เมื่อปี 2565 สามีได้ไปปล่อยเงินกู้นอกระบบให้ลูกหนี้คนนึง จำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 3 บาทต่อวัน  ลูกหนี้จ่ายคืนมาได้แค่4วัน เป็นจำนวนเงิน 1400 บาท แล้วก็หายไปเลย ทางสามีก็ได้ไปทวงถามที่บ้าน  ลูกหนี้บ่ายเบี่ยงไม่จ่าย  และลูกหนี้ได้ตั้งกล้องแล้วเรียกสามีเราเข้าไปคุยในบริเวณบ้าน บอกว่าตนไม่มีทรัพย์สินอะไรจะให้  เลยให้พัดลมสามีเรามา 1 เครื่อง(  ปล. ทำงานเงินกู้ได้ 4เดือนแล้วเลิกทำ)

ผ่านมาสองปี ปี 2567 ( ตอนนี้ไม่ได้ทำงานเงินกู้แล้ว)ได้มีหมายศาลแจ้งมาแต่ตัวสามีเราไม่ได้เป็นคนรับ  เป็นญาติที่อยู่ในทะเบียนบ้านรับแล้วไม่ได้บอกสามีเรา ต่อมาได้มีหมายจับ ชุดสืบได้มาจับสามีเราส่งตัวไปอีกจังหวัดนึง มารู้ตอนชุดสืบจับตัวไปว่าลูกหนี้คนนั้นเป็นคนแจ้งความจับ ในสำนวนได้บอกว่า สามีเราได้บุกรุกบ้านลูกหนี้และขโมยทรัพย์สินออกมา และทำให้ลูกหนี้ตกใจจนขายบ้าน กลัวสามีเราไปทวงเงินอีก แต่ตอนสามีรถเลิกทำเงินกู้ก็ได้โทรบอกลูกหนี้คนนี้ว่าเลิกทำเงินกู้แล้วไม่ต้องกลัวว่าจะมาทวงเงิน เพราะจะกลับไปอยู่บ้านที่ กทม.

ทางเราได้จ้างทนายสู้คดีเพราะเราไม่ได้ขโมย ลูกหนี้ยินยอมให้เราเอง แต่สุดท้ายศาลก็ตัดสินให้แพ้ เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ ทางลูกหนี้ได้เรียกค่าเสียหายมา 1 ล้านบาท แต่เราไม่ให้ และได้ไกล่เกลี่ยกัน ศาลจึงตัดสินว่าให้สามีเราจ่ายเงินให้ลูกหนี้จำนวน 70,000 บาท เป็นเวลา 10 เดือน  เดือนะ 7,000 บาท หลังจากจ่ายครบศาลจะตัดสินว่าติดคุกกี่ปี
 
สามีจ่ายไปแล้ว 1 เดือนจำนวน7,000 บาท  เดือนที่ 2 จ่ายจำนวน4,000 บาท เราเหลือเงินแค่นี้ เพราะนายจ้างเลิกจ้าง จึงต้องหางานใหม่แต่เราไม่ได้จะหนี
แบบนี้จะมีผลกับคดีไหมค่ะ ?