(1)
“ลูกฉัน... เป็นคนดี” เป็นประโยคเวลาพ่อแม่ผู้ปกครอง(ชาวไทย)ให้ความเห็นถึงพฤติกรรมของบุตรหลานของพวกเขาในยามปกติหรือยามอยู่ในสายตา ก่อนที่จะก่อเหตุบรรลัยอะไรสักอย่าง ซึ่งเหมาะเหลือเกินกับเรื่องราวของ A Normal Family ที่เมื่อเทวดาตัวน้อยดันไปก่อเหตุอุกฉกรรจ์เข้า เปลี่ยนให้ครอบครัวที่ดูจะ “ผาสุก” มุ่งหน้าสู่ความ “แตกสลาย" อย่างไม่ทันตั้งตัว ทางเลือกระหว่างขาวกับดำ ทางไหนจะกอบกู้พวกเขาจากเหตุการณ์นี้ได้กัน
(2)
เห็นได้ชัดว่าตัวละคร “ผู้ปกครอง” ทั้ง 4 คน ของ A Normal Family ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้ผู้ชมมองเห็นประเด็นของเรื่องได้อย่างชัดเจนมากขึ้น กับการท้าทาย “จิตสำนึก” ของมนุษย์ที่อำมหิตพอดู เหมือนเอาคนที่ต้องอดข้าวอดน้ำเพื่อตรวจเลือดในวันรุ่งขึ้นไปเป็นเพื่อนกินชาบูทำนองนั้น เริ่มจากสองพี่น้องหัวหน้าครอบครัวที่มีอนาคตมั่นคงอย่าง แจวาน (ซอลคยองกู) และ แจกยู (จางดงกอน) ฝ่ายแจวานคนพี่เป็นทนายฝีมือฉกาจ พลิกขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวได้ดั่งใจ ขอแค่เงินถึง ส่วนฝ่ายคนน้อง คุณหมอแจกยู กุมารแพทย์ที่มักหาทางช่วยเหลือคนไข้เรื่องค่ารักษาพยาบาลและทำงานอย่างเต็มที่กับทุกชีวิต
(3)
เพียงเท่านี้ก็เดาไม่ยากว่าทั้งแจวานและแจกยูที่ดูมีอำนาจและเงินทอง(โดยเฉพาะคนพี่) ก็น่าจะใช้มันเพื่อช่วยลูกๆ ของเขาแบบไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน (ในแบบที่ประเทศนี้ทำกันบ่อยๆ) ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ากล้องวงจรปิดจะจับภาพของลูกๆ ของพวกเขาไว้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก หนำซ้ำชายที่ถูกทำร้ายก็เป็นเพียงคนเร่ร่อน หากปล่อยเบลอแล้วอยู่เฉยๆ เรื่องก็น่าจะเงียบไปและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ เหตุการณ์จึงดูไม่มีอะไรน่ากังวลนัก
(4)
แต่เรื่องราวมันกลับไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เมื่อคลิปจากกล้องวงจรปิดนี้แพร่งพรายไปทั่วโลกโซเชียล แม้ภาพจากกล้องวงจรปิดจะไม่ชัดเจน แต่หากตามสืบจริงๆ ก็น่าจะสาวถึงตัวได้ไม่ยาก กลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับทั้งสองครอบครัวที่ทำให้พวกเขานั่งไม่ติด นี่เองที่เป็นประเด็นหลักของ A Normal Family ในการพาผู้ชมไปอยู่ข้างๆ และติดตามทั้งแจวานและแจกยู เพื่อดูว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร คือ จะพาลูกๆ ไปมอบตัวก่อนถูกจับได้ หรือจะตีเนียนแล้วใช้วิชาทนายของแจวานเอาตัวรอด
(5)
ความน่าสนใจอยู่ตรงแจวานที่เป็นทนาย เขาพร้อมที่จะช่วยลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน แต่ฝ่ายแจกยูกลับเกิดความขัดแย้งในใจขึ้น ตัวภาพยนตร์เผยให้
