แชร์ประสบการณ์ผีหลอก สวดมนต์ไล่ก็ยังเฉยใส่อีก

ประสบการ์ณเรื่องผี ที่เราเจอมาตอนปี 2565
          มันเป็นช่วงที่เราต้องเดินทางไปทำธุระแถวจังหวัดหนึ่งติดกับเขตกรุงเทพฯ ซึ่งต้องพักแรม 1 คืนเพื่อทำธุระตอนเช้าอีกวัน เราเดินทางไปกับเพื่อนรวมทั้งหมด 5 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 1 คน เราขอแทนชื่อเพื่อนทั้ง 4 คน ดังนี้ ผู้ชายชื่อ พี่บัส ผู้หญิงชื่อ ป่าน พี่ซิน พี่หยิน ก่อนออกเดินทางเราขับรถไปรับพี่ซินที่บ้าน เพราะว่าจะเอารถไปไว้ที่บ้านพี่หยิน แล้วนั่งรถพี่หยินไปสนามบินคันเดียวก็พอ คือพี่หยินแกจะเอารถไปจอดไว้ที่สนามบิน เราออกจากบ้านมาแต่เช้า กะเวลาว่าจะไปรับพี่ซินเช้าๆ แล้วไปหาอะไรกินกันที่สนามบิน พอไปถึงบ้านพี่ซิน เราก็จอดรถที่หน้าบ้านพี่ซิน แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ซึ่งประตูหน้าบ้านพี่ซินเปิดทิ้งไว้ เราตะโกนเรียกพี่ซิน พี่ซินบอกให้เรารอแป๊บหนึ่ง  เราก็มานั่งรอในรถ ประมาณสักสิบห้านาที พี่ซินออกมา เอากระเป๋าใส่ไว้ในรถเรา แต่...แต่รถเราสตาร์ทไม่ติด เอ๊ะยังไง น้ำมันก็เต็มถึง เกิดอะไรขึ้นนะ หรือว่าแบตเตอรี่รถจะหมดรึป่าว พี่ซินบอกว่าตอนนี้มีแต่สาวๆ อยู่ที่บ้าน แฟนพี่ซินไม่อยู่บ้าน เลยจะไปขอความช่วยเหลือจากลุงข้างบ้าน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่พี่ซินไปซื้อที่เขามาสร้างบ้าน ว่าแล้วพี่ซินก็ขี่มอเตอร์ไซต์ไปหาลุงข้างบ้าน พอลุงมาก็เอาสายจั๊มแบตเตอรี่รถมาด้วย พร้อมกับเปิดกระโปรงรถเราเพื่อจั๊มแบตเตอรี่กับรถพี่ซิน ใช้เวลาจั๊มแบตเตอรี่ไม่นาน รถเราก็สตาร์ทติด เราก็ยกมือขอบคุณลุงข้างบ้าน พี่ซินเสนอความคิดว่าเอารถพี่ซินไปไว้บ้านพี่หยินก็แล้วกัน ส่วนรถเราเอาไปจอดไว้ที่ทำงาน เพราะบ้านพี่ซินกับที่ทำงานเราอยู่ใกล้กันประมาณ 500 เมตร ก็ตกลงกันตามนั้น จากนั้นก็ไปบ้านพี่หยิน พี่หยินก็ทักว่าทำไมมาช้าจัง เราก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พร้อมกับขึ้นรถเดินทางไปยังสนามบิน ลืมบอกไปว่าพวกเราเป็นคนเชียงใหม่ค่ะ เราขึ้นเครื่องบินจากจังหวัดเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ พอถึงสนามบินดอนเมือง พวกเราตกลงกันว่าจะนั่งรถไฟจากสถานีดอนเมืองไปยังสถานีแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า เพราะตอนนี้เป็นเวลาของมื้อเที่ยงแล้ว พี่หยินบอกว่าไปทานสุกี้กันดีกว่า แล้วมื้อนั้นพี่หยินก็เป็นเจ้าภาพเลี้ยง พี่บัสเลยบอกว่าถ้ากลับเชียงใหม่จะพาไปเลี้ยงกาแฟแทนก็แล้วกันนะเด็กๆ พวกเราก็ชอบสิแบบนี้ จากนั้นพวกเราก็เรียกแท็กซี่ไปยังที่โรงแรมที่จองไว้ใกล้ๆ สถานที่ที่จะไปทำธุระในตอนเช้า เราเข้าที่พักไปในช่วงเย็น