เคยได้ยินเรื่อง“twin flame”กันมั้ยใช่ผมก็เหมือนกันไม่เคยได้ยินและไม่คิดจะเชื่อด้วยจนได้มาเจอกับตัวเอง

เคยได้ยินเรื่อง“twin flame”  กันมั้ย ใช่ผมก็เหมือนกันไม่เคยได้ยิน และไม่คิดจะเชื่อด้วย จนได้มาเจอน้องฝีกงาน และทำให้ได้รู้จักกับคำนี้ จนในตอนท้ายถึงได้เข้าใจถึงแก่นของคำนี้ ว่ามันเป็นเพียงกุศโลบายในการเติมเต็มและพัฒนาตัวต้นของเราเอง เห้ยแล้วเรื่องอื่นที่นอกเหนือจากเรื่องนี้ละ มันไม่มีทางไปต่อเลยหรือ และผมก็ไม่อยากจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ ผมได้เขียนไดอารี่ไว้เพื่อที่จะไม่ให้ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้น ถึงมันจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตามที เรื่องราวทั้งหมดผมแค่คิดแค่ฝันไปคนเดียวใช่มั้ย ขอคำแนะนำด้วยนะครับ
        ไม่คิดเลยว่าเรื่องความรักบนโลกนี้ จะมีอะไรได้มากหรือนอกเหนือจากที่เราๆ รู้จัก ความรักใคร่ ความโลภ ความหลง หรือ ในแบบของความรักแบบหญิงชายที่เราเข้าใจกันมา ใช่เรารู้จักเราเคยผ่านแบบนั้นๆ กันมา ไม่ผิดหรอกที่จะเข้าใจแบบนั้นมันก็น่าจะแต่นี้ละมั้ง เราก็เคยผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา มันคงไม่มีแบบอื่นแล้วมั้ง เรื่องราวเหล่านี้ มันคงเบสิคที่สุดแล้วแหละ 
     ถ้าต้องมองย้อนกลับไปเรามีความคิดเปลี่ยนไปเมื่อไรกับเรื่องนี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ มันอาจจะย้อนกลับไปนานถึง 5 ถึง 6 ปีได้มั้ง กับเรื่องราวความรักครั้งสุดท้าย ที่เราคิดว่ามันคือที่สุดของความรู้สึกแล้วนะ ก่อนหน้านี้เรามีเชื่อชุดความเชื่อแบบนี้ แล้วอะไรที่มันทำให้ชุดความเชื่อเรื่องนี้เปลี่ยนไป แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่าตื่นรู้ทางจิตวิญญาณหรอกนะ คำบ้านี้เป็นคำที่ตอนแรกโคตรหยี่เลย ไม่อินเลย และก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย ทุกคนเคยได้ยินคำว่าทวินเฟรมมั้ย ไม่เคยได้ยินอะดิ ไม่เคยเหมือนกัน แล้วก็ไม่เคยเชื่อด้วย ว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่บนโลก มันคงจะมีแต่เพียงใน นิยาย ซีรี่ย์ มั้ง 
เพราะทวินเฟรมเป็นความเชื่อทางแบบตะวันตก ซึ่งเราเป็นชาวตะวันออก เมืองพุทธ มันคงมีคำที่ใช้เรียกเรื่องนี้ต่างออกไปมั้ง ซึ่งผมก็ไม่สามารถที่จะระบุมันได้ชัดๆ ว่าทางพุทธเรียกสิ่งนี้ว่าอะไร ผมก็ยังนึกไม่ออกว่าสิ่งนี้ มันเรียกว่าอะไร ถ้าใครรู้ก็บอกผมทีละกัน ตัดมาที่ปัจจุบันเลยละกัน ผมต้องรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงสอนงานน้องฝึกงาน ซึ่งตอนแรกก็มีมาเพียงคนเดียวชื่อวิว