สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 46
ผมจะเล่าประสบการณ์ในการตกเรือที่คลองแสนแสบ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่ตกจากเรือมาด้วยตัวเอง และประสบการณ์ครั้งนั้น ผมไม่เคยลืม จำจนวันตาย และผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากประสบการณ์ในครั้งนั้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว สมัยนั้นเรายังไม่มีมือถือใช้กัน แต่เป็นยุคที่คนใช้อุปกรณ์วิทยุติดตามตัว หรือพวกแพคลิ้งค์ ไม่รู้ใครเคยใช้อุปกรณ์พวกนี้กันบ้าง วันนั้นเป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด ผมต้องการไปทำธุระแถวรามคำแหง ตรงซอยข้างโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่รถติดมาก ไม่อยากขับรถ เบื่อรถติด ผมเลยเลือกที่จะใช้บริการเดินทางโดยเรือที่แล่นไปตามคลองแสนแสบเห็นว่ามันเร็วดี และไปขึ้นเรือที่ต้นทางคือท่าผ่านฟ้าลีลาศ ใกล้ๆวัดภูเขาทอง ถ้าจำไม่ผิดครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่นั่งเรือโดยสารคลองแสนแสบ ตอนนั้นรู้สืกชอบมากเพราะนั่งเรือแล้วไม่ต้องเจอรถติด เรือก็แล่นได้เร็วมากด้วย ผ่านไปจอดท่าเรืออยู่หลายท่า ตั้งแต่บริเวณน้ำที่เป็นสีดำ ไปจนถึงท่าเรือที่น้ำเป็นสีเขียว
พอไปถึงท่าเรือที่ต้องการจะขึ้น ได้สอบถามเด็กเรือว่าใช่ท่านี้มั้ยตรง รพ.รามคำแหง เด็กบอกว่าท่านี้แหละ เรือค่อยๆชลอความเร็ว แล้วเข้าเทียบท่า บริเวณท่าเรือจะมีทุ่นเล็กเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัส ประมาณ 1 ตารางเมตร เรือค่อยๆเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแบบปล่อยไหล แต่ไม่ได้จอดสนิท เด็กเรือบอกผมว่า "พี่ๆโดดขึ้นไปเลย โดดเลยพี่" ผมถามว่า "ตรงนี้เลยเหรอ" เด็กบอกว่า "ใช่ โดดเลยพี่" จังหวะที่เรือยังมีความเร็วแบบปล่อยไหล และน้องเด็กเรือให้สัญญาณบอกว่าโดดขึ้นไปเลย ผมก็โดดขึ้นไปตามที่น้องเค้าบอก โดยใช้เท้าขวาเหยียบบนทุ่น และก็คิดว่าเท้าซ้ายเราก็สามารถเหยียบบนทุ่นได้เช่นกัน แต่..แต่ ผมคิดผิด เท้าซ้ายไม่สามารถเหยียบบนทุ่นได้ เพราะตัวผมยังมีความเร็วตามความเร็วของเรือที่ไม่จอดสนิท ผลก็คือตัวผมมีความเร็วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามทิศทางของเรือ ด้วยความเร็วสัมพัทธ์ของเรือ วินาทีนั้นทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวาลอยอยู่บนอากาศ ตอนนั้นไม่ท้นได้คิดอะไรทั้งสิ้น มามีสติอีกครั้งนึง ก็ตอนที่เห็นตัวเองอยู่ใต้น้ำแล้ว ซึ่งค่อนข้างลึก มองขึ้นไปบนผิวน้ำต้องมีไม่ต่ำกว่า 2-3 เมตร มองเห็นแสงรำไรๆ ก็เลยถีบตัวขึ้นไปตามแสง เพราะถ้าไปบริเวณที่มืด คงได้อยู่ใต้แพแน่ โอกาสรอดคงไม่มีถ้าอยู่ใต้แพ พอลอยถึงผิวน้ำ เห็นเรือลอยห่างออกไปประมาณมากกว่า 5 เมตร ก็ประคองตัวให้ลอยอยู่ในน้ำตามที่เคยฝึกเรียนว่ายน้ำมาในวัยเด็ก พอเด็กเรือเห็นว่าผมสามารถลอยตัวหรือพอว่ายน้ำได้ เรือก็เร่งเครื่องแล่นต่อไป วิ่งฉิวไปเลย ตัวผมก็ว่ายไปเกาะตรงท่าเรือ แล้วมีชาวบ้านบริเวณนั้นได้ดึงตัวผมขึ้นมาจากน้ำ ถามไถ่ว่าเป็นอะไรมั้ย มีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอนนั้นชาวบ้านมามุงดูกันเต็มไปหมด ผมนี่โคตรอาย ตัวนี่เปียก หนาวไปทั้งตัว ใส่กางเกงยีนด้วยชุ่มไปด้วยน้ำ พยายามบีบน้ำออก ทุกอย่างในตัวรวมทั้งเอกสารที่ต้องเตรียมนำไปคุยกับลูกค้าก็เปียกเละไปหมด โชคดีที่บริเวณตรงนั้นเป็นน้ำเขียว ไม่ใช่น้ำดำ ไม่งั้นตัวคงดำ ดูไม่จืดเลย
