สวัสดีค่ะทุกคน
เรื่องราวมันเริ่มตอน กุมภาพันธ์ปี 2567 เราเริ่มเล่น CMB และได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งอายุ 36 ปี ส่วนเราอายุ 32 ปี
เราคุยกันแค่วันเดียว Video call กันประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นวันต่อมาเขามานอนที่คอนโดเราเลย เขาบอกว่าเขามีกระเป๋าเสื้อผ้าติดรถอยู่แล้วเพราะเขานอนไม่เป็นที่ ( เขาทำงานเกี่ยวกับอสังหา ที่ต้องไป Site ก่อสร้าง และทำหอพัก )
ช่วงแรกๆความสัมพันธ์มันดีมากอยู่ประมาณ 1 เดือน เขามาหาเราบ่อย มาอยู่กับเราบ่อย บางทีมานอน 3-4 วัน เลิกงานดึกๆก็ยังมา พาไปกินข้าวกินกาแฟบ่อย เรามีอะไรกันแต่ไม่เคยบอกรักหรือขอเป็นแฟนกัน โดยในช่วง 1 เดือนนั้น เขาชอบเล่าเรื่องผู้หญิงเก่าๆ ของเขาให้เราฟัง (บางคนด้านดีบางคนด้านแย่ ซึ่งเราคิดว่านี่เริ่มเป็น red flag)
เขาชอบอธิบายว่าเขาเป็นคนปากไม่ดี (เรื่องจริง) ไม่มีใครอยู่กับเขาได้ ช่วงนี้เขาเริ่มทำโครงการหมู่บ้านยังยุ่ง ต้องดูแลแม่ที่ผ่าไหล่ เราเลยรู้สึกว่าเขาคงไม่ได้อยากมีภาระผูกพันธ์อะไรให้หนักใจ เราเลยไม่ได้สนใจเรื่องสถานะ เพราะเขาก็อยู่กับเราตลอด
เราเริ่มทะเลาะกันหลังสนิทกันได้ประมาณ 1 เดือน
1. เราติด Covid ตอนแรกเราตรวจ ATK มันไม่ขึ้น เราเลยไปตรวจแบบ immunochromatography ที่ตรวจได้ทั้ง Influenza A/B/Covid ที่โรงพยาบาลมันขึ้น Positive เราก็บอกไปแล้วว่า Sense ของ ATK มันต่ำกว่าของโรงพยาบาล เขาหาว่าเราโกหกทำไมขึ้นแล้วไม่บอกที่บ้านเขามีคนแก่ ไม่มีการแสดงความเป็นห่วงที่เราป่วยเลยสักนิด
2. เราเคยตรวจ HPV DNA และ Ultrasound ช่องคลอด เราตรวจพบ HPV DNA สายพันธ์ที่ไม่รุนแรงเมื่อปี 2566 เราบอกเขาว่าเราฉีด HPV Vaccine 9 สายพันธ์แล้ว และตรวจซ้ำเชื้อมันถูก Clearance ไปแล้วแต่เขาไม่เชื่อ ให้เราไปตรวจใหม่เราก็ไปตรวจให้ซึ่งก็ Negative
3. เวลาไปห้างในตัวเมือง เรามี Sense ว่าเขากำลังหลบใครอยู่ แต่เราก็แค่สังเกตุมาไม่สบายใจเฉยๆ ไม่ได้ถามอะไร
4. ก่อนที่เราจะไปเที่ยว สวิสเซอร์แลน์เดือนเมษายน เรายังไม่ได้รู้สึกรักหรือผูกพันธ์อะไรมากนะคะ แค่อยู่ด้วยแล้วมันเร่าร้อน มีความสุขเหมือนเล่นสวนสนุก เราเลยคิดว่าพอเท่านี้ดีกว่า แต่ก็เป็นช่วงที่เขาเริ่มเจ็บไข่และมีอสุจิเป็นเลือด เราเลยยังอยู่ก่อน เขาพยายามแสวงหาสาเหตุการเจ็บไข่ ซึ่งเขาเป็นคน OCD มาก แต่เราเหนื่อยมากเลยบอกว่าเลิกคุยกันเถอะ (รอบ 1)เราเลิกคุยกัน 3 วันเขาทักมาคุยด้วย เราก็คุยกันต่อ เราคิดว่าถ้าเราออกมาตอนนั้นเราจะไม่เสียใจเลย
