เพราะทรัมป์ตัดงบทั่วโลกด้านนี้ แถมนโยบายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยก็เลวร้ายขึ้น
4. คนที่เกิดมาในค่ายทั้งหมดเป็นเจเนอเรชั่นที่ 3-4 ของคนที่เข้ามาตั้งแต่ 40 กว่าปีที่แล้ว ไม่ประสงค์อย่างแน่นอนในการกลับ
5. เหตุผลทั้งหมด 4 ประการข้างต้น บวกกับการตัดงบประมาณครั้งใหญ่หลวง และการหยุดการให้บริการเกือบทั้งระบบในค่าย ชี้ให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาด้านผู้ลี้ภัยเหลือด้านเดียว คือ การผสมกลมกลืนกับประเทศผู้ลี้ภัย
  
“ข้อเสนอนี้คือดูความเป็นจริง ยุติการพึ่งพา ยืนด้วยขาตัวเอง ผลประโยชน์เข้าไทย และเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”
  
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า ต้องยอมรับความเป็นจริงคือพวกเขากลับเมียนมาไม่ได้และคงไม่กลับอย่างแน่นอน เพราะทั้งสถานการณ์ในประเทศในปัจจุบัน ทั้งเจเนอเรชั่นที่เกิดและโตในค่ายไม่สามารถกลับได้แน่ โดยเราต้องมองการตัดสินใจทำงานว่าจะยุติการพึ่งพาที่เมกันวิ่งหนีแล้วจะทำยังไงให้ผู้ลี้ภัยยืนด้วยขาตัวเองได้
 
“พวกเขาต้องออกมาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย คนทั้ง 8 หมื่นกว่าคนนี้ มากกว่า 65% อยู่ในวัยทำงาน เอาเค้าออกมาทำงานที่ประเทศไทยที่ยังขาดแรงงานอยู่ในพื้นที่ต่างๆเพราะกระตุ้นทั้งการจ้างงาน เสริมแรงงานที่ขาดแคลนในพื้นที่ และเก็บภาษีเข้าประเทศได้มากขึ้น”
 
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าให้ผู้ลี้ภัยเป็นแรงงานถูกกฎหมาย มากกว่านั้นคือพวกเขา เสียภาษีถูกต้องแล้วการตรวจสอบก็ง่ายขึ้น ลูกหลานและครอบครัวก็เข้าสู่ระบบที่ถูกต้องทั้งการศึกษารักษาพยาบาล และสวัสดิการการจ้างงานแรงงานข้ามชาติต่างๆ ไม่เป็นภาระให้ไทยอีกต่อไป ผลประโยชน์เข้าไทยเต็มใบที่สำคัญมากที่สุดการเก็บส่วยต่างๆ และการจับผู้ลี้ภัยนอกค่ายที่เค้าหลบหนีออกไปทำงานแล้วรีดไถพวกเขาจะหมดสิ้นไป เปลี่ยนเป็นเงินภาษีที่ถูกต้องที่เค้าจะยืนด้วยขาตัวเองและช่วยสร้างผลประโยชน์ให้ไทยไปในเวลาเดียวกัน
 
“ถึงแม้เงินสนับสนุนจากสหรัฐฯ จะถูกระงับ 90 วันและไม่มีทีท่าว่าจะสนับสนุนต่อ เราไม่ต้องตีโพยตีพายครับ เราทำได้ เราทำดี เราทำเพื่อประเทศเราและมนุษย์ ใครจะวิ่งกลับไปกับเทพีสันติภาพก็ไปเถอะ เราวิ่งไปไกลมากกว่าเงินบริจาคที่สร้างการพึ่งพาอันนี้”
  


อุ้มซิงซิง กระทบเที่ยวพัทยา ผู้ประกอบการโอด ‘ตรุษจีน’ ตลาดทัวร์ซบเซา เหงากว่าที่คิด
https://www.matichon.co.th/region/news_5020559
 
อุ้ม ‘ซิงซิง’ กระทบท่องเที่ยวพัทยา ผู้ประกอบการท่องเที่ยวพัทยา โอดเทศกาลตรุษจีน 68 ตลาดทัวร์จีน และ F.I.T. ซบเซา เหงากว่าที่คาด
 
สถานการณด้านการท่องเที่ยวไทย สะเทือนอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ “ซิงซิง” ดาราจีนถูกหลอกมาทำงานในไทย แต่ถูกจับไปกักขังที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จนเกิดกระแสในประเทศจีนว่าการเที่ยวไทยไม่ปลอดภัย เมืองไทยอันตราย แม้เจ้าหน้าที่ไทยจะสามารถช่วยเหลือดาราจีนออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่กลับส่งผลให้ชาวเน็ตจีนจำนวนมากมองประเทศไทยไปในด้านลบ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวเมืองไทย มองประเทศไทย ไม่ปลอดภัย
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบเป็นวงกว้างรวมไปถึงเมืองท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวจีน อย่างเมืองพัทยาที่ได้รับผลกระทบนักท่องเที่ยวจีนหายไปเป็นอยากมากเมื่อเทียบกับช่วงเทศกาลตรุษจีนในปี 2567
 
ด้าน นายบัญชา กุลละวณิชย์ ผู้บริหารเรือโอเชียน สกาย เปิดเผยถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา ช่วงเทศกาลตรุษจีน 2568  ว่า สถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวพักผ่อนในเมืองพัทยา ช่วงตรุษจีนในปีที่ผ่าน ๆมา จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นสองเท่าจากตัวเลขนักท่องเที่ยวในฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ในช่วงตรุษจีนปีนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์ ซิงซิง ดาราจีนถูกหลอก มาประเทศไทยทำให้จนเป็นข่าวด้านลบของประเทศไทย ทำให้สถานการณ์ท่องเที่ยวของคนจริงที่มาพัทยาลดลงถึง 30% เมื่อเทียบกับเทศกาลตรุษจีน ปี 2567
 
โดยนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยาจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์ ซึ่งจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ราคาถูก และอีกกลุ่มจะเป็น F.I.T. หรือนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพักตามลำพัง มีการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวที่สูง ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ราคาถูก ในเทศกาลต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นเทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ และเทศกาลตรุษจีน ก็มีจำนวนลดลงอยู่แล้ว ด้วยช่วงดังกล่าวราคาทัวร์จะมีราคาที่สูงขึ้นทำให้นักท่องเที่ยวดังนี้จะหลีกเลี่ยงการเดินทางมาท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยว F.I.T. ซึ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อก็จะเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลต่าง ๆได้ แต่เทศกาลตรุษจีน ปี 2568 ผู้ประกอบการคาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินท่องเที่ยวกันจำนวนมาก แต่กลับสวนทางนักท่องเที่ยวไม่คึกคักไร้เงาทัวร์จีนและนักท่องเที่ยว F.I.T.
 
นายบัญชา กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจัยหลัก ๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงต่ำกว่าเดิม ก็คงเป็นข่าวภาพลบของประเทศไทยที่เกี่ยวกับดาราจีน ชิงชิงถูกหลอก ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเกิดความไม่เชื่อมั่นในความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงอยากฝากให้รัฐบาลไทยเร่งแก้ไขปัญหาสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย แก้ไขภาพลบด้านการท่องเที่ยว ร่วมกับรัฐบาลจีนเป็นการเร่งด่วน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่