แล้วผมได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ตกเรือในครั้งนี้บ้าง
1. ความเร็วสัมพัทธ์กับเรือ คือ เมื่อเราอยู่ในยานพาหนะ ไม่ว่ารถ เรือ เครื่องบิน เราจะมีความเร็วเท่ากับความเร็วของยานพาหนะนั้น ในครั้งนี้เรือมีความเร็วในระดับปล่อยไหล กะว่าประมาณ 3-5 km/h ถึงแม้ว่าเราจะโดดขึ้นไปบนท่า ตัวเราก็ยังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วและทิศทางของเรือ ตอนนั้นคิดว่าเมื่อโดดขึ้นท่าแล้ว ตัวเราก็จะหยุดนิ่ง เหอๆ ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้ ดังนั้น อยากเตือนทุกท่านที่ขึ้นลงเรือ ต้องจอดสนิท ความเร็วเป็นศูนย์เท่านั้น ถึงจะก้าวขึ้นท่า ถ้าเรือยังมีความเร็วห้ามขึ้นเด็ดขาด อันตรายมาก
2. มันจะมีจังหวะที่เรารู้สึกว่า เราลอยอยู่กลางอากาศ ประมาณ 1 วินาที ในขณะที่ใกล้ตกน้ำ ความรู้สึกคือ เท้าไม่ติดพื้น ความรู้สึกตอนนั้นคือ "เหวอ" ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
3. จังหวะที่ตกลงไปในน้ำ ตัวเราจะไม่มีความเร็ววิ่งไปข้างหน้าตามความเร็วสัมพัทธฺ์ของเรือ ตกตรงไหน หยุดอยู่ตรงนั้น ต่อให้มีความเร็วเท่าไหร่ก็หยุด เพราะในน้ำนั้น มีแรงต้าน ( Drag ) มหาศาล ตัวคุณจะถูกเบรค และล็อคอยู่ตำแหน่งนั้น ซึ่งเป็นผลจากแรงต้าน มันไม่ใช่ตกปุ๊ป ตัวเราสามารถวิ่งไปตามความเร็วของเรือ เมื่อเจอแรงต้านของน้ำจะหยุดเคลื่อนที่ทันที ถ้าไม่มีแรงต้านของน้ำ ตัวผมคงเคลื่อนที่ไปตามความเร็วของเรือ และคงได้ไปอยู่ใกล้เรือ แต่นี่ตกตรงท่าเรือ ก็อยู่ตรงท่าเรือนี่แหละ
4. จากวินาทีตกจากท่าเรือ ต้องบอกว่าทุกอย่างมันเร็วมาก กว่าจะมีสติรู้ตัว ก็คือ อยู่ใต้น้ำแล้ว ความคิดแว๊บแรก คือ ตรูมาทำอะไรอยู่ใต้น้ำวะ พอรู้ตัวว่า อ้าว เราตกน้ำนี่ ความคิดที่สองก็คือ ทำอย่างไรให้เอาตัวรอดจากน้ำ กล่าวคือ คุณจะต้องโผล่ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจเอาอากาศให้เร็วที่สุด และขึ้นอย่างปลอดภัยที่สุด ถ้าเป็นคนที่ได้เรียนหรือฝืกการเอาตัวรอดในน้ำ จะสามารถว่ายหรือถีบตัวแบบอัตโนมัติตามที่เคยฝึกมา แต่ถ้าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรือไม่เคยเรียนมา ผมว่าสติแตกแน่ ดังนั้นการตกน้ำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงต้องคิดตั้งสติที่จะเอาตัวรอดในน้ำ คุณไม่สามารถคิดอะไรได้เยอะกว่านี้แล้ว คุณจะไม่สามารถคิดทำโน่นทำนี่แบบซับซ้อนได้ เช่น ตกปุ๊ป คิดว่ายไปเกาะเรือ แต่สิ่งแรกที่จะคิดในเสี้ยววินาทีนั้นคือ เอาตัวรอดในน้ำได้ยังไง ซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญานการเอาตัวรอดในน้ำ ดังนั้นการได้ให้เด็กๆได้ฝึกเรียนว่ายน้ำจึงมีความสำคัญมากๆ ต้องให้เด็กๆฝึกจนมีทักษะการเอาตัวรอดในน้ำได้อย่างอัตโนมัติ
แล้วถ้าถามผมว่าผมเชื่อคนบนเรือว่าแตงโมตกน้ำแล้วโดนใบพัดเรือหรือไม่?
