เอสเปรสโซ พาโตนุม! ประวัติกับอีกหลากหลายเรื่องเล่า ที่คุณอาจยังไม่เคยรู้


เมื่อกว่าพันปีมาแล้ว.. ณ หุบเขาที่เขียวขจีของเอธิโอเปีย มีเด็กชายเลี้ยงแกะผู้เฉลียวฉลาดชื่อว่า Kaldi "คาลดิ" เขามีหน้าที่นำฝูงแกะไปกินหญ้าในทุ่งกว้างและป่าที่งดงามซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้และดอกไม้หลากสีสัน วันหนึ่งในช่วงบ่ายที่แดดส่องจ้า "คาลดิ" ได้สังเกตเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับฝูงแกะของเขา

แกะของ "คาลดิ" กระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข มันดูมีพลังมากกว่าปกติ "คาลดิ" รู้สึกแปลกใจและสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงเดินตามแกะไปจนพบต้นไม้ที่มีผลสีแดงสดสวยงาม ผลไม้เหล่านี้มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ซึ่งทำให้แกะดูมีความสุขมาก

"คาลดิ" เก็บผลไม้เหล่านี้กลับไปที่หมู่บ้านด้วยความสงสัย ในคืนนั้น เขานำผลไม้ไปให้พระสงฆ์ที่วัดใกล้ๆ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้และปัญญาสูง พระสงฆ์ทำการทดลองด้วยการต้มผลไม้ในน้ำร้อน เมื่อพระสงฆ์ดื่มน้ำที่ต้มจากผลไม้นี้ พวกเขารู้สึกตื่นตัวและมีพลังงานมากขึ้นอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน

พระสงฆ์รู้สึกตื่นเต้นกับการค้นพบนี้และตระหนักว่าผลไม้เหล่านี้มีคุณสมบัติพิเศษที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นและตื่นตัว พระสงฆ์จึงได้เริ่มใช้ผลไม้เหล่านี้ในพิธีทางศาสนาเพื่อช่วยให้พวกเขาตื่นตัวตลอดคืน

ข่าวการค้นพบของ "คาลดิ" แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงต่างเดินทางมาเพื่อดูต้นไม้ที่มีผลไม้สีแดงสด และทดลองดื่มน้ำที่ต้มจากผลไม้นี้ พวกเขาพบว่ามันมีผลดีต่อร่างกายและจิตใจ การค้นพบของ "คาลดิ" ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของผู้คน

ชื่อของ "คาลดิ" กลายเป็นที่รู้จักและยกย่องในฐานะผู้ค้นพบกาแฟ ซึ่งต่อมากาแฟได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่สำคัญและเป็นที่นิยมทั่วโลก พระสงฆ์ตั้งชื่อผลไม้สีแดงนี้ว่า "กาแฟ" ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่รักและคุ้นเคยของคนทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน



วันเอสเพรสโซแห่งชาติ 23 พฤศจิกายน National Espresso Day

เอสเพรสโซกับกาแฟธรรมดาต่างกันอย่างไร?
ตามคำบอกเล่าของบาริสต้ามืออาชีพ ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะใช้เมล็ดกาแฟประเภทใด
หรือคั่วอย่างไร แต่สำคัญที่วิธีการชงเมล็ดกาแฟ การอัดน้ำแรงดันผ่านเมล็ดกาแฟบดละเอียด
ทำให้ได้กาแฟเข้มข้นพร้อมฟองกาแฟละเอียดอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์
ฟองกาแฟหรือครีม่า (Crema เป็นชั้นโฟมครีมมีความหนานุ่มที่ลอยอยู่ด้านบน)
ด้วยน้ำตาลและน้ำมันเข้มข้นจากเมล็ดกาแฟ ที่จะช่วยเพิ่มความหวานเล็กน้อยที่ช่วยปรับสมดุลกับความขม

.
อย่างไรก็ตามวันนี้มีขึ้นได้อย่างไรนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่ Espresso นั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานและน่าสนใจ มีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมการดื่มกาแฟทั่วโลก กาแฟ Espresso มีทั้งเรื่องราวและที่เป็นตำนานอย่าง

"การค้นพบกาแฟโดย Kaldi"

ตามตำนานที่นิยมกัน มีการค้นพบกาแฟครั้งแรกในประเทศเอธิโอเปีย ราวศตวรรษที่ 9 ถึง ศตวรรษที่ 15  โดยคนเลี้ยงแกะชื่อ Kaldi เขาพบว่าฝูงแกะของเขากินเมล็ดกาแฟจากต้นไม้แล้วมีพฤติกรรมตื่นตัวและกระฉับกระเฉง เขานำเมล็ดกาแฟไปให้ที่สำนักสงฆ์ซึ่งทูตสามัญได้ทำเครื่องดื่มจากเมล็ดกาแฟและพบว่ามันช่วยให้เขาตื่นตัวและรู้สึกสดชื่น 

*เรื่องเล่านี้ อาจเป็นการบอกเล่าผ่านเรื่องราวในท้องถิ่นที่ไม่สามารถยืนยันได้อย่างเป็นทางการ ข้อมูลนี้ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน แต่มักจะถูกยกขึ้นเป็นตำนานในการอธิบายการค้นพบกาแฟ

"การพัฒนาในตะวันออกกลาง"

กาแฟมีต้นกำเนิดในเอธิโอเปียและได้รับการพัฒนาอย่างสำคัญในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในดินแดนของจักรวรรดิออตโตมันและคาบสมุทรอาหรับ ช่วงศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา

มีการเปิดโรงเบียร์กาแฟแรกในเมืองเมดีนา ประเทศตุรกี ชื่อว่า "قهوة خان" (Qahveh Khaneh) ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์กาแฟ ตลอดจนการก่อกำเนิดวัฒนธรรมการดื่มกาแฟในตะวันออกกลาง และทั่วโลก โรงเบียร์กาแฟเหล่านี้กลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนพบปะและพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ มันเป็นศูนย์กลางของการสื่อสารและการเรียนรู้ในสังคม

"การเดินทางเข้าสู่ยุโรป"

ในปี ค.ศ. 1570 กาแฟเข้าสู่ยุโรป แต่ช่วงแรกมีความถกเถียงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของการดื่มกาแฟ พระสันตะปาปาคลีเมนต์ที่ 8 ได้ทดลองกาแฟและพบว่ารสชาติดีมาก จึงได้ยอมรับการดื่มกาแฟจากคริสตธรรม ทำให้กาแฟกลายเป็นเครื่องดื่มที่นิยมในยุโรป

"การพัฒนาเครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซ่"

ในปี ค.ศ. 1884 อันเจโล โมริออนโด (Angelo Moriondo)  เป็นผู้พัฒนาเครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซต้นแบบที่จดสิทธิบัตรเครื่องทำกาแฟที่ใช้แรงดันไอน้ำ

Luigi Bezzera ได้นำแนวคิดนี้มาปรับปรุงในปี ค.ศ. 1901 โดยเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะสมกับการผลิตเครื่องทำกาแฟเชิงพาณิชย์ และจดสิทธิบัตรใหม่ ต่อมา Desiderio Pavoni ได้พัฒนาเครื่องนี้ให้เข้าสู่ตลาดในวงกว้างในปี 1905 ภายใต้แบรนด์ La Pavoni ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความนิยมเครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซที่แพร่หลายในปัจจุบัน

เครื่องทำกาแฟเอสเปรสโซ่สามารถสกัดสารสกัดกาแฟออกมาได้เข้มข้นและมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ รวมไปถึงคำศัพท์ที่เกี่ยวกับกาแฟจำนวนมากเป็นภาษาอิตาลีทั้งนั้น เช่น Cappuccino ที่ตั้งชื่อตามชื่อนักบวชกาปูชินในอิตาลี หรือ Latte ที่ในภาษาอิตาลีแปลว่า นม

นอกจากนี้ อิตาลียังเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องสูตรกาแฟเอสเปรสโซ่อันเข้มข้น ถือได้ว่าอิตาลีเป็นประเทศที่มีมูลค่าการส่งออกกาแฟสูง และมีแบรนด์กาแฟมีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง Kimbo, Segafredo Zanetti หรือ Lavazza เป็นต้น

.
เอสเปรสโซ มีเมนูที่น่ากินนอกจากจะเป็นกาแฟแสนอร่อยอยู่นะ

1. Espresso-Infused Chocolate Rum Balls
รัมช็อกโกแลตผสมเอสเพรสโซ
- เหล้ารัมสีเข้ม
- ผงเอสเพรสโซ
- ครีมชีส
- อัลมอนด์ป่น
- น้ำตาลไอซิ่ง
- ช็อกโกแลตไม่หวาน

2. Chocolate Chip Espresso Cookies
- เนย
- น้ำตาลทรายแดง
- น้ำตาลทรายขาว
- วานิลลา
- ไข่ 1 ฟอง
- แป้งอเนกประสงค์
- ผงเอสเพรสโซ
- ผงฟู
- เกลือ
- ช็อกโกแลตนมสับ
- ช็อกโกแลตขาวสับ

3. Brown-Butter Pecan Pie With Rum and Espresso
- พีแคน
- แป้งอเนกประสงค์
- ไขมันพืช 
- น้ำตาลทรายแดง
- น้ำเชื่อมอ้อย
- สารสกัดวานิลลา
- ผงเอสเพรสโซ
- เนยจืด
- เนย
- ไข่ไก่
- เหล้ารัม
- น้ำตาล
- เกลือโคเชอร์
- เกลือ

4. Affogato
อัฟโฟกาโตคือเจลาโตในเอสเพรสโซ สูตรขนมหวานอิตาลี
- เอสเพรสโซร้อน 1 ช็อต
- เจลาโตวานิลลา

5. Espresso Martini
- เอสเพรสโซ
- คาลัว
- วอดก้า
- น้ำเชื่อม



.
หลายคนอาจจะบอกว่า แค่จิบกาแฟเอสเพรสโซ ก็ใช่แล้ว! ก็ใช่ครับผม

.
อยากฝากไว้ให้คิดครับผม!
เคยมีคนพูดว่า ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็อย่าทำเลย..
"อยากจะบอกว่า" ถ้าไม่เริ่มทำ และลงมือทำไปอย่างต่อเนื่อง แล้วเมือไหร่จะดี หรือจะรอให้ดีก่อนค่อยทำ แล้วต้องรอถึงเมื่อไหร่ ทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ

* การฟังคำพูดของผู้อื่นมาก มักส่งผลเสียต่อตัวเอง ถ้าต้องแคร์ผู้อื่น เปลี่ยนมาแคร์ตัวเอง เพื่อความก้าวหน้าจะดีกว่า นะครับผม 
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: nationaldayfood
: epicurious
.
LookAt
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่