ก่อนเข้าไปในโรงแรมที่พัก ก็ผ่านศาลพระภูมิ เราก็ยกมือไหว้ตามธรรมเนียม พูดบอกศาลพระภูมิไปว่ามาขอพักสักคืน ช่วยคุ้มครองปกปักรักษาด้วย และก็เข้าไปเช็คอินที่เคาเตอร์ เราเข้าพักกับป่านที่มาด้วยกัน เราได้ที่พักชั้น 5 แต่พี่ซินกับพี่หยินได้ที่พักชั้น 2 ส่วนพี่บัสได้ที่พักชั้น 6 จากนั้นก็แยกย้ายกันไปที่ห้องพัก เราห้าคนก็ขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกัน ลิฟต์ไปส่งชั้น 2  แล้วไปส่งชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นที่พักของเรา แล้วก็ไปส่งพี่บัสชั้น 6 ต่อ พอลิฟต์มาจอดที่ชั้น 5 ประตูเปิดออกมา เราก็ออกจากลิฟต์มาแล้วก็ตกใจมาก เพราะเห็นเลขห้อง รู้เลยว่าต้องพักห้องนี้ แต่ที่สำคัญก็คือมันอยู่ตรงทางสามแพร่งพอดี ตอนนั้นรู้สึกว่าไม่ใช่ละ มันไม่อยากจะพักห้องนี้ ใจมันรู้สึกแปลกๆ แต่รู้ว่าเปลี่ยนห้องไม่ได้แล้ว เพราะมีคนพักเต็มทุกห้อง ก็เลยจำใจต้องเข้าพัก ก่อนเข้าห้องเราก็เลยเคาะประตูสามครั้ง เพื่อขออนุญาตเข้าห้อง จริงๆ เราเป็นคนที่กลัวผีมากแต่ก็ชอบฟังเรื่องผีจากโซเชี่ยลมีเดียหลายช่องทาง และจากคนใกล้ชิดมาก็เยอะ เอาละ เราคิดว่าเคาะห้องขออนุญาตก่อนก็แล้วกัน ห้องจะมีเจ้าของห้องหรือไม่นั้นค่อยว่ากันอีกที พอเปิดประตูเข้าไปในห้อง ก็เจอว่าห้องมันรู้สึกมืด ทึมๆ เลยรีบเปิดไฟ ก็ยังรู้สึกว่าห้องดูไม่ค่อยสว่าง มองหาหน้าต่างแต่ปรากฏว่าเป็นแค่บานกระจกเล็กๆ ที่ไม่สามารถเปิดได้ ก็เลยปิดผ้าม่านไว้เหมือนเดิม มองรอบห้อง เห็นตู้เสื้อผ้าแบบแอนทีคเก่าๆ แล้วมีโต๊ะรับแขกเก่าๆ ติดผนัง ลักษณะห้องพักตกแต่งแบบแอนทีค ดูหลอนๆ มากกว่าน่าอยู่ เรานอนเตียงเดียวกับป่านเป็นเตียงคิงไซส์ ฝั่งที่เรานอน ทางด้านปลายเท้ามีตู้เสื้อผ้าเก่าๆ ตั้งอยู่ไม่ห่างไปมากนัก ป่านนอนฝั่งติดกับห้องน้ำ เรากับป่านเปิดไฟทุกดวงไม่เว้นแม้แต่ไฟห้องน้ำ เราก็ยังรู้สึกว่าห้องมันดูมืดๆ สักพักโทรศัพท์ของป่านดังขึ้น ป่านรับโทรศัพท์ ได้ยินว่า โอเคเดี๋ยวเราลงไปหานะ แล้วมันก็บอกกับเราว่าจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่แต่มาทำงานอยู่ในจังหวัดนี้นะ ซึ่งตอนนี้เพื่อนมาถึงแล้ว รออยู่ข้างล่างที่พัก ป่านบอกว่า ตอนดึกๆ จะกลับเข้ามานอนด้วย เราก็โอเคไม่มีปัญหา เพราะอีกสักพักเราก็จะลงไปหาพี่ซินกับพี่หยินที่พักอยู่ชั้น 2 หลังจากที่ป่านออกจากห้องไปประมาณสิบนาที เราก็ถ่ายรูปห้องพักแล้วส่งรูปแต่ละมุมให้แม่ดูทางไลน์ พอแม่เปิดดูมันก็ขึ้นข้อความว่าอ่านแล้ว และก็ส่งข้อความตอบกลับมาว่า อย่าลืมสวดมนต์ไหว้พระก่อนนอนด้วยนะลูก รู้สึกว่าห้องจะดูไม่ค่อยโอเคนะ ดูเก่าๆ อืมครืม มืดๆ บอกไม่ถูก เราก็รับปากแม่ว่าจะทำตาม