สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรและตลาดแรงงาน ซึ่งกำลังเข้าสู่ยุคใหม่หลังจากที่กลุ่ม เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomers) ทยอยเกษียณในปี 2568 (2025) เป็นต้นไป โดยเจเนอเรชันที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในโลกการทำงานต่อจากนี้คือ เจน X, Y (มิลเลนเนียล), และ Z ซึ่งมีลักษณะและความต้องการที่แตกต่างกันจากรุ่นก่อน
ประเด็นสำคัญ:
1. อิทธิพลของเทคโนโลยี
คนเจน Y และ Z เติบโตมากับเทคโนโลยีและดิจิทัล พวกเขามีทักษะการใช้งานเทคโนโลยีสูง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
2. แนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance)
คนเจน Y และ Z ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าคนรุ่นก่อน ทำให้เกิดการปรับตัวในองค์กร เช่น การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) และการสนับสนุนความยืดหยุ่นในการทำงาน
3. ตลาดแรงงานปรับตัวรับคนรุ่นใหม่
บริษัทต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการบริหารจัดการคนรุ่นใหม่ โดยเน้นเรื่อง ความหลากหลาย (Diversity) และ ความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อดึงดูดคนทำงานยุคใหม่
4. การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง
การเกษียณของเบบี้บูมเมอร์อาจส่งผลให้เกิดช่องว่างทักษะในบางอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการแรงงานที่มีทักษะพิเศษหรือประสบการณ์
5. เจน Z: ตัวแปรสำคัญในอนาคต
คนเจน Z มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบความท้าทาย และคาดหวังโอกาสการเติบโตในสายอาชีพอย่างรวดเร็ว ซึ่งองค์กรต้องออกแบบการพัฒนาอาชีพให้ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา
โปรดจับตา! ชาวเจน Y ผู้ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย
เมื่อเบบี้บูมเมอร์ทยอยเกษียณและเจน X อยู่ในช่วงปลายของวัยทำงาน ความหวังในการพัฒนาประเทศจึงตกมาอยู่ในมือของคนเจน Y (มิลเลนเนียล) ซึ่งเกิดระหว่างปี 1981-1996 พวกเขาเติบโตขึ้นมาในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยี การเมือง และเศรษฐกิจ ทำให้คนเจน Y เป็นกลุ่มที่มีความคิดก้าวหน้า ปรับตัวได้ดี และมีศักยภาพที่จะพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น
1. ความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างรุ่น
ชาวเจน Y เติบโตมาในช่วงที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ พวกเขาจึงเป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างความคิดแบบอนาล็อกของเจน X/เบบี้บูมเมอร์ และความคิดแบบดิจิทัลของเจน Z การเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างสองโลกนี้ช่วยให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน
2. ทักษะดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
เจน Y คือกลุ่มคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในยุคดิจิทัล หลายคนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ทั้งในงานอาชีพ การบริหารจัดการ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
3. ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นผู้นำรุ่นใหม่
คนเจน Y เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ในการทำธุรกิจหรือการแก้ไขปัญหาสังคม เราจึงเห็นคนรุ่นนี้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพหรือองค์กรเพื่อสังคม (Social Enterprise) จำนวนมาก
4. การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
เจน Y มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พวกเขามักสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อโลก เช่น การใช้พลังงานสะอาด การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลดของเสีย
5. ความมุ่งมั่นในความเท่าเทียม
คนเจน Y ผลักดันแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ชาติพันธุ์ หรือการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา นโยบายหรือโครงการต่างๆ ที่พวกเขามีส่วนร่วมมักสะท้อนถึงความพยายามสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม
6. พลังแห่งการร่วมมือ (Collaboration)
ชาวเจน Y มีแนวโน้มที่จะทำงานเป็นทีมมากกว่าแข่งขันกันเอง พวกเขาเชื่อในพลังของการร่วมมือ ทั้งในองค์กร ระหว่างธุรกิจ หรือแม้แต่ระหว่างประเทศ การทำงานเป็นเครือข่ายนี้ช่วยผลักดันโครงการขนาดใหญ่ให้เกิดผลได้จริง
ตัวอย่างบทบาทสำคัญของเจน Y ในประเทศไทย
• ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ: หลายธุรกิจที่เติบโตในยุคดิจิทัล เช่น ฟินเทค แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ ล้วนก่อตั้งโดยคนเจน Y
• นักการเมืองรุ่นใหม่: คนเจน Y เริ่มเข้าสู่การเมืองมากขึ้น โดยมีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
• ผู้นำองค์กรเพื่อสังคม: ชาวเจน Y หลายคนสร้างองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาชนบท
ชาวเจน Y คือตัวแปรสำคัญที่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยความสามารถ ทักษะ และความคิดที่แตกต่าง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้สานต่อสิ่งที่รุ่นก่อนสร้างไว้ แต่ยังพร้อมจะสร้างสิ่งใหม่เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลและยั่งยืนมากขึ้น
จับตาไว้ให้ดี เพราะพวกเขาคือความหวังของอนาคต!
การเข้าสู่ยุคของเจน X, Y, และ Z จะสร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ให้กับทั้งตลาดแรงงานและองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการดึงดูด พัฒนา และรักษาคนเก่งในยุคนี้ไว้ในทีมงานของตัวเอง
พัฒนาสูงขึ้น ! ปี 68 ปิดฉากเบบี้บูมเมอร์ ทยอยเกษียณ จากนี้ถึงยุคของ ’เจน XYZ‘ ครองโลกการทำงาน
ประเด็นสำคัญ:
1. อิทธิพลของเทคโนโลยี
คนเจน Y และ Z เติบโตมากับเทคโนโลยีและดิจิทัล พวกเขามีทักษะการใช้งานเทคโนโลยีสูง และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน
2. แนวคิดเรื่องสมดุลชีวิตการทำงาน (Work-Life Balance)
คนเจน Y และ Z ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าคนรุ่นก่อน ทำให้เกิดการปรับตัวในองค์กร เช่น การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) และการสนับสนุนความยืดหยุ่นในการทำงาน
3. ตลาดแรงงานปรับตัวรับคนรุ่นใหม่
บริษัทต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์ในการบริหารจัดการคนรุ่นใหม่ โดยเน้นเรื่อง ความหลากหลาย (Diversity) และ ความยั่งยืน (Sustainability) เพื่อดึงดูดคนทำงานยุคใหม่
4. การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง
การเกษียณของเบบี้บูมเมอร์อาจส่งผลให้เกิดช่องว่างทักษะในบางอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการแรงงานที่มีทักษะพิเศษหรือประสบการณ์
5. เจน Z: ตัวแปรสำคัญในอนาคต
คนเจน Z มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ชอบความท้าทาย และคาดหวังโอกาสการเติบโตในสายอาชีพอย่างรวดเร็ว ซึ่งองค์กรต้องออกแบบการพัฒนาอาชีพให้ตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขา
โปรดจับตา! ชาวเจน Y ผู้ขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทย
เมื่อเบบี้บูมเมอร์ทยอยเกษียณและเจน X อยู่ในช่วงปลายของวัยทำงาน ความหวังในการพัฒนาประเทศจึงตกมาอยู่ในมือของคนเจน Y (มิลเลนเนียล) ซึ่งเกิดระหว่างปี 1981-1996 พวกเขาเติบโตขึ้นมาในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านเทคโนโลยี การเมือง และเศรษฐกิจ ทำให้คนเจน Y เป็นกลุ่มที่มีความคิดก้าวหน้า ปรับตัวได้ดี และมีศักยภาพที่จะพัฒนาประเทศให้ดียิ่งขึ้น
1. ความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างรุ่น
ชาวเจน Y เติบโตมาในช่วงที่เทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญ พวกเขาจึงเป็น “สะพาน” เชื่อมระหว่างความคิดแบบอนาล็อกของเจน X/เบบี้บูมเมอร์ และความคิดแบบดิจิทัลของเจน Z การเชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างสองโลกนี้ช่วยให้การพัฒนาประเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและยั่งยืน
2. ทักษะดิจิทัลที่แข็งแกร่ง
เจน Y คือกลุ่มคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดในยุคดิจิทัล หลายคนมีทักษะในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในทุกด้าน ทั้งในงานอาชีพ การบริหารจัดการ และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
3. ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นผู้นำรุ่นใหม่
คนเจน Y เต็มไปด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ในการทำธุรกิจหรือการแก้ไขปัญหาสังคม เราจึงเห็นคนรุ่นนี้ก่อตั้งธุรกิจสตาร์ทอัพหรือองค์กรเพื่อสังคม (Social Enterprise) จำนวนมาก
4. การให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
เจน Y มีความตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน พวกเขามักสนับสนุนแนวคิดการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อโลก เช่น การใช้พลังงานสะอาด การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และการลดของเสีย
5. ความมุ่งมั่นในความเท่าเทียม
คนเจน Y ผลักดันแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ ชาติพันธุ์ หรือการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจและการศึกษา นโยบายหรือโครงการต่างๆ ที่พวกเขามีส่วนร่วมมักสะท้อนถึงความพยายามสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิม
6. พลังแห่งการร่วมมือ (Collaboration)
ชาวเจน Y มีแนวโน้มที่จะทำงานเป็นทีมมากกว่าแข่งขันกันเอง พวกเขาเชื่อในพลังของการร่วมมือ ทั้งในองค์กร ระหว่างธุรกิจ หรือแม้แต่ระหว่างประเทศ การทำงานเป็นเครือข่ายนี้ช่วยผลักดันโครงการขนาดใหญ่ให้เกิดผลได้จริง
ตัวอย่างบทบาทสำคัญของเจน Y ในประเทศไทย
• ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ: หลายธุรกิจที่เติบโตในยุคดิจิทัล เช่น ฟินเทค แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และแอปพลิเคชันด้านสุขภาพ ล้วนก่อตั้งโดยคนเจน Y
• นักการเมืองรุ่นใหม่: คนเจน Y เริ่มเข้าสู่การเมืองมากขึ้น โดยมีวิสัยทัศน์และนโยบายที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
• ผู้นำองค์กรเพื่อสังคม: ชาวเจน Y หลายคนสร้างองค์กรที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสังคม เช่น ความเหลื่อมล้ำและการพัฒนาชนบท
ชาวเจน Y คือตัวแปรสำคัญที่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคใหม่ ด้วยความสามารถ ทักษะ และความคิดที่แตกต่าง พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงผู้สานต่อสิ่งที่รุ่นก่อนสร้างไว้ แต่ยังพร้อมจะสร้างสิ่งใหม่เพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไกลและยั่งยืนมากขึ้น
จับตาไว้ให้ดี เพราะพวกเขาคือความหวังของอนาคต!
การเข้าสู่ยุคของเจน X, Y, และ Z จะสร้างโอกาสและความท้าทายใหม่ๆ ให้กับทั้งตลาดแรงงานและองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการดึงดูด พัฒนา และรักษาคนเก่งในยุคนี้ไว้ในทีมงานของตัวเอง