ปี 2566
สสส.-คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยงานวิจัย คนไทยกว่า 36 ล้านคน เคยถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ปี 66
พบความเสียหาย 49,845 ล้านบาท เฉลี่ย 2,660.94 บาท/คน กลุ่ม Gen Y มีจำนวนผู้เสียหายมากที่สุด มูลค่าความเสียหายสูงสุด ประเภทการหลอกลวง ส่วนใหญ่จากซื้อสินค้าออนไลน์และหลอกให้ลงทุน
https://www.hfocus.org/content/2024/05/30458
2567
วันนี้ (7 ม.ค. 68) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภค ปี 2567 โดยได้รับเรื่องร้องเรียนและให้คำปรึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 1,361 เรื่อง รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
(เฉพาะที่ มพบ. รับเรื่อง)
ทั้งนี้หากคิดตามมูลค่าความเสียหายแล้ว ภัยการเงิน ถือเป็นต้นเหตุที่สร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค มากเป็นอันดับ 1 ของปี 2567 มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 70 ล้านบาท นี่เป็นข้อมูลจากฐานระบบของฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งบันทึกสถิติการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ประกอบด้วย
ภัยทางการเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (เสียหายกว่า 70 ล้านบาท)
อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย (ความเสียหายกว่า 66 ล้านบาท)
สินค้าและบริการทั่วไป (เสียหายกว่า 57 ล้านบาท)
สื่อโทรคมนาคม (เสียหายกว่า 20 ล้านบาท)
บริการขนส่งและยานพาหนะ อาหาร ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริการสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ (เสียหายตั้งแต่หลักหมื่น-แสนบาท)
นายแมนวู จู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกโกลุก (ประเทศไทย) กล่าวถึงข้อมูลจากรายงานสถานการณ์การหลองลวงจากมิจฉาชีพในประเทศไทย (State of Scams in Thailand) ประจำปี 2567 พบว่ามูลค่าความเสียหายที่เหยื่อถูกหลอกจากมิจฉาชีพเฉลี่ยสูงถึง 1,106 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 36,000 บาทต่อคนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา
การโทรเข้าและส่งข้อความผ่านมือถือยังเป็นวิธีการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด ตามด้วยโฆษณาออนไลน์ การใช้แอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับส่งข้อความ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย โดย 5 ช่องทางที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุดในการหลอกลวงได้แก่ Facebook 50% ตามด้วย Line 43% Messenger 39% TikTok 25% และ Gmail 20%
ทั้งนี้ การได้รับคืนเงินที่ถูกมิจฉาชีพหลอกไปนั้นทำได้ยากขึ้นเมื่อเทียบกับปีผ่านมา ผลสำรวจจพบว่ากว่า 1 ใน 3 หรือ 39% สูญเสียเงินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ โดยมีเหยื่อเพียง 2% ได้เงินที่ ถูกหลอกไปคืนทั้งหมด แต่มีเหยื่อมากถึง 71% ไม่สามารถนำเงินที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ และ 73% ระบุว่าได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงหลังจากถูกหลอก
***แอบอ้าง ขโมยตัวตน หลอกเหยื่อ
‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ฆ่าไม่ตาย! ผู้เสียหายหมดตัว
สสส.-คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เผยงานวิจัย คนไทยกว่า 36 ล้านคน เคยถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ ปี 66 พบความเสียหาย 49,845 ล้านบาท เฉลี่ย 2,660.94 บาท/คน กลุ่ม Gen Y มีจำนวนผู้เสียหายมากที่สุด มูลค่าความเสียหายสูงสุด ประเภทการหลอกลวง ส่วนใหญ่จากซื้อสินค้าออนไลน์และหลอกให้ลงทุน https://www.hfocus.org/content/2024/05/30458
2567
ทั้งนี้หากคิดตามมูลค่าความเสียหายแล้ว ภัยการเงิน ถือเป็นต้นเหตุที่สร้างความเสียหายต่อผู้บริโภค มากเป็นอันดับ 1 ของปี 2567 มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 70 ล้านบาท นี่เป็นข้อมูลจากฐานระบบของฝ่ายพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ซึ่งบันทึกสถิติการรับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย ประกอบด้วย
ภัยทางการเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (เสียหายกว่า 70 ล้านบาท)
อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย (ความเสียหายกว่า 66 ล้านบาท)
สินค้าและบริการทั่วไป (เสียหายกว่า 57 ล้านบาท)
สื่อโทรคมนาคม (เสียหายกว่า 20 ล้านบาท)
บริการขนส่งและยานพาหนะ อาหาร ยา เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริการสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ (เสียหายตั้งแต่หลักหมื่น-แสนบาท)
การโทรเข้าและส่งข้อความผ่านมือถือยังเป็นวิธีการหลอกลวงที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุด ตามด้วยโฆษณาออนไลน์ การใช้แอปพลิเคชันต่างๆ สำหรับส่งข้อความ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย โดย 5 ช่องทางที่มิจฉาชีพใช้มากที่สุดในการหลอกลวงได้แก่ Facebook 50% ตามด้วย Line 43% Messenger 39% TikTok 25% และ Gmail 20%
ทั้งนี้ การได้รับคืนเงินที่ถูกมิจฉาชีพหลอกไปนั้นทำได้ยากขึ้นเมื่อเทียบกับปีผ่านมา ผลสำรวจจพบว่ากว่า 1 ใน 3 หรือ 39% สูญเสียเงินภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพ โดยมีเหยื่อเพียง 2% ได้เงินที่ ถูกหลอกไปคืนทั้งหมด แต่มีเหยื่อมากถึง 71% ไม่สามารถนำเงินที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ และ 73% ระบุว่าได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงหลังจากถูกหลอก
***แอบอ้าง ขโมยตัวตน หลอกเหยื่อ