เครดิตแหล่งข่าว/เจ้าของบทความโดย
https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2828197
มิสเตอร์โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือ Toyota กล่าวว่า การทำสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อรอการลดราคา เราก็มองว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง เพราะปัจจุบันเราเห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าลดราคา 200,000-300,000 บาท ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีศักยภาพการแข่งขันค่อนข้างสูง
เรามองว่าการลดราคาในระดับนี้น่าจะอยู่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV เท่านั้น ซึ่งโตโยต้าเองก็ไม่ได้ต้องการลงไปแข่งขันในตลาดดังกล่าว เพราะเรายังคำนึงถึงห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งานรถยนต์ในอนาคต
"เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีไหนจะเหมาะสม ที่ผ่านมาโตโยต้าสามารถขาย HEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถ BEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1% ตัวเลขทั้งสองนี้คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี"
นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริหารหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น Value chain สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ จากที่เราได้ประกาศไว้ในงานนี้เมื่อปีที่แล้วว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ข้างต้น
Toyota เมินร่วม "สงครามราคารถ" เพราะเกรงจะกระทบห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์
https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2828197
มิสเตอร์โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด หรือ Toyota กล่าวว่า การทำสงครามราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เพื่อรอการลดราคา เราก็มองว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง เพราะปัจจุบันเราเห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าลดราคา 200,000-300,000 บาท ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่าผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนมีศักยภาพการแข่งขันค่อนข้างสูง
เรามองว่าการลดราคาในระดับนี้น่าจะอยู่ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ BEV เท่านั้น ซึ่งโตโยต้าเองก็ไม่ได้ต้องการลงไปแข่งขันในตลาดดังกล่าว เพราะเรายังคำนึงถึงห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงลูกค้าที่ต้องการความคุ้มค่าในการใช้งานรถยนต์ในอนาคต
"เราคิดว่าผู้บริโภคจะเป็นผู้เลือกว่าเทคโนโลยีไหนจะเหมาะสม ที่ผ่านมาโตโยต้าสามารถขาย HEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 40% ในขณะที่รถ BEV มียอดจำหน่ายเพิ่มมากขึ้น 1% ตัวเลขทั้งสองนี้คงจะเป็นข้อพิสูจน์ในการเลือกเทคโนโลยีของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี"
นอกจากนี้ เมื่อลูกค้าซื้อรถยนต์ไปใช้คงจะใช้มากกว่า 10 ปี การบริหารหลังขาย โปรแกรมด้านการเงินจากสถาบันการเงิน ฯลฯ เป็น Value chain สำคัญที่จะสร้างความไว้วางใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความคุ้มค่าที่พึงได้รับ จากที่เราได้ประกาศไว้ในงานนี้เมื่อปีที่แล้วว่า โตโยต้าจะผลิตและจำหน่ายรถปิกอัพ BEV ในปลายปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์ข้างต้น