เห็นเนืองๆ ว่าเขาไม่ค่อยสนิทกับลูกชายนัก วันๆ ทำแต่งานและมีอุดมการณ์รักความถูกต้อง(แต่ไม่รักลูก?) ถึงขนาดจะพาไปมอบตัวด้วยซ้ำ ผิดกับฝั่งภรรยาอย่าง ยอนกยอง (คิมฮีแอ) ที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้เดินทางไปช่วยเหลือเด็กๆ มาแล้วหลายประเทศ แน่นอนว่าด้วยความรักเด็กและด้วยความเป็นแม่คน เธอย่อมมีตัวเลือกเดียว คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ลูกชายของเธอต้องได้รับโทษ
(6)
ตัวละครที่ดูเหมือนจะเป็นคนนอกอย่าง จีซู (คลอเดีย คิม) ภรรยาสาวคนใหม่ของแจวานที่กำลังตั้งครรภ์ กลับเป็นตัวละครที่มีบทบาทและมีมิติมมากกว่าที่คิด แม้การเป็นเมียใหม่ของแจวานทำให้เธอไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งฮเยยุน(ฮงเยจี) ลูกสาว(ติด)ของแจวาน และยอนกยอง ในฝ่ายแรกเข้าใจได้ไม่ยากว่าการมีแม่ใหม่นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ แต่ฝ่ายหลังที่เขม่นจีซูเพราะสวยกว่าและสาวกว่านั้นดีงี่เง่าชอบกล แต่จีซูก็พยายามวางตัวได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วพร้อมๆ กับพยายามทำความเข้าใจในฐานะว่าที่แม่มือใหม่ด้วย
(7)
A Normal Family ไม่ใช่การโยนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่งแล้วตามหาว่าใครควรถูกลงโทษ แต่อย่างที่บอก มันคือ การเลือกตัดสินใจระหว่าง “ความรัก” ของคนเป็นพ่อเป็นแม่กับ “ความถูกต้อง” ในฐานะบุคคลของสังคม ที่ไม่ว่าอย่างไหนก็ลงเอยด้วยความเจ็บปวดทั้งสิ้น ในฐานะผู้ชมเราทำตัวไม่ถูกว่าจะเห็นใจหรือสาปแช่งตัวละครดี มันเหมือนการร่วมทริปที่ปลายทาง คือ โศกนาฏกรรม แล้วทำให้คำถามที่เกิดขึ้นหลังจากชมภาพยนตร์จบแล้วเปลี่ยนเป็น “ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ” แทน
(8)
การดัดแปลงจาก The Dinner นวนิยายของ Herman Koch นักเขียนชาวดัตช์ ทำให้เราได้เห็นฉากตัวละครทั้งสี่นั่งทานข้าวเย็นร่วมกันอย่างน้อยๆ ก็ 2 ครั้ง แต่นอกเหนือจากนี้มันคือบริบทของหนังเกาหลีที่ถูกผู้กำกับ ฮอจินโฮ ดัดแปลงจนเป็นรสชาติแบบที่เราคุ้นเคยกันดี การแสดงอันเข้มข้นจากนักแสดงนำทั้งสี่มีผลอย่างมากจริงๆ ที่ทำให้ตัวภาพยนตร์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะหลายครั้งที่การตัดสินใจของตัวละครก็ชวนให้เรารู้สึก “เอ๊ะ” แปลกๆ ขึ้นมาเหมือนกัน
(9)
อาจจะมีข้อเสียเล็กน้อยตรงที่มีการดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า ผิดกับพล็อตและตัวอย่างหนังที่น่าจะมาแนวระทึก จิกกัดสังคมแบบเผ็ดร้อน ไม่มีการฟาดฟันกันด้วยข้อมูลต่างๆ ที่จะทำให้ตัวเรื่องพลิกไปพลิกมา ขนาดฉากที่จะเข้าสู่ประเด็นหลักยังมาตอนปาไปเกือบจะครึ่งเรื่องแล้ว กลับกันแม้จะเชื่องช้า แต่ก็แทนที่ด้วยความหนักแน่น และร้าวลึก จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเราควรจะเลือกอย่างไร เพื่อรักษาทั้งความเป็นพ่อเป็นแม่ และต้องรับผิดชอบสังคมในฐานะของ “ผู้ปกครอง” หรือในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่ต้องคิดเยอะตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