- ในฐานะที่มีประสบการณ์ตกเรือมาแล้ว บอกเลยว่าไม่เชื่อเด็ดขาด เรื่องที่บอกเล่ามันคือนิทานหลอกเด็กครับ เพราะอะไร
1. ในขณะตกเรือ จะมีช่วงเวลาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ อย่างต่ำๆก็ครี่งวินาที ช่วงเวลาแค่นี้ก็จะทำให้คนที่ตก มีจุดตกห่างจากท้ายเรือประมาณเมตรนึงแล้ว มันไม่ใช่ตกปุ๊ป ต้วจุ่มน้ำอยู่บริเวณเครื่องยนต์ภายในเสี้ยววินาที ต้องบอกว่านี่คือเรือผิวน้ำ คนตกอยู่บนเรือ ไม่ใข่ตกจากเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำตลอด ไม่ว่าคุณจะตกในท่าใน ตะแคงตก หงายหลังตก ยืนตก ตีลังกาตก มันต้องมีช่วงเวลานึงที่ลอยอยู่ในอากาศ และช่วงเวลาที่หล่นลงน้ำ เรือที่มีความเร็ว 8 น๊อต ( ซึ่งเร็วมากนะ ) ก็แล่นออกห่างคนตกไประยะนึงแล้ว
2. เมื่อคนตกลงไปในน้ำแล้ว จะถูกแรงต้านของน้ำเบรคให้อยู่ในตำแหน่งเดิมทันที ต่อให้คนที่ตกเรือมีความเร็วสัมพัทธ์ของเรืออีกประมาณ 8 น๊อต ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามเรือด้วยความเร็วสัมพัทธ์ได้ แรงต้านของน้ำจะทำให้คนที่ตก ถูกล็อคอยู่ในตำแหน่งจุดตกทันที ถ้าจะเคลื่อนที่ได้ ก็จะมีแค่แรงกระทำของกระแสน้ำจากเครื่องยนต์เรือผลักไปด้านหลังเท่านั้น ถ้าใครไม่เชื่อลองทดลองทิ้งสิ่งของจากเรือที่วิ่งด้วยความเร็วในน้ำ แบบ Free Fall ลงในน้ำ คุณจะเห็นว่าวัตถุที่ตกลงน้ำจะหยุดอยู่ที่จุดตกทันที
3. คนที่ตกน้ำแบบไม่ตั้งใจ สิ่งแรกที่คิดตามสัญชาตญาน คือ การเอาตัวรอดในน้ำ เช่น พยายามพยุงตัวให้ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ ถ้าคนที่ว่ายน้ำเป็น สามารถลอยคออยู่บนผิวน้ำได้นานอย่างน้อยก็สิบนาทีขึ้นไป ถ้าคนบนเรือรู้ว่ามีคนตกน้ำ แล้วคนๆนั้นว่ายน้ำเป็น ยังไงก็หาเจอ
4. ส่วนคนที่บอกว่า พอตกน้ำแล้วสามารถเกาะท้ายเรือที่วิ่งด้วยความเร็ว 8 น๊อต ผมว่าเป็นนิทานที่ตลกที่สุด เท่าที่เคยได้ยินมา ซึ่งตามหลักฟิสิกส์แล้ว เรือที่แล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 8 น๊อต ต้องใช้เครื่องยนต์เรือที่ผลักให้เรือแล่นไปข้างหน้า ด้วยโมเมนตัมของน้ำหนักเรือ คูณด้วยความเร็วเรือ ต้องใช้พลังงานเยอะขนาดไหนนะ ในขณะที่คนที่เกาะท้ายเรือต้องถูกแรงต้านของน้ำ ดึงกลับด้านหลัง ซึ่งแรงต้านของน้ำก็มีขนาดไม่น้อยเช่นกัน แล้วบริเวณท้ายเรือก็ไม่มีราวเหล็กให้ใช้มือจับได้ เป็นแค่พื้นผิวเรียบ โดยที่ใช้นิ้วยึดเกาะแค่นั้น โดยต้องเอาชนะโมเมนตัมของเรือที่วิ่งด้วยความเร็ว 8 น๊อต และยังต้องเจอแรงต้านของน้ำดึงกลับไปด้านหลังแบบมหาศาล บอกเลยว่ามีแค่ Superman หรือยอดมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ หรือถ้าคุณจะเกาะเรือแบบนี้ได้ ต้องเริ่มเกาะตั้งแต่ความเร็วเรือเท่ากับศูนย์ ถึงจะพอเกาะได้ ถ้ามาเริ่มเกาะที่ความเร็ว 8 น๊อต ต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้นแหละที่ทำได้
5. เท่าที่ทราบตอนที่พบร่างน้องแตงโม น้องเค้าใส่เสื้อคลุมที่มันดูรุ่มร่ามติดมาด้วย ความเป็นจริงคือ ถ้าน้องเค้าถูกใบพัดเรือดูดและโดนใบพัดเรือฟันจริง ทำไมเสื้อคลุมจึงเป็นปกติ ซึ่งลักษณะเสื้อที่รุ่มร่ามมันจะโดนใบพัดเรือดูดก่อน และไปพันติดกับใบพัดเรือ เสื้อต้องเละกระจุย เผลอๆร่างคนต้องถูกเหวี่ยงไปตามหมุนของใบพัด บาดแผลจะไม่ใช่ลักษณะแบบนี้ หรือไม่เสื้อคลุมต้องขาดกระจุยก่อนจนหลุดออกจากตัวไปหมุนติดกับใบพัด แต่นี่เสื้อคลุมปกติ ไม่พบเศษเสื้อผ้าของน้องติดอยู่กับใบพัด