เพราะเวลาเราไปนอนพักที่อื่น ที่ไม่ใช่ที่บ้านเราจะสวดมนต์ไหว้พระเสมอ คุยกับแม่ทางไลน์เสร็จแล้วเราก็วางโทรศัพท์ไว้บนเตียง และนึกขึ้นได้ว่า แม่เคยบอกว่า ทุกครั้งที่ออกบ้านไปนอนพักแรมที่อื่น ให้เอาเหรียญวางใต้เตียงเพื่อเช่าเตียงนอนนะ เพราะบางทีเตียงที่เราไปนอนอยู่เค้าอาจจะมีเจ้าของที่หวงเตียง เราหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาค้นหาเหรียญ ก็เจอเหรียญห้าบาทก็เลยหยิบเอาออกมาวางไว้ที่ใต้เตียงบริเวณหัวเตียงฝั่งที่เรานอน แต่...แต่...ในช่วงที่เรากำลังวางเหรียญห้าบาทบนพื้นนั้น เราเกิดอาการขนหัวลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน เราเริ่มรู้ตัวแล้วว่าห้องนี้ไม่ปกติแล้ว ก็เลยรีบวิ่งออกจากห้องวิ่งตรงไปยังลิฟต์แล้วกดไปชั้น 2  พอลิฟต์มาถึงชั้น 2 เรารีบวิ่งไปเคาะประตูห้องพี่ซินกับพี่หยิน แต่ก็ไม่ได้เล่าให้ทั้งสองคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น สักพักพี่ซินบอกหิวข้าว แล้วบอกว่าเราเข้าแอฟเขียวสั่งอาหารมากินดีกว่าไหม แต่พี่หยินบอกว่าอยากดื่มแอลอฮอล์เย็นๆ สักกระป๋องสองกระป๋องดีหรือเปล่า เพราะก่อนขึ้นลิฟต์เห็นว่าใต้ที่พักมีตู้หยอดเหรียญเครื่องดื่ม มีทั้งน้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลาย เราก็ตามใจสาวๆ ทั้งสอง แต่เราบอกปฏิเสธไปว่าเราไม่ดื่ม ขอน้ำอัดลมก็พอนะ จากนั้นพี่ซินกับพี่หยินก็สั่งอาหารมาทานกันในห้องและลงไปใต้ตึกเพื่อไปเอาเครื่องดื่มขึ้นมาในห้อง สรุปว่าได้น้ำอัดลมมา 1 กระป๋อง แอลกอฮอล์ 6 กระป๋อง พวกเราสาวๆ โทรไปชวนพี่บัสลงมากินอะไรด้วยกันในห้อง พี่บัสปฏิเสธ แกบอกว่าอยากนอนพัก แกรู้สึกเพลีย บอกให้พวกเราตามสบายกันเลย แกขอไม่ร่วมวงนะวันนี้  พวกเราสามสาวนั่งทานข้าว ดื่มเครื่องดื่มนั่งคุยกันไปสักพัก ผ่านไปประมาณทุ่มกว่าๆ ป่านที่นอนห้องเดียวกับเราก็กลับมาพร้อมขนมมาฝากเรา และก็นั่งดื่มแอลกอฮอล์ แล้วก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่เราแอบเป็นกังวลว่าขึ้นไปจะเจออะไรหรือป่าว สรุปว่าทั้งสามสาวดื่มแอลกอฮอล์กันไปคนละ 2 กระป๋อง จากนั้นป่านก็ชวนเรากลับห้องพัก เราก็ยังไม่ได้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราบ้างในช่วงที่ป่านไม่อยู่ เรากับป่านขึ้นลิฟต์ไปจนถึงชั้น 5 แล้วเดินมาหน้าห้องที่อยู่ทางสามแพร่งพอดี ป่านล้วงกระเป๋าหากุญแจแล้วกำลังจะเปิดประตูเข้าไปแล้ว แต่เราบอกป่านว่าขอเคาะประตูก่อนเข้าห้องได้หรือเปล่า ป่านก็พูดกลับมาว่าก่อนเข้าห้องครั้งแรกก็เคาะไปแล้วนี่ แล้วจะเคาะอีกทำไม เราก็บอกว่าเอาเถอะน่า เคาะไปเถอะไม่เสียหายอะไร ป่านก็รอเราเคาะประตูสามครั้งแล้วก็เปิดประตูเข้าห้อง พอเข้ามาในห้องบรรยากาศมันไม่เหมือนตอนเย็นเลย คือมันดูอืมครืม อึดอัด น่ากลัวกว่าเดิมอีก มองไปที่ตู้เสื้อผ้าใบใหญ่แล้วไม่กล้าไปเปิดตู้เลย เรากับป่านก็เลยตกลงกันว่าพวกเราจะไม่ใช้ตู้เสื้อผ้ากันนะ ก็เลยเอากระเป๋าสัมภาระไว้ข้างๆ โต๊ะรับแขกก็แล้วกัน จริงๆ ห้องนั้นก็มีทีวีให้ดู แต่เรากับป่านก็ไม่เปิดทีวีดู เพราะไม่ชอบดูทีวีกันทั้งคู่ และอาจจะเพราะไม่เจอกันนาน เนื่องจากเราทำงานอยู่คนละที่กันแล้วก็ไม่ค่อยมีเวลาเจอกันเลย เราก็เลยนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระกัน แล้วเราก็ขอตัวไปอาบน้ำ เพราะตอนนี้ใกล้จะสามทุ่มครึ่งแล้ว เราบอกป่านว่าไม่ล็อคประตูห้องน้ำนะ ป่านรู้อยู่แล้วว่าเราเป็นคนที่กลัวผีมาก มันก็หัวเราะแล้วบอกว่ามันก็อยู่ในห้องนะ เราจะกลัวอะไร เราบอกว่าเพื่อความสบายใจของเราไง เราเข้าไปในห้องน้ำ มันเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก เราก็รีบอาบน้ำทำธุระส่วนตัวแบบรีบๆ เพราะกลัวว่าป่านจะอาบน้ำดึกเกินไป กลัวมันจะหลับไปก่อน พอเราออกจากห้องน้ำ ป่านก็เตรียมตัวที่จะเข้าห้องน้ำต่อ เรามานั่งบนเตียงเล่นเกมส์ รอป่านอาบน้ำ ป่านอาบน้ำเสร็จก็ออกมานอนคุยกันว่าพรุ่งนี้ไปทำธุระกันจะเจออะไรบ้าง จะผ่านพ้นไปด้วยดีหรือเปล่า คุยกันไปมาเวลาล่วงไปจนถึงห้าทุ่มแล้ว เลยบอกว่านอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า เพราะทางโรงแรมมีรถตู้บริการรับส่งไปยังสถานที่ที่พวกเราจะไปทำธุระ แต่ต้องออกเวลา 6:00 น. เพราะมีคนใช้บริการกันเยอะมาก และรถตู้มีแค่ 3 คัน จากนั้นพวกเราก็นอนหลับกันไป ก่อนนอนก็ไม่ลืมไหว้พระสวดมนต์ตามที่แม่บอกมา แล้วก็เอาพระที่ห้อยไว้ถอดออกไว้ข้างๆ หมอน  สักประมาณตีสองกว่าๆ ได้ยินเสียงดังนอกห้อง แต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาดู เรากับป่านตกลงกันว่าจะเปิดไฟไว้ในห้องน้ำไว้หนึ่งดวงแล้วเปิดประตูแง้มๆ ไว้ให้มีแสงสว่างลอดออกมาบ้าง เราเงียหูฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้น ปรากฏว่ามันเป็นเสียงคนเดินกันข้างนอก เดินแบบขวักไขว่ แล้วพูดคุยกัน แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ว่าพูดเรื่องอะไรกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็หลับต่อ แต่....แต่...แต่กำลังจะเคลิ้มหลับไป รู้สึกเหมือนกับว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาจากประตู ลักษณะผมยาว ตัวดำๆ ค่อยๆ เดินอ้อมเตียงมาที่เรา แล้วก็เดินมาถึงที่เรานอนแล้วเอามือมาวางไว้ที่ท้องเรา แล้วเอาหัวมานอนตรงที่ท้องเราแล้วหน้าหันไปทางปลายเท้าของเรา เราก็งง ว่าทำอะไรเนี้ย แล้วจู่ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็หันกลับมามองหน้าเรา วินาทีนั้นเราร้องกรี๊ดลั่นห้องเลย ถึงแม้ว่าไฟจะมีแสงสลัวๆ ส่องออกมาจากห้องน้ำ แต่มันก็ทำให้เราเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีตาดำ มีแต่ตาขาว แล้วหน้าผู้หญิงคนนั้นดูแบนๆ โล้นๆ มองไม่เห็นจมูก ปาก หน้าตาขาวซีดเหมือนกับกระดาษ ที่สำคัญตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นเอาหัวมานอนตรงท้องเราแล้วกำลังจ้องหน้าเราอยู่  สิ่งที่คิดได้ตอนนั้นรู้แล้วว่าไม่ใช่คนแน่ๆ ในใจบอกว่ามันคือผี...ผี...ผีแน่ๆ เมื่อสมองประมวลผลแล้ว สิ่งที่คิดได้คือต้องลุกจากที่นอนตรงนั้น หรือออกจากที่ตรงนั้นให้ได้ก่อน แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เพราะตัวเราขยับตัวไม่ได้ ตอนนั้นกลัวมาก คิดได้อย่างเดียวคือสวดมนต์ แต่มันกลัวจนจำบทสวดมนต์ไม่ได้ แว๊ปหนึ่งในหัวคิดได้ว่านโม ตัสสะ ใช่....เราท่องนะโมได้ แล้วคาถาหลวงปู่ทวดเราก็ท่องได้ อิติปิโสท่องจบแน่ๆ ชินบัญชรก็พอท่องได้ถึงท่อนกลางๆ แต่ท่องไม่จบ แต่ตอนนี้คิดไม่ออกว่าคาถาหลวงปู่ทวดเริ่มสวดยังไง ท่องนะโมไปก่อนก็แล้วก่อน ท่องนะโมไปสองจบ มันก็นอนเอาหัววางตรงท้องเรามองเราอยู่เหมือนเดิม กลัวมากตอนนั้น  คือมันไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือนอะไรเลยกับคาถาของเรา  เอาไงต่อดี เราคิดจะไปหยิบพระที่อยู่ข้างๆ หมอนแต่ก็ขยับตัวไม่ได้อีก วินาทีนั้นมันช่างยาวนานมากเหลือเกิน สุดท้ายแล้วสิ่งที่คิดได้ คือคิดถึงแม่ขึ้นมา ก็เลยเรียกแม่ไปสุดเสียง แล้วก็หลุดขยับตัวได้ ส่วนผีตัวนั้นก็หายไป  แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไอ้ป่านเพื่อนรัก หลับสนิทมาก มันสะดุ้งตื่นตอนที่เราตะโกนเรียกแม่ มันรีบไปเปิดไฟ แล้วพูดว่า แกเป็นไรวะ เกิดอะไรขึ้น เราก็บอกว่าผีหลอก มันก็อึ้งๆ เราก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราตั้งแต่ตอนเย็น จนถึงตอนโดนผีหลอกให้ฟัง มันก็รับฟังแล้วทำหน้าสยอง และบอกเราว่า ตัวมันดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป เลยหลับสบาย ผีอาจจะหลอกมันแล้ว แต่มันคงไม่รู้สึกตัว เลยมาหลอกเราแทนหรือเปล่า และยังมีหน้ามาบอกว่า ถ้าเราดื่มแอลกอฮอล์ไปแบบมัน รับรองไม่เจอผีแน่ๆ  สรุปว่าเรากับป่านก็เลยตื่นมาคุยกันตอนตีสาม บอกว่าจะไม่หลับกันแล้ว  นอนคุยกันเปิดไฟทุกดวง เราเลยพูดออกไปลอยๆ ว่า กลับไปเชียงใหม่แล้วจะทำบุญไปให้นะ อย่าได้มาหลอกมาหลอนกันอีกเลย เรานอนคุยกับป่านจนถึงตีสี่กว่าๆ แล้วก็รีบทำธุระส่วนตัว เก็บกระเป๋า  ...ยังไม่จบนะคะทุกคน เดี๋ยวจะกลับมาเล่าต่อค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่