Story Decoder
[รีวิว] A Normal Family - ทางเลือกที่น่าอึดอัดใจกับการท้าทายจิตสำนึกขั้นสุดของคนเป็นพ่อเป็นแม่
“ลูกฉัน... เป็นคนดี” เป็นประโยคเวลาพ่อแม่ผู้ปกครอง(ชาวไทย)ให้ความเห็นถึงพฤติกรรมของบุตรหลานของพวกเขาในยามปกติหรือยามอยู่ในสายตา ก่อนที่จะก่อเหตุบรรลัยอะไรสักอย่าง ซึ่งเหมาะเหลือเกินกับเรื่องราวของ A Normal Family ที่เมื่อเทวดาตัวน้อยดันไปก่อเหตุอุกฉกรรจ์เข้า เปลี่ยนให้ครอบครัวที่ดูจะ “ผาสุก” มุ่งหน้าสู่ความ “แตกสลาย" อย่างไม่ทันตั้งตัว ทางเลือกระหว่างขาวกับดำ ทางไหนจะกอบกู้พวกเขาจากเหตุการณ์นี้ได้กัน
(2)
เห็นได้ชัดว่าตัวละคร “ผู้ปกครอง” ทั้ง 4 คน ของ A Normal Family ถูกออกแบบมาอย่างดีเพื่อให้ผู้ชมมองเห็นประเด็นของเรื่องได้อย่างชัดเจนมากขึ้น กับการท้าทาย “จิตสำนึก” ของมนุษย์ที่อำมหิตพอดู เหมือนเอาคนที่ต้องอดข้าวอดน้ำเพื่อตรวจเลือดในวันรุ่งขึ้นไปเป็นเพื่อนกินชาบูทำนองนั้น เริ่มจากสองพี่น้องหัวหน้าครอบครัวที่มีอนาคตมั่นคงอย่าง แจวาน (ซอลคยองกู) และ แจกยู (จางดงกอน) ฝ่ายแจวานคนพี่เป็นทนายฝีมือฉกาจ พลิกขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวได้ดั่งใจ ขอแค่เงินถึง ส่วนฝ่ายคนน้อง คุณหมอแจกยู กุมารแพทย์ที่มักหาทางช่วยเหลือคนไข้เรื่องค่ารักษาพยาบาลและทำงานอย่างเต็มที่กับทุกชีวิต
(3)
เพียงเท่านี้ก็เดาไม่ยากว่าทั้งแจวานและแจกยูที่ดูมีอำนาจและเงินทอง(โดยเฉพาะคนพี่) ก็น่าจะใช้มันเพื่อช่วยลูกๆ ของเขาแบบไม่ต้องคิดอะไรซับซ้อน (ในแบบที่ประเทศนี้ทำกันบ่อยๆ) ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ากล้องวงจรปิดจะจับภาพของลูกๆ ของพวกเขาไว้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ชัดเจนมากนัก หนำซ้ำชายที่ถูกทำร้ายก็เป็นเพียงคนเร่ร่อน หากปล่อยเบลอแล้วอยู่เฉยๆ เรื่องก็น่าจะเงียบไปและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ เหตุการณ์จึงดูไม่มีอะไรน่ากังวลนัก
(4)
แต่เรื่องราวมันกลับไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เมื่อคลิปจากกล้องวงจรปิดนี้แพร่งพรายไปทั่วโลกโซเชียล แม้ภาพจากกล้องวงจรปิดจะไม่ชัดเจน แต่หากตามสืบจริงๆ ก็น่าจะสาวถึงตัวได้ไม่ยาก กลายเป็นระเบิดเวลาสำหรับทั้งสองครอบครัวที่ทำให้พวกเขานั่งไม่ติด นี่เองที่เป็นประเด็นหลักของ A Normal Family ในการพาผู้ชมไปอยู่ข้างๆ และติดตามทั้งแจวานและแจกยู เพื่อดูว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างไร คือ จะพาลูกๆ ไปมอบตัวก่อนถูกจับได้ หรือจะตีเนียนแล้วใช้วิชาทนายของแจวานเอาตัวรอด
(5)
ความน่าสนใจอยู่ตรงแจวานที่เป็นทนาย เขาพร้อมที่จะช่วยลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน แต่ฝ่ายแจกยูกลับเกิดความขัดแย้งในใจขึ้น ตัวภาพยนตร์เผยให้