เอาจริงๆการสวมชุดรุ่มร่ามแบบนี้มันห้ามเข้าใกล้เครื่องจักรทุกอย่าง ในโรงงานนี่ห้ามใส่เข้าไปในไลน์ที่มีเครื่องจักรเลย โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีลักษณะตัวหมุนๆ เครื่องพวกนี้มันดูดคนเข้าไปตายกันเยอะละ ไม่รู้ตรงจุดนี้ถึงไม่รู้สึกแปลกใจ หรือเอ๊ะ กันเลยหรือ เจ้าหน้าที่สรุปว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือ แต่เสื้อคลุมกลับเป็นปกติ ใครเชื่อว่าถูกใบพัดเรือฟันแบบนั้น โดยเสื้อคลุมปกติ ต้องมีคำอธิบายว่ามันเป็นไปได้ยังไง บอกเลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ การจัดฉากครั้งนี้มันจึงไม่เนียน ผมว่ามันไม่ใช่อะ ใครอยากเชื่อว่าโดนใบพัดเรือก็เชื่อไป แต่ผมไม่เชื่อ
บอกตรงๆ พอผมได้ยินคำให้การแบบนี้ ผมก็นึกขำตั้งแต่ได้ยินแล้วละ โอกาสที่จะโดนใบพัดเรือ โดยตกจากท้ายเรือ มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ถ้ามีคนโดนแบบนี้จริง บริษัทผลิตเครื่องยนต์เรือโดนฟ้องตายเลย
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเองเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว สมัยนั้นเรายังไม่มีมือถือใช้กัน แต่เป็นยุคที่คนใช้อุปกรณ์วิทยุติดตามตัว หรือพวกแพคลิ้งค์ ไม่รู้ใครเคยใช้อุปกรณ์พวกนี้กันบ้าง วันนั้นเป็นวันเสาร์ซึ่งเป็นวันหยุด ผมต้องการไปทำธุระแถวรามคำแหง ตรงซอยข้างโรงพยาบาลรามคำแหง ซึ่งปกติวันเสาร์จะเป็นวันที่รถติดมาก ไม่อยากขับรถ เบื่อรถติด ผมเลยเลือกที่จะใช้บริการเดินทางโดยเรือที่แล่นไปตามคลองแสนแสบเห็นว่ามันเร็วดี และไปขึ้นเรือที่ต้นทางคือท่าผ่านฟ้าลีลาศ ใกล้ๆวัดภูเขาทอง ถ้าจำไม่ผิดครั้งนี้เป็นครั้งที่สามที่นั่งเรือโดยสารคลองแสนแสบ ตอนนั้นรู้สืกชอบมากเพราะนั่งเรือแล้วไม่ต้องเจอรถติด เรือก็แล่นได้เร็วมากด้วย ผ่านไปจอดท่าเรืออยู่หลายท่า ตั้งแต่บริเวณน้ำที่เป็นสีดำ ไปจนถึงท่าเรือที่น้ำเป็นสีเขียว
พอไปถึงท่าเรือที่ต้องการจะขึ้น ได้สอบถามเด็กเรือว่าใช่ท่านี้มั้ยตรง รพ.รามคำแหง เด็กบอกว่าท่านี้แหละ เรือค่อยๆชลอความเร็ว แล้วเข้าเทียบท่า บริเวณท่าเรือจะมีทุ่นเล็กเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัส ประมาณ 1 ตารางเมตร เรือค่อยๆเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแบบปล่อยไหล แต่ไม่ได้จอดสนิท เด็กเรือบอกผมว่า "พี่ๆโดดขึ้นไปเลย โดดเลยพี่" ผมถามว่า "ตรงนี้เลยเหรอ" เด็กบอกว่า "ใช่ โดดเลยพี่" จังหวะที่เรือยังมีความเร็วแบบปล่อยไหล และน้องเด็กเรือให้สัญญาณบอกว่าโดดขึ้นไปเลย ผมก็โดดขึ้นไปตามที่น้องเค้าบอก โดยใช้เท้าขวาเหยียบบนทุ่น และก็คิดว่าเท้าซ้ายเราก็สามารถเหยียบบนทุ่นได้เช่นกัน แต่..แต่ ผมคิดผิด เท้าซ้ายไม่สามารถเหยียบบนทุ่นได้ เพราะตัวผมยังมีความเร็วตามความเร็วของเรือที่ไม่จอดสนิท ผลก็คือตัวผมมีความเร็วเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามทิศทางของเรือ ด้วยความเร็วสัมพัทธ์ของเรือ วินาทีนั้นทั้งเท้าซ้ายและเท้าขวาลอยอยู่บนอากาศ ตอนนั้นไม่ท้นได้คิดอะไรทั้งสิ้น มามีสติอีกครั้งนึง ก็ตอนที่เห็นตัวเองอยู่ใต้น้ำแล้ว ซึ่งค่อนข้างลึก มองขึ้นไปบนผิวน้ำต้องมีไม่ต่ำกว่า 2-3 เมตร มองเห็นแสงรำไรๆ ก็เลยถีบตัวขึ้นไปตามแสง เพราะถ้าไปบริเวณที่มืด คงได้อยู่ใต้แพแน่ โอกาสรอดคงไม่มีถ้าอยู่ใต้แพ พอลอยถึงผิวน้ำ เห็นเรือลอยห่างออกไปประมาณมากกว่า 5 เมตร