มาจากโรงเรียนศิลอะไรสักอย่างอ่ะ ที่กำลังจะปิดตัวลง ก็เป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่มีความใสซื่อ ตรงไปตรงมา ในอารมณ์ความรู้สึก ที่รุนแรงเร่าร้อน ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ ความใสๆนั้นจะเป็นเหมือนวอดก้าเลยละมั้ง ทั้งใสทั้งแรงแผดเผาทุกอย่าง  ก็ไม่ได้คิดอะไร ก็สั่งงานมันไป ดื้อบ้าง กวนตีนบ้าง  ยิ้มบ้าง แต่ก็ยังดูแลสอนงาน จนวันที่ฝึกในวันสุดท้ายก็ได้แยกย้ายกัน สรุปก็ได้น้องที่ดีคนหนึ่ง 
ที่ทำให้เราเข้าใจบางมุมของเรา ทำให้เราได้เห็นมุมมองของตัวเองว่าจริงๆ  แล้วเราก็ไม่ใช่เป็นคน introvert ซะทีเดียว เราลึกลึกเรามีความ Extrovert อยู่เหมือนกันนะ แล้วก็มีความก้าวร้าวในอารมณ์ประมาณหนึ่ง ปากคอเราะราย จิกกัดได้แสบทรวงประมาณนึงเลย ซึ่งก็ต้องขอบคุณวิวมาก ที่เป็นกระจกสะท้อนให้ตัวผมเองรู้ว่าเราไม่ได้น่าเบื่อ เราไม่ได้เป็นแบบที่คนอื่นมองเราจากมุมใดมุมหนึ่ง ที่แตกต่างออกไป ส่วนหนึ่งมันอาจจะเป็นเพาะการที่เราไม่ค่อยได้เจอหน้าผู้คนบนโลกความเป็นจริงมากนัก ไดนามิกน้ำเสียง การพูดการจา จังหวะจะโคน มันเลยอาจจะไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นตัวตนของเรามากนัก สุดท้ายของการฝึกงานของน้องวิว ก็มีการรับช่วงต่อของฝึกงานอีกชุดหนึ่ง เป็นช่วงคาบเกี่ยวกันที่ต้องสอนทั้งน้องวิว อาชีวศิลป์ แล้วก็เด็กฝึกงานจากบางมด 4 คนเป็นผู้ชาย 3 หญิง 1 ซึ่งในตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไรมากกับการที่น้องฝึกงานที่เข้ามา จนผมต้องประกาศออกตัวไปว่าผมขอไม่รู้จักชื่อพวกน้องนะ เพื่อที่จะไม่เพิ่มความผูกพันเพิ่มไปมากกว่านี้ ผมบอกไปอย่างงั้นจริงๆ แล้วก็คิดแบบนั้นจริงๆ ว่าด้วยการมาฝึกงานด้วยระยะเวลาแค่สองเดือน การที่เรารู้จักกันมันไม่น่าจะมีอะไรที่มันได้ลึกซึ้งลงลึกกันขนาดที่ว่าเราจะสนิทกันได้ เราจะสนิทกันได้ขนาดไหนอันนี้ผมไม่รู้ผมเลย เลยเลือกที่จะบอกน้องๆ ไปแบบนั้นจริงๆ ซึ่งการมาของน้องฝึกงาน 4 คน เนี่ย มันก็เป็นอีกมุมมองหนึ่ง ของการได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ที่มีความคิด มีเอกลักษณ์ มีคาแรคเตอร์ของตัวเอง ประมาณหนึ่งตามวัยของเขา แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เด็ก 4 คนนั้นหรอก แต่มันคือผู้หญิงหนึ่งในสี่คนนั้น ซึ่งมันทำให้ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปตลอดการ ในวันแรกผ่านไปแบบเรียบเฉย ซึ่งน้องผู้หญิงเขาก็พยายามบอกนะว่า เออเราทำความรู้จักกันเถอะ มันไม่เสียหายอะไรหรอก ผมก็ยังดื้อเหมือนเดิม