เห็นเนืองๆ ว่าเขาไม่ค่อยสนิทกับลูกชายนัก วันๆ ทำแต่งานและมีอุดมการณ์รักความถูกต้อง(แต่ไม่รักลูก?) ถึงขนาดจะพาไปมอบตัวด้วยซ้ำ ผิดกับฝั่งภรรยาอย่าง ยอนกยอง (คิมฮีแอ) ที่เป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้เดินทางไปช่วยเหลือเด็กๆ มาแล้วหลายประเทศ แน่นอนว่าด้วยความรักเด็กและด้วยความเป็นแม่คน เธอย่อมมีตัวเลือกเดียว คือ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ลูกชายของเธอต้องได้รับโทษ
(6)
ตัวละครที่ดูเหมือนจะเป็นคนนอกอย่าง จีซู (คลอเดีย คิม) ภรรยาสาวคนใหม่ของแจวานที่กำลังตั้งครรภ์ กลับเป็นตัวละครที่มีบทบาทและมีมิติมมากกว่าที่คิด แม้การเป็นเมียใหม่ของแจวานทำให้เธอไม่ได้รับการยอมรับจากทั้งฮเยยุน(ฮงเยจี) ลูกสาว(ติด)ของแจวาน และยอนกยอง ในฝ่ายแรกเข้าใจได้ไม่ยากว่าการมีแม่ใหม่นั้นคงไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ แต่ฝ่ายหลังที่เขม่นจีซูเพราะสวยกว่าและสาวกว่านั้นดีงี่เง่าชอบกล แต่จีซูก็พยายามวางตัวได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วพร้อมๆ กับพยายามทำความเข้าใจในฐานะว่าที่แม่มือใหม่ด้วย
(7)
A Normal Family ไม่ใช่การโยนความผิดให้ใครคนใดคนหนึ่งแล้วตามหาว่าใครควรถูกลงโทษ แต่อย่างที่บอก มันคือ การเลือกตัดสินใจระหว่าง “ความรัก” ของคนเป็นพ่อเป็นแม่กับ “ความถูกต้อง” ในฐานะบุคคลของสังคม ที่ไม่ว่าอย่างไหนก็ลงเอยด้วยความเจ็บปวดทั้งสิ้น ในฐานะผู้ชมเราทำตัวไม่ถูกว่าจะเห็นใจหรือสาปแช่งตัวละครดี มันเหมือนการร่วมทริปที่ปลายทาง คือ โศกนาฏกรรม แล้วทำให้คำถามที่เกิดขึ้นหลังจากชมภาพยนตร์จบแล้วเปลี่ยนเป็น “ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ” แทน
(8)
การดัดแปลงจาก The Dinner นวนิยายของ Herman Koch นักเขียนชาวดัตช์ ทำให้เราได้เห็นฉากตัวละครทั้งสี่นั่งทานข้าวเย็นร่วมกันอย่างน้อยๆ ก็ 2 ครั้ง แต่นอกเหนือจากนี้มันคือบริบทของหนังเกาหลีที่ถูกผู้กำกับ ฮอจินโฮ ดัดแปลงจนเป็นรสชาติแบบที่เราคุ้นเคยกันดี การแสดงอันเข้มข้นจากนักแสดงนำทั้งสี่มีผลอย่างมากจริงๆ ที่ทำให้ตัวภาพยนตร์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะหลายครั้งที่การตัดสินใจของตัวละครก็ชวนให้เรารู้สึก “เอ๊ะ” แปลกๆ ขึ้นมาเหมือนกัน
(9)
อาจจะมีข้อเสียเล็กน้อยตรงที่มีการดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า ผิดกับพล็อตและตัวอย่างหนังที่น่าจะมาแนวระทึก จิกกัดสังคมแบบเผ็ดร้อน ไม่มีการฟาดฟันกันด้วยข้อมูลต่างๆ ที่จะทำให้ตัวเรื่องพลิกไปพลิกมา ขนาดฉากที่จะเข้าสู่ประเด็นหลักยังมาตอนปาไปเกือบจะครึ่งเรื่องแล้ว กลับกันแม้จะเชื่องช้า แต่ก็แทนที่ด้วยความหนักแน่น และร้าวลึก จนอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเราควรจะเลือกอย่างไร เพื่อรักษาทั้งความเป็นพ่อเป็นแม่ และต้องรับผิดชอบสังคมในฐานะของ “ผู้ปกครอง” หรือในความเป็นจริงแล้วมันอาจจะไม่ต้องคิดเยอะตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
Story Decoder