5. ระหว่างเราเที่ยวสวิส เขาส่งมาแต่ข้อมูล STD เราก็รับฟัง ตามอ่านทุกอย่าง คอย Support ไม่อยากให้เขากังวล สรุปเขาไปตรวจ STD panel ตามที่เราบอกเจอ Chlamydia trachomatis แล้วเขาก็บังคับเราไปตรวจ ของเรามัน Negative ถึงสามรอบ แต่เขาก็ยังบอกว่าติดจากเรา
เขาบอกว่าเขาไม่ได้โทษเรา แต่เขาบอกว่าถ้าเขาเป็นหมันเขาจะฟ้องเรา เขาบอกว่าเราเป็น FWB กัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราไปตกลงกันตอนไหน เราก็เลยตามเลยเพราะเราเริ่มรู้สึกไม่ OK อยากเลิกคุยอยู่แล้ว
หลังกลับจากสวิสเขาก็ยังมาพาไปทานข้าว มาอยู่ด้วยแบบใช้ถุงยางอะไรปกติ เริ่มมีคำพูดว่า เขาหมดอารมณ์ทางเพศ เริ่มมีคำพูดว่าเขารวยมากนะ ผู้หญิงที่อยู่กับเขาต้องคู่ควร (ซึ่งก็รวยจริงนะคะเราไม่เถียง) เขาอยากมีลูกเรียน รร.เอกชนที่ผู้หญิงสามารถหาร 50% ได้ (เคยขับรถพาไปดูโรงเรียน เราก็เลยคิดว่าเขาซีเรียสเรื่องนี้) ซึ่งเราคงส่งลูกเรียนแบบนั้นไม่ได้ และเริ่มมีการติอื่นๆตามมา เราเริ่มรู้สึกเสียความมั่นใจ รู้สึกไม่ดีพอ (หมอ รพ เอกชน ก็พนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการเราเข้าใจ) เราบอกว่าเลิกคุยกันเถอะ (รอบ 2)(จริงๆตอนนั้นเริ่มอึดอัดมากละ ดูแล้วก็ไม่น่าจะรักเรา แถมยังโดนตำหนิ และโดนกล่าวหา) เขาก็ยังมาวนเวียนในชีวิตเราอยู่ มากินมานอนมาพาไปดูหนังกินกาแฟอะไรปกติ ก็เลยตามน้ำต่อ
6. ปลายเดือนมิถุนายน เราเริ่มสับสนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไร้คุณค่าจัง ช่วงนี้เราเริ่มผูกพันธ์และเสพติดเขา ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ารักหรือเปล่าเพราะเราก็เป็นห่วงเขาด้วย แต่เราเริ่มทะเลากันบ่อยขึ้นด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเราชวนไปทานอาหารที่ร้านที่เป็นของเพื่อนเขา เขาจะไม่ยอมไปเขาบอกมันไม่อร่อย แต่เรารู้สึกว่าเขาอยากซ่อนเรามากกว่า
7. ต้นเดือนกรกฎาคม เรามี Sense ว่าเขาคุยกับคนอื่น ด้วยความสับสนที่เกินทน หลังจากเขาพาเราไปเลี้ยงวันเกิดเราเลยบอกว่าเราเลิกมีอะไรกันเถอะ เป็นเพื่อนกันเฉยๆ เขาก็ OK และหายไปจากชีวิตเราเลย
แต่หลังจากนั้นเรากลับคิดถึงเขา เขาบอกว่าเขาไม่อยากยุ่งกับเราแล้ว เขาเริ่มต้นใหม่แล้ว บอกให้เรา Move on เถอะ
หลังจากนั้นเราก็ Move on มาเรื่อยๆแบบสามวันดี สี่วันร้องไห้ จนเดือนธันวาคม 67 เขาหัวแตกเลยโทรมาถามเรื่องสิทธิการรักษา เราก็ตอบไปตามเรื่องตามราวน์ไม่ได้คิดอะไร
จนเขาโทรมารอบสอง มกราคม 68 เขาอยากรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการแพทย์ เนื่องจากเรายังฝังใจเรื่องเขาตัดสายเราไม่อ่านไลน์เรา เราเลยว่าเขาว่าโทรมาเฉพาะตอนเรามีประโยชน์ เขาก็โทรมาอธิบายตัวเอง และบอกว่ามีแฟนแล้วอายุ 39 เป็นวิศวกรเงินเดือนกลางๆ
เราโกรธมากกกก เพราะเขาเคยโทษเราที่จะทำให้เขาเป็นหมันเรื่อง Chlamydia อยู่เป็นเดือนๆ (ซึ่งตอนนั้นเขาดูอยากมีลูกมาก)
แต่กลับคบผู้หญิงที่ถ้าตั้งครรภ์ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกยากหรือลูกเป็นดาวน์ แถมข้อแม้เช่นต้องมีเงินเดือนสูงๆส่งลูกเข้าเอกชนกลับไม่มีเลย มันต่างกันลิบลับกับสิ่งที่เขาทำกับเรา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราโทษตัวเองมาตลอดว่าเราไม่ดีพอ เขาเลยไม่เอา แต่ตอนนี้เราคิดว่าไม่ใช่ เราโดน Narcissist love bomb ใส่ตอนแรก ต่อด้วย gaslighting ตามมา แต่เขากลับบอกว่าเราคิดเองเออเอง เขาพูดเล่นทั้งหมด
ทุกคนช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหมคะ ว่าเราคิดไปเองจริงหรือเปล่า มันมีผลต่อความมั่นใจเรามาก
สิ่งนี้เรียกว่า Gaslighting จาก Narcissist ไหมคะ หรือเราเป็นคนคิดเองเออเอง
เรื่องราวมันเริ่มตอน กุมภาพันธ์ปี 2567 เราเริ่มเล่น CMB และได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่งอายุ 36 ปี ส่วนเราอายุ 32 ปี
เราคุยกันแค่วันเดียว Video call กันประมาณ 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นวันต่อมาเขามานอนที่คอนโดเราเลย เขาบอกว่าเขามีกระเป๋าเสื้อผ้าติดรถอยู่แล้วเพราะเขานอนไม่เป็นที่ ( เขาทำงานเกี่ยวกับอสังหา ที่ต้องไป Site ก่อสร้าง และทำหอพัก )
ช่วงแรกๆความสัมพันธ์มันดีมากอยู่ประมาณ 1 เดือน เขามาหาเราบ่อย มาอยู่กับเราบ่อย บางทีมานอน 3-4 วัน เลิกงานดึกๆก็ยังมา พาไปกินข้าวกินกาแฟบ่อย เรามีอะไรกันแต่ไม่เคยบอกรักหรือขอเป็นแฟนกัน โดยในช่วง 1 เดือนนั้น เขาชอบเล่าเรื่องผู้หญิงเก่าๆ ของเขาให้เราฟัง (บางคนด้านดีบางคนด้านแย่ ซึ่งเราคิดว่านี่เริ่มเป็น red flag)
เขาชอบอธิบายว่าเขาเป็นคนปากไม่ดี (เรื่องจริง) ไม่มีใครอยู่กับเขาได้ ช่วงนี้เขาเริ่มทำโครงการหมู่บ้านยังยุ่ง ต้องดูแลแม่ที่ผ่าไหล่ เราเลยรู้สึกว่าเขาคงไม่ได้อยากมีภาระผูกพันธ์อะไรให้หนักใจ เราเลยไม่ได้สนใจเรื่องสถานะ เพราะเขาก็อยู่กับเราตลอด
เราเริ่มทะเลาะกันหลังสนิทกันได้ประมาณ 1 เดือน
1. เราติด Covid ตอนแรกเราตรวจ ATK มันไม่ขึ้น เราเลยไปตรวจแบบ immunochromatography ที่ตรวจได้ทั้ง Influenza A/B/Covid ที่โรงพยาบาลมันขึ้น Positive เราก็บอกไปแล้วว่า Sense ของ ATK มันต่ำกว่าของโรงพยาบาล เขาหาว่าเราโกหกทำไมขึ้นแล้วไม่บอกที่บ้านเขามีคนแก่ ไม่มีการแสดงความเป็นห่วงที่เราป่วยเลยสักนิด
2. เราเคยตรวจ HPV DNA และ Ultrasound ช่องคลอด เราตรวจพบ HPV DNA สายพันธ์ที่ไม่รุนแรงเมื่อปี 2566 เราบอกเขาว่าเราฉีด HPV Vaccine 9 สายพันธ์แล้ว และตรวจซ้ำเชื้อมันถูก Clearance ไปแล้วแต่เขาไม่เชื่อ ให้เราไปตรวจใหม่เราก็ไปตรวจให้ซึ่งก็ Negative
3. เวลาไปห้างในตัวเมือง เรามี Sense ว่าเขากำลังหลบใครอยู่ แต่เราก็แค่สังเกตุมาไม่สบายใจเฉยๆ ไม่ได้ถามอะไร
4. ก่อนที่เราจะไปเที่ยว สวิสเซอร์แลน์เดือนเมษายน เรายังไม่ได้รู้สึกรักหรือผูกพันธ์อะไรมากนะคะ แค่อยู่ด้วยแล้วมันเร่าร้อน มีความสุขเหมือนเล่นสวนสนุก เราเลยคิดว่าพอเท่านี้ดีกว่า แต่ก็เป็นช่วงที่เขาเริ่มเจ็บไข่และมีอสุจิเป็นเลือด เราเลยยังอยู่ก่อน เขาพยายามแสวงหาสาเหตุการเจ็บไข่ ซึ่งเขาเป็นคน OCD มาก แต่เราเหนื่อยมากเลยบอกว่าเลิกคุยกันเถอะ (รอบ 1)เราเลิกคุยกัน 3 วันเขาทักมาคุยด้วย เราก็คุยกันต่อ เราคิดว่าถ้าเราออกมาตอนนั้นเราจะไม่เสียใจเลย
5. ระหว่างเราเที่ยวสวิส เขาส่งมาแต่ข้อมูล STD เราก็รับฟัง ตามอ่านทุกอย่าง คอย Support ไม่อยากให้เขากังวล สรุปเขาไปตรวจ STD panel ตามที่เราบอกเจอ Chlamydia trachomatis แล้วเขาก็บังคับเราไปตรวจ ของเรามัน Negative ถึงสามรอบ แต่เขาก็ยังบอกว่าติดจากเรา
เขาบอกว่าเขาไม่ได้โทษเรา แต่เขาบอกว่าถ้าเขาเป็นหมันเขาจะฟ้องเรา เขาบอกว่าเราเป็น FWB กัน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเราไปตกลงกันตอนไหน เราก็เลยตามเลยเพราะเราเริ่มรู้สึกไม่ OK อยากเลิกคุยอยู่แล้ว
หลังกลับจากสวิสเขาก็ยังมาพาไปทานข้าว มาอยู่ด้วยแบบใช้ถุงยางอะไรปกติ เริ่มมีคำพูดว่า เขาหมดอารมณ์ทางเพศ เริ่มมีคำพูดว่าเขารวยมากนะ ผู้หญิงที่อยู่กับเขาต้องคู่ควร (ซึ่งก็รวยจริงนะคะเราไม่เถียง) เขาอยากมีลูกเรียน รร.เอกชนที่ผู้หญิงสามารถหาร 50% ได้ (เคยขับรถพาไปดูโรงเรียน เราก็เลยคิดว่าเขาซีเรียสเรื่องนี้) ซึ่งเราคงส่งลูกเรียนแบบนั้นไม่ได้ และเริ่มมีการติอื่นๆตามมา เราเริ่มรู้สึกเสียความมั่นใจ รู้สึกไม่ดีพอ (หมอ รพ เอกชน ก็พนักงานกินเงินเดือนคนหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการเราเข้าใจ) เราบอกว่าเลิกคุยกันเถอะ (รอบ 2)(จริงๆตอนนั้นเริ่มอึดอัดมากละ ดูแล้วก็ไม่น่าจะรักเรา แถมยังโดนตำหนิ และโดนกล่าวหา) เขาก็ยังมาวนเวียนในชีวิตเราอยู่ มากินมานอนมาพาไปดูหนังกินกาแฟอะไรปกติ ก็เลยตามน้ำต่อ
6. ปลายเดือนมิถุนายน เราเริ่มสับสนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไร้คุณค่าจัง ช่วงนี้เราเริ่มผูกพันธ์และเสพติดเขา ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่ารักหรือเปล่าเพราะเราก็เป็นห่วงเขาด้วย แต่เราเริ่มทะเลากันบ่อยขึ้นด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆ เช่นเราชวนไปทานอาหารที่ร้านที่เป็นของเพื่อนเขา เขาจะไม่ยอมไปเขาบอกมันไม่อร่อย แต่เรารู้สึกว่าเขาอยากซ่อนเรามากกว่า
7. ต้นเดือนกรกฎาคม เรามี Sense ว่าเขาคุยกับคนอื่น ด้วยความสับสนที่เกินทน หลังจากเขาพาเราไปเลี้ยงวันเกิดเราเลยบอกว่าเราเลิกมีอะไรกันเถอะ เป็นเพื่อนกันเฉยๆ เขาก็ OK และหายไปจากชีวิตเราเลย
แต่หลังจากนั้นเรากลับคิดถึงเขา เขาบอกว่าเขาไม่อยากยุ่งกับเราแล้ว เขาเริ่มต้นใหม่แล้ว บอกให้เรา Move on เถอะ
หลังจากนั้นเราก็ Move on มาเรื่อยๆแบบสามวันดี สี่วันร้องไห้ จนเดือนธันวาคม 67 เขาหัวแตกเลยโทรมาถามเรื่องสิทธิการรักษา เราก็ตอบไปตามเรื่องตามราวน์ไม่ได้คิดอะไร
จนเขาโทรมารอบสอง มกราคม 68 เขาอยากรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับการแพทย์ เนื่องจากเรายังฝังใจเรื่องเขาตัดสายเราไม่อ่านไลน์เรา เราเลยว่าเขาว่าโทรมาเฉพาะตอนเรามีประโยชน์ เขาก็โทรมาอธิบายตัวเอง และบอกว่ามีแฟนแล้วอายุ 39 เป็นวิศวกรเงินเดือนกลางๆ
เราโกรธมากกกก เพราะเขาเคยโทษเราที่จะทำให้เขาเป็นหมันเรื่อง Chlamydia อยู่เป็นเดือนๆ (ซึ่งตอนนั้นเขาดูอยากมีลูกมาก)
แต่กลับคบผู้หญิงที่ถ้าตั้งครรภ์ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกยากหรือลูกเป็นดาวน์ แถมข้อแม้เช่นต้องมีเงินเดือนสูงๆส่งลูกเข้าเอกชนกลับไม่มีเลย มันต่างกันลิบลับกับสิ่งที่เขาทำกับเรา
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราโทษตัวเองมาตลอดว่าเราไม่ดีพอ เขาเลยไม่เอา แต่ตอนนี้เราคิดว่าไม่ใช่ เราโดน Narcissist love bomb ใส่ตอนแรก ต่อด้วย gaslighting ตามมา แต่เขากลับบอกว่าเราคิดเองเออเอง เขาพูดเล่นทั้งหมด
ทุกคนช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยได้ไหมคะ ว่าเราคิดไปเองจริงหรือเปล่า มันมีผลต่อความมั่นใจเรามาก