ก็ประคองตัวให้ลอยอยู่ในน้ำตามที่เคยฝึกเรียนว่ายน้ำมาในวัยเด็ก พอเด็กเรือเห็นว่าผมสามารถลอยตัวหรือพอว่ายน้ำได้ เรือก็เร่งเครื่องแล่นต่อไป วิ่งฉิวไปเลย ตัวผมก็ว่ายไปเกาะตรงท่าเรือ แล้วมีชาวบ้านบริเวณนั้นได้ดึงตัวผมขึ้นมาจากน้ำ ถามไถ่ว่าเป็นอะไรมั้ย มีบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ตอนนั้นชาวบ้านมามุงดูกันเต็มไปหมด ผมนี่โคตรอาย ตัวนี่เปียก หนาวไปทั้งตัว ใส่กางเกงยีนด้วยชุ่มไปด้วยน้ำ พยายามบีบน้ำออก ทุกอย่างในตัวรวมทั้งเอกสารที่ต้องเตรียมนำไปคุยกับลูกค้าก็เปียกเละไปหมด โชคดีที่บริเวณตรงนั้นเป็นน้ำเขียว ไม่ใช่น้ำดำ ไม่งั้นตัวคงดำ ดูไม่จืดเลย
แล้วผมได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ตกเรือในครั้งนี้บ้าง
1. ความเร็วสัมพัทธ์กับเรือ คือ เมื่อเราอยู่ในยานพาหนะ ไม่ว่ารถ เรือ เครื่องบิน เราจะมีความเร็วเท่ากับความเร็วของยานพาหนะนั้น ในครั้งนี้เรือมีความเร็วในระดับปล่อยไหล กะว่าประมาณ 3-5 km/h ถึงแม้ว่าเราจะโดดขึ้นไปบนท่า ตัวเราก็ยังเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วและทิศทางของเรือ ตอนนั้นคิดว่าเมื่อโดดขึ้นท่าแล้ว ตัวเราก็จะหยุดนิ่ง เหอๆ ช่างโง่เขลาอะไรเช่นนี้ ดังนั้น อยากเตือนทุกท่านที่ขึ้นลงเรือ ต้องจอดสนิท ความเร็วเป็นศูนย์เท่านั้น ถึงจะก้าวขึ้นท่า ถ้าเรือยังมีความเร็วห้ามขึ้นเด็ดขาด อันตรายมาก
2. มันจะมีจังหวะที่เรารู้สึกว่า เราลอยอยู่กลางอากาศ ประมาณ 1 วินาที ในขณะที่ใกล้ตกน้ำ ความรู้สึกคือ เท้าไม่ติดพื้น ความรู้สึกตอนนั้นคือ "เหวอ" ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
3. จังหวะที่ตกลงไปในน้ำ ตัวเราจะไม่มีความเร็ววิ่งไปข้างหน้าตามความเร็วสัมพัทธฺ์ของเรือ ตกตรงไหน หยุดอยู่ตรงนั้น ต่อให้มีความเร็วเท่าไหร่ก็หยุด เพราะในน้ำนั้น มีแรงต้าน ( Drag ) มหาศาล ตัวคุณจะถูกเบรค และล็อคอยู่ตำแหน่งนั้น ซึ่งเป็นผลจากแรงต้าน มันไม่ใช่ตกปุ๊ป ตัวเราสามารถวิ่งไปตามความเร็วของเรือ เมื่อเจอแรงต้านของน้ำจะหยุดเคลื่อนที่ทันที ถ้าไม่มีแรงต้านของน้ำ ตัวผมคงเคลื่อนที่ไปตามความเร็วของเรือ และคงได้ไปอยู่ใกล้เรือ แต่นี่ตกตรงท่าเรือ ก็อยู่ตรงท่าเรือนี่แหละ
4. จากวินาทีตกจากท่าเรือ ต้องบอกว่าทุกอย่างมันเร็วมาก กว่าจะมีสติรู้ตัว ก็คือ อยู่ใต้น้ำแล้ว ความคิดแว๊บแรก คือ ตรูมาทำอะไรอยู่ใต้น้ำวะ พอรู้ตัวว่า อ้าว เราตกน้ำนี่ ความคิดที่สองก็คือ ทำอย่างไรให้เอาตัวรอดจากน้ำ กล่าวคือ คุณจะต้องโผล่ขึ้นผิวน้ำเพื่อหายใจเอาอากาศให้เร็วที่สุด และขึ้นอย่างปลอดภัยที่สุด ถ้าเป็นคนที่ได้เรียนหรือฝืกการเอาตัวรอดในน้ำ จะสามารถว่ายหรือถีบตัวแบบอัตโนมัติตามที่เคยฝึกมา แต่ถ้าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นหรือไม่เคยเรียนมา ผมว่าสติแตกแน่ ดังนั้นการตกน้ำแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว จึงต้องคิดตั้งสติที่จะเอาตัวรอดในน้ำ คุณไม่สามารถคิดอะไรได้เยอะกว่านี้แล้ว คุณจะไม่สามารถคิดทำโน่นทำนี่แบบซับซ้อนได้ เช่น ตกปุ๊ป คิดว่ายไปเกาะเรือ แต่สิ่งแรกที่จะคิดในเสี้ยววินาทีนั้นคือ เอาตัวรอดในน้ำได้ยังไง ซึ่งเป็นไปตามสัญชาตญานการเอาตัวรอดในน้ำ ดังนั้นการได้ให้เด็กๆได้ฝึกเรียนว่ายน้ำจึงมีความสำคัญมากๆ ต้องให้เด็กๆฝึกจนมีทักษะการเอาตัวรอดในน้ำได้อย่างอัตโนมัติ
แล้วถ้าถามผมว่าผมเชื่อคนบนเรือว่าแตงโมตกน้ำแล้วโดนใบพัดเรือหรือไม่?
- ในฐานะที่มีประสบการณ์ตกเรือมาแล้ว บอกเลยว่าไม่เชื่อเด็ดขาด เรื่องที่บอกเล่ามันคือนิทานหลอกเด็กครับ เพราะอะไร
1. ในขณะตกเรือ จะมีช่วงเวลาที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ อย่างต่ำๆก็ครี่งวินาที ช่วงเวลาแค่นี้ก็จะทำให้คนที่ตก มีจุดตกห่างจากท้ายเรือประมาณเมตรนึงแล้ว มันไม่ใช่ตกปุ๊ป ต้วจุ่มน้ำอยู่บริเวณเครื่องยนต์ภายในเสี้ยววินาที ต้องบอกว่านี่คือเรือผิวน้ำ คนตกอยู่บนเรือ ไม่ใข่ตกจากเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำตลอด ไม่ว่าคุณจะตกในท่าใน ตะแคงตก หงายหลังตก ยืนตก ตีลังกาตก มันต้องมีช่วงเวลานึงที่ลอยอยู่ในอากาศ และช่วงเวลาที่หล่นลงน้ำ เรือที่มีความเร็ว 8 น๊อต ( ซึ่งเร็วมากนะ ) ก็แล่นออกห่างคนตกไประยะนึงแล้ว
2. เมื่อคนตกลงไปในน้ำแล้ว จะถูกแรงต้านของน้ำเบรคให้อยู่ในตำแหน่งเดิมทันที ต่อให้คนที่ตกเรือมีความเร็วสัมพัทธ์ของเรืออีกประมาณ 8 น๊อต ก็ไม่สามารถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าตามเรือด้วยความเร็วสัมพัทธ์ได้ แรงต้านของน้ำจะทำให้คนที่ตก ถูกล็อคอยู่ในตำแหน่งจุดตกทันที ถ้าจะเคลื่อนที่ได้ ก็จะมีแค่แรงกระทำของกระแสน้ำจากเครื่องยนต์เรือผลักไปด้านหลังเท่านั้น ถ้าใครไม่เชื่อลองทดลองทิ้งสิ่งของจากเรือที่วิ่งด้วยความเร็วในน้ำ แบบ Free Fall ลงในน้ำ คุณจะเห็นว่าวัตถุที่ตกลงน้ำจะหยุดอยู่ที่จุดตกทันที
3. คนที่ตกน้ำแบบไม่ตั้งใจ สิ่งแรกที่คิดตามสัญชาตญาน คือ การเอาตัวรอดในน้ำ เช่น พยายามพยุงตัวให้ลอยอยู่ที่ผิวน้ำ ถ้าคนที่ว่ายน้ำเป็น สามารถลอยคออยู่บนผิวน้ำได้นานอย่างน้อยก็สิบนาทีขึ้นไป ถ้าคนบนเรือรู้ว่ามีคนตกน้ำ แล้วคนๆนั้นว่ายน้ำเป็น ยังไงก็หาเจอ
4. ส่วนคนที่บอกว่า พอตกน้ำแล้วสามารถเกาะท้ายเรือที่วิ่งด้วยความเร็ว 8 น๊อต ผมว่าเป็นนิทานที่ตลกที่สุด เท่าที่เคยได้ยินมา ซึ่งตามหลักฟิสิกส์แล้ว เรือที่แล่นไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 8 น๊อต ต้องใช้เครื่องยนต์เรือที่ผลักให้เรือแล่นไปข้างหน้า ด้วยโมเมนตัมของน้ำหนักเรือ คูณด้วยความเร็วเรือ ต้องใช้พลังงานเยอะขนาดไหนนะ ในขณะที่คนที่เกาะท้ายเรือต้องถูกแรงต้านของน้ำ ดึงกลับด้านหลัง ซึ่งแรงต้านของน้ำก็มีขนาดไม่น้อยเช่นกัน แล้วบริเวณท้ายเรือก็ไม่มีราวเหล็กให้ใช้มือจับได้ เป็นแค่พื้นผิวเรียบ โดยที่ใช้นิ้วยึดเกาะแค่นั้น โดยต้องเอาชนะโมเมนตัมของเรือที่วิ่งด้วยความเร็ว 8 น๊อต และยังต้องเจอแรงต้านของน้ำดึงกลับไปด้านหลังแบบมหาศาล บอกเลยว่ามีแค่ Superman หรือยอดมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ หรือถ้าคุณจะเกาะเรือแบบนี้ได้ ต้องเริ่มเกาะตั้งแต่ความเร็วเรือเท่ากับศูนย์ ถึงจะพอเกาะได้ ถ้ามาเริ่มเกาะที่ความเร็ว 8 น๊อต ต้องเป็นยอดมนุษย์เท่านั้นแหละที่ทำได้
5. เท่าที่ทราบตอนที่พบร่างน้องแตงโม น้องเค้าใส่เสื้อคลุมที่มันดูรุ่มร่ามติดมาด้วย ความเป็นจริงคือ ถ้าน้องเค้าถูกใบพัดเรือดูดและโดนใบพัดเรือฟันจริง ทำไมเสื้อคลุมจึงเป็นปกติ ซึ่งลักษณะเสื้อที่รุ่มร่ามมันจะโดนใบพัดเรือดูดก่อน และไปพันติดกับใบพัดเรือ เสื้อต้องเละกระจุย เผลอๆร่างคนต้องถูกเหวี่ยงไปตามหมุนของใบพัด บาดแผลจะไม่ใช่ลักษณะแบบนี้ หรือไม่เสื้อคลุมต้องขาดกระจุยก่อนจนหลุดออกจากตัวไปหมุนติดกับใบพัด แต่นี่เสื้อคลุมปกติ ไม่พบเศษเสื้อผ้าของน้องติดอยู่กับใบพัด เอาจริงๆการสวมชุดรุ่มร่ามแบบนี้มันห้ามเข้าใกล้เครื่องจักรทุกอย่าง ในโรงงานนี่ห้ามใส่เข้าไปในไลน์ที่มีเครื่องจักรเลย โดยเฉพาะเครื่องจักรที่มีลักษณะตัวหมุนๆ เครื่องพวกนี้มันดูดคนเข้าไปตายกันเยอะละ ไม่รู้ตรงจุดนี้ถึงไม่รู้สึกแปลกใจ หรือเอ๊ะ กันเลยหรือ เจ้าหน้าที่สรุปว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากใบพัดเรือ แต่เสื้อคลุมกลับเป็นปกติ ใครเชื่อว่าถูกใบพัดเรือฟันแบบนั้น โดยเสื้อคลุมปกติ ต้องมีคำอธิบายว่ามันเป็นไปได้ยังไง บอกเลยว่าไม่มีทางเป็นไปได้ การจัดฉากครั้งนี้มันจึงไม่เนียน ผมว่ามันไม่ใช่อะ ใครอยากเชื่อว่าโดนใบพัดเรือก็เชื่อไป แต่ผมไม่เชื่อ
บอกตรงๆ พอผมได้ยินคำให้การแบบนี้ ผมก็นึกขำตั้งแต่ได้ยินแล้วละ โอกาสที่จะโดนใบพัดเรือ โดยตกจากท้ายเรือ มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ถ้ามีคนโดนแบบนี้จริง บริษัทผลิตเครื่องยนต์เรือโดนฟ้องตายเลย
ความคิดเห็นที่ 4
คำอธิบายทางฟิสิกส์เรื่อง Bernoulli ผมเห็นด้วยกับท่านเจ้าของกระทู้ครับ แต่ทีมที่ทดสอบไปเมื่อวานนี้พวกเขามีจุดประสงค์อื่นและมีแนวความคิดอื่นๆที่ไม่เป็นกลาง ก็คือเขามีความเชื่อว่าคุณแตงโมถูกฆาตกรรม ดังนั้นการทดสอบก็จึงทำไม่เหมือนกับที่ตำรวจทำแล้ววิเคราะห์ออกมา ที่ชัดเจนที่สุดก็คือการตกนั้นมันเป็นการทดสอบที่ "น่าขำ" ก็คือนับ 5 4 3 2 1 แล้วก็ตกลงไป การตกลักษณะนั้นผมดูคลิปที่เขาทดสอบกันแล้วมันเป็นการตกแบบมี "แรงส่ง" และผู้ทดสอบเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องส่งตัวเองออกไปให้ห่างใบพัด ซึ่งเหตุการณ์จริงที่ผมเชื่อก็คือตอนที่คุณแตงโมตกลงไปมีการเกาะโครงสร้างบางอย่างที่ท้ายเรือ ดังนั้นจึงถูกกระแสน้ำวนตามหลักการ Bernoulli ดูดเข้าไปโดนใบพัดครับ
สรุปแล้วกลุ่มที่จัดการทดสอบขึ้นมาใหม่นั้นมีความเชื่อว่าคุณแตงโมถูกฆาตกรรม ดังนั้นการทดสอบจึงไม่เป็นกลาง
สรุปแล้วกลุ่มที่จัดการทดสอบขึ้นมาใหม่นั้นมีความเชื่อว่าคุณแตงโมถูกฆาตกรรม ดังนั้นการทดสอบจึงไม่เป็นกลาง
ความคิดเห็นที่ 2
แล้วมันจะเดือดร้อนอะไรกันนักหนากับการจำลองสถานการณ์ของเขา ถามจริง มันเป็นอะไรรรรร
เงิน เขาก็ไปหามาใช้จ่ายเอง เขาไปเบียดเบียนพวกคุณไหม
ฟังหมอชันสูตรศพหลายท่าน เขาก็ว่ามันไม่ปกติ ทั้งเรื่องสภาพศพ ใบหน้า ลิ้น ท้อง เรื่องฉี่นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แต่จะเป็นฆาตกรรมไหม ไม่รู้ ก็รอดูไปสิ อะไรก็ไม่รู้แต่ขอให้ได้ขัด มันเป็นไร
เงิน เขาก็ไปหามาใช้จ่ายเอง เขาไปเบียดเบียนพวกคุณไหม
ฟังหมอชันสูตรศพหลายท่าน เขาก็ว่ามันไม่ปกติ ทั้งเรื่องสภาพศพ ใบหน้า ลิ้น ท้อง เรื่องฉี่นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่
แต่จะเป็นฆาตกรรมไหม ไม่รู้ ก็รอดูไปสิ อะไรก็ไม่รู้แต่ขอให้ได้ขัด มันเป็นไร
ความคิดเห็นที่ 22
เขาก็ทำถูกแล้วนี่ครับ
สิ่งที่เขาทำมันมาจากคำให้การของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ที่จำลองเหตุการณ์ว่าเมื่อลุกจากฉี่แล้วตกไปที่กราบเรือด้านซ้ายทันทีไม่เกาะอะไร
เขาก็มาจำลองเหตุการณ์ว่าตกแบบนี้มันโดนใบพัดเรือไม่ได้ เพื่อจะพิสูจน์ว่าจำเลยให้การไม่ตรงกับหลักฐาน
ซึ่งความเป็นจริงแตงโมอาจจะถูกใบพัดเรือจริงก็ได้ แต่ไม่ใช่จากคำให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส
คำถามคือแล้วทำไมตอนนั้นถึงบอกว่าตกทางซ้ายเรือแล้วจมไปเลยไม่เกี่ยวกับการเกาะเรือ หรือไปโดนเครื่องยนต์เรือ
เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครเห็นสภาพศพแตงโม ที่มีแผลที่ต้นขา ซึ่งตอนนั้นทุกคนเชื่อว่าแค่ตกน้ำธรรมดา ซึ่งถ้าให้สัมภาษณ์ว่าตกเรือแล้วเกาะเรือโดนใบพัดตัดมันก็จบแต่ทีแรกไม่ต้องมาทดลอง
แต่เมื่อพบศพแล้วมีแผลก็ต้องเปลี่ยนคำสัมภาษณ์ใหม่เพื่อที่จะโยงให้ไปโดนเครื่องยนต์เรือให้ได้ เช่น เกาะเรือ 10 วิ โดนเครื่องยนต์ดูดบ้าง
และที่สำคัญแผลของแตงโมเกิดที่ขาด้านในด้านขวา
เกาะเรือยังไงก็ไม่มีทางที่จะเกิดได้ เพราะใบพัดต้องตัดขาด้านนอกด้านขวา
ไม่ก็ด้านในด้านซ้าย ซึ่งมันผิดธรรมชาติ
ถ้าโดนด้านในด้านขวาจริง มันต้องโดนทั้งสองข้าง
นาทีที่ 32:30

และการนั่งปัสสาวะท้ายเรือมันทำไม่ได้เพราะช่วงล่างจะเปียกหมด
เสี่ยงกับการติดเชื้อ ใครจะอยากนั่งชื้นไปตลอดทริป ทั้งที่เรือมีห้องน้ำ
เขาทำไม่ได้ทำเพื่อหาความจริง แต่ทำเพื่อรูปคดีว่าคำให้การพยานไม่น่าเชื่อถือ กลับไปกลับมา
สิ่งที่เขาทำมันมาจากคำให้การของคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
ที่จำลองเหตุการณ์ว่าเมื่อลุกจากฉี่แล้วตกไปที่กราบเรือด้านซ้ายทันทีไม่เกาะอะไร
เขาก็มาจำลองเหตุการณ์ว่าตกแบบนี้มันโดนใบพัดเรือไม่ได้ เพื่อจะพิสูจน์ว่าจำเลยให้การไม่ตรงกับหลักฐาน
ซึ่งความเป็นจริงแตงโมอาจจะถูกใบพัดเรือจริงก็ได้ แต่ไม่ใช่จากคำให้สัมภาษณ์ในรายการโหนกระแส
คำถามคือแล้วทำไมตอนนั้นถึงบอกว่าตกทางซ้ายเรือแล้วจมไปเลยไม่เกี่ยวกับการเกาะเรือ หรือไปโดนเครื่องยนต์เรือ
เพราะตอนนั้นยังไม่มีใครเห็นสภาพศพแตงโม ที่มีแผลที่ต้นขา ซึ่งตอนนั้นทุกคนเชื่อว่าแค่ตกน้ำธรรมดา ซึ่งถ้าให้สัมภาษณ์ว่าตกเรือแล้วเกาะเรือโดนใบพัดตัดมันก็จบแต่ทีแรกไม่ต้องมาทดลอง
แต่เมื่อพบศพแล้วมีแผลก็ต้องเปลี่ยนคำสัมภาษณ์ใหม่เพื่อที่จะโยงให้ไปโดนเครื่องยนต์เรือให้ได้ เช่น เกาะเรือ 10 วิ โดนเครื่องยนต์ดูดบ้าง
และที่สำคัญแผลของแตงโมเกิดที่ขาด้านในด้านขวา
เกาะเรือยังไงก็ไม่มีทางที่จะเกิดได้ เพราะใบพัดต้องตัดขาด้านนอกด้านขวา
ไม่ก็ด้านในด้านซ้าย ซึ่งมันผิดธรรมชาติ
ถ้าโดนด้านในด้านขวาจริง มันต้องโดนทั้งสองข้าง
นาทีที่ 32:30

และการนั่งปัสสาวะท้ายเรือมันทำไม่ได้เพราะช่วงล่างจะเปียกหมด
เสี่ยงกับการติดเชื้อ ใครจะอยากนั่งชื้นไปตลอดทริป ทั้งที่เรือมีห้องน้ำ
เขาทำไม่ได้ทำเพื่อหาความจริง แต่ทำเพื่อรูปคดีว่าคำให้การพยานไม่น่าเชื่อถือ กลับไปกลับมา
แสดงความคิดเห็น
ทำไม บางคนบอกว่า แตงโมไม่มีทางถูกดูดไปโดนใบพัด
ตั้งใจกระโดดห่างใบพัดซะไกล
จะทำไปเพื่อ ?
ตามแซนบอก แตงโมตกข้างด้านท้ายเรือ และเกาะขอบเรืออยู่ช่วงหนึ่ง
ตามหลัก แบร์นูลี่
ของไหล ที่วิ่งเร็วความดันจะลด
ซึ่งใต้ท้องเรือ จนถึงใบพัด น้ำไหลเร็วที่สุด ความดันน้อยกว่า น้ำขอบเรือ
แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ที่ขาแตงโมจะถูกดูด เข้าไปโดนใบพัด
ไม่เข้าใจว่า คนที่พยายามรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง
มีจุดประสงต์อะไร เหมือนตั้งธงจะหาเรื่อง
ถึงขนาดสร้างละคร ลองกระโดดจากท้ายเรือ