ผ่านไปอีกวันนึง ก็ทักทายกันตามปกติ แล้วก็เกริ่นในเรื่องของการฝึกงานว่าจะแนะนำจะบอกเล่าเรื่องราวสอนงาน ด้วยกำแพงหรืออะไรสักอย่างหนึ่งมั้ง ผมก็ออกตัวเหมือนเดิมแหละ อืมว่าผมเป็นแบบนี้นะนู่นนี่นั่นไม่ต้องมาไหว้สวัสดีนะ เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่ได้เป็นคนที่น่าเคารพอะไรเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่สามารถเรียกตัวเองได้ว่าเป็นครู มีความรู้ที่จะสอนใครได้ ผมมีเพียงแค่คำแนะนำ มีมุมมอง มีเรื่องที่จะเล่าให้เขาฟังเฉยๆ ที่เกี่ยวกับพื้นฐานความรู้ และก็หน้างานที่น้องๆ เขาสนใจ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือคำตอบของน้องๆ ที่สะท้อนมาถึงตัวตนของผม ซึ่งมันก็เป็นเซอร์ไพรส์แรก การที่มีคนสื่อสารกลับมาหาผมในมุมมองของคำชม ใน mindset ที่ผมมีต่อทุกสิ่ง ซึ่งก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนแบบนั้นเป็นการน้อมรับคำชมที่รู้สึกดีนะ ว่ามีใครสักคนนึงบอกว่าพี่เป็นคนที่มี mindset ดีมากคนหนึ่งนะ ซึ่งกว่าจะมาเป็นคนที่มี mindset ดีแบบนี้ไม่ได้เลย ถ้าไม่ผ่านเรื่องราวบ้าบอคอแตก จนเป็นเราในทุกวันนี้ ขอบคุณเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด ที่ทำให้เราเป็นเราในวันนี้เหมือนกัน ก็ยังมองน้องผู้หญิงบางมดด้วยสายตาที่สงสัยเหมือนเดิม ในทุกๆ เช้าผมค่อนข้างที่จะมาเป็นคนแรกของแผนกเป็นส่วนใหญ่ สิ่งแรกที่ผมทำก็คือวางของเปิดแอร์ เปิด ups เปิดคอมเข้า youtube หาเพลงบรรเลงหรือเพลงที่เข้ากับอารมณ์ของเราในวันนั้นๆ ฟังเงียบๆ ในมุมมืดๆ นี่คือครั้งแรกที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คือคนทักผมว่าพี่ชอบอยู่เงียบๆ มืดๆ เหรอ ผมก็ได้แต่ตอบไปว่าใช่แล้ว นี่คือเรื่องแรกที่ตรงกัน มันก็ไม่น่าแปลกหรอกว่าคนเราจะชอบอยู่มืดๆ ใครหลายๆ คนก็ชอบที่จะอยู่มืดมืด เพลงเบาๆ แอร์เย็นๆ มันโอเคจะตายนะ คือมันยังเช้าอยู่ไง คือทุกคนจะต้องทำงานกันอยู่แล้ว แต่เรายังไม่พร้อมที่จะทำงานไงเลย เลือกที่จะขออยู่มืดมืด เพลงนิ่มๆ ไปก่อน แล้วก็ได้เวลาทำงานก็เปิดไฟ แล้วก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ เร่งรีบ ปวดหัว เหนื่อยเพลีย พักเที่ยง กินข้าว พาเจ้าวิวไปเลี้ยงข้าวเที่ยง ดูแลเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจในการทักทายพูดคุยมีการสอนงานกันปกติ บทสนทนาแรกๆ ที่ได้คุยกับน้องผู้หญิงคือน่าจะเป็นเรื่อง ที่คิดยังไงเกี่ยวกับที่รัฐบาลจะเปิดบ่อนคาสิโนมั้ง จากที่เรามองว่าเด็กผู้หญิงตัวแค่นี้  แต่เป็นการเปิดประเด็นคุยเรื่องพวกนี้มันก็มีความแปลกอยู่ในตัวเองประมาณนึงนะ และก็ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปเกี่ยวกับหัวข้อนี้ แล้วก็ลามไปถึงเรื่องของการเมืองเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งน้องเค้าก็ได้อธิบายตัวตนของเขามาประมาณหนึ่ง ว่าเรื่องเหล่านี้มันก็เป็นเรื่องที่เขาสนใจอยู่ประมาณหนึ่ง สนใจขนาดที่ว่าเกือบทุกม็อบทางการเมือง น้องชอบเอาตัวเองไปอยู่ในเหตุการของทุกม็อบ เหตุผลที่ไปน้องเล่าให้ฟังว่าน้องแค่อยากรู้ว่าในมุมมองในความคิดของแต่ล่ะที่ ของแต่ละม็อบเขาคิดเขารู้สึกยังไง ซึ่งเราก็บอกไปนะ ว่าก็เคยไปนะ ไปเพื่อที่จะไปคอยดูแลพ่อแม่เฉยๆ ตอนม็อบเสื้อเหลืองแค่นั้น แต่ในรายละเอียดเราคุยกันลงลึกประมาณหนึ่ง เพราะมันเป็นการคุยที่เกือบจะ deep talk แล้วประมาณนึงเลย แล้วมันก็จบไป บรรยากาศมันไม่ได้อำนวยที่เราจะนั่งคุยกันได้ทั้งวัน แล้วก็ผมเองก็ต้องไปเคลียร์งานส่วนตัวทำนั่นทำ ส่วนน้องเป็นเด็กฝึกงาน มาฝึกงานมันก็ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งคุยสนุกกัน ในเรื่องสัพเพเหระก็ปล่อยมันไปผ่านไปอีกหนึ่งวัน จนในเช้าอีกวันหนึ่ง ระหว่างกำลังนั่งฟังเพลงอยู่ น้องผู้หญิงคนนี้ก็เอาโทรศัพท์ให้ดูเพื่อที่จะอวดงานอดิเรกใหม่ของเขา นั่นก็คือน้องเค้าเริ่มเลี้ยงตู้ไม้น้ำ ซึ่งมันก็สร้างความว้าวให้ผมในระดับนึง ว่าเอ่อน้องชอบไม้น้ำเหมือนกันเหรอ เพราะพี่ก็ชอบ เคยเลี้ยงมาก่อนเพราะด้วยว่าอุปกรณ์ไม่พร้อมเราเลยไม่ได้เลี้ยงต่อ ไม่งั้นน่าจะเสียตังอีกหลาย ก็ได้คุยแลกเปลี่ยนความรู้ แล้วก็มุมมองของตู้แม่น้ำกันนิดนึง นี่คือเรื่องประหลาดใจเรื่องที่สอง ตู้ไม้น้ำต้องมีระบบแบบนั้น แบบนี้ อธิบายน้องเค้าไป ซึ่งทุกการอธิบายตัวอุปกรณ์ หรือว่าวิธีการใช้งานความเหมาะสม น้องเค้ามีความรู้หมดเลย มันเป็นเรื่องที่สองที่มีความชอบตรงกัน แล้วมันก็เลยทำให้บทสนทนามันยาวออกไปจนกลายเป็นการคุยเรื่องอื่น ว่าแต่ถ้าน้องชอบตู้ไม้น้ำแล้ว แล้วถ้าสิ่งที่ชอบที่สุด จริงๆ ของการทำงานอดิเรกตัวเนี่ยน้องอยากทำอะไรละ น้องเค้าอยากตั้งตู้ทะเลใช่ไหม คำตอบที่ได้ก็คือใช้ชอบทะเล ชอบเลี้ยงปะการัง ชอบสัตว์พื้นตู้ เรื่องอ่ะเรื่องที่ 3 มันคือสิ่งที่ผมชอบเหมือนกันแต่ ไม่มีปัญญาที่จะเลี้ยงผมก็เลยลองถามเขาเล่นๆ ว่าแล้วถ้าชอบทะเลจริง ถ้าต้องไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำสิ่งที่จะทำ คืออยากจะรู้ว่าการไปอะควาเรียม หลักๆ แล้ว ว่าต้องทำอะไรในนั้นนะ มันคืออะไรหรือแค่ไปเดินดูตู้ปลาทั่วไปไปดูนีโม่ ไปดูตู้ครึ่งบกครึ่งน้ำ ไปดูโครงกระดูกของสัตว์น้ำโบราณ หรือว่าไปอ่านป้ายนิทรรศการใช่น้องแค่บอกว่าน้องอยากไปดูปลานานๆ ไปดูปลาทะเลแค่นั้น ซึ่งผมก็ตอบน้องเขาไปว่าสิ่งที่พี่จะทำเหมือนกันคือพี่จะไปนั่งอยู่ที่ตู้เมนแทงของที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แล้วนั่งดูปลาอยู่แบบนั้น ถามว่ามันก็ต่างนะ แต่ถ้าเอาใจความคือมันตรงกันแล้วก็ได้แต่มองหน้ากัน แล้วทำหน้าประหลาดใจกัน กับบทสนทนาที่แต่ละหัวข้อมันมีความอิหยังวะ ก่อนหน้านี้ก็ไดมีการพูดคุยมีการถามกันว่า คิดยังไง ชอบยังไงรู้สึกยังไง ใน แต่ละหัวข้อ เพราะผมก็ไม่ได้ปักใจเชื่อซะทีเดียวนะว่าทำไมมันเหมือนกันขนาดนั้น ก็มีการลองของถามถึงความชอบ ความรู้สึก ในหลายๆ หัวข้อซึ่งยิ้มเป็นทุกหัวข้อ ที่ทำให้ประหลาดใจ ทั้งหมดว่าทุกหัวข้อ ทุกคำถาม ตรงกันหมดเลย ย้ำนะว่าตรงกันหมดเลย หลายๆ คนอาจจะยังไม่เชื่อ ซึ่งผมก็ขอยืนยันว่ามันคือความจริง แล้วก็จะเอาผมไปสาบานที่ไหนก็ได้ ว่าผมไม่ได้เข้าข้างตัวเอง หรือว่าอะไรก็แล้วแต่เลย ผมก็สงสัยเหมือนกัน ขนาดที่ว่าถามน้องเค้าไปว่าเกิดเดือนอะไร ปีนักษัตรอะไร เพราะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ววันเกิด เดือนเกิด หรือปีนักษัตร มันมีผลต่อความชอบ ความรู้สึกที่มันเหมือนกันหรือตรงกันมั้ย ซึ่งมันก็ไม่ได้เกิดเดือนเดียวกัน ปีนักษัตรตรงกัน หรืออะไรเลย แต่มันก็ไม่ได้ตรงกันซะขนาดนั้นนะ บรรยากาศหลังจากช่วงนี้มันก็ไม่มีอะไรหวือหวา ตื่นเต้น หรือประหลาดใจ อะไรขนาดนั้น เป็นทำงานกันตามปกติน้องก็นั่งเล่นกันไป ซึ่งก็มีแค่ความรู้สึก กับความเอ๊ะบางอย่าง ก็คงในเรื่องของเพื่อนน้องคนที่นั่งอยู่ด้วยกันก็คงน่าจะเป็นแฟนกันมั้ง แต่ความเอ๊ะมันคือเวลาผมไปถามเขาหรือไปพูดในเชิงที่ว่าระบุว่าผู้ชายที่มาที่นั่งด้วยกันเป็นแฟนน้องเขา จะมีอาการเบ้ปากมองบนร้องยี้ ปฏิเสธทางอ้อมว่าไม่ใช่ ซึ่งจริงๆ เค้าเป็นแฟนกันนั้นละแต่เขาคงไม่ได้อยากจะแสดงตัว ก็เป็นเรื่องปกติแหละ ที่แปลกทางคงจะเขินกันบ้างแหละ ก็ทำงานกันไป แต่ทุกครั้งที่หันมาสบตากันก็จะยิ้มทักทายกัน ไม่รู้ว่าด้วยเพราะผมเป็นพี่เลี้ยงฝึกงานเขาหรือเปล่า หรือหน้าเหมือนข้อศอกหมา หรืออะไรบางอย่างที่ยิ้มทักทายกันตามมารยาท แล้วก็ได้มีการถามคำถามเพื่อที่จะลองของ เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ผมสงสัยมันเป็นจริงแบบนั้นไหม ก็เป็นคำถามเกี่ยวกับความชอบ วิธีคิด เกี่ยวกับสิ่งของ หรือเรื่องราวบางเรื่อง ซึ่งคำตอบที่ได้ ก็ทำให้สะดุ้งมุข ช็อตฟิวกันเหมือนเดิม คือชอบเหมือนกัน คิดเหมือนกัน รู้สึกเหมือนกัน แล้วก็ตัดจบวันนั้นไปด้วยการที่น้องเค้าทักทายกันก่อนเลิกงานว่าสวัสดีครับแฝด ไม่ใช่สิ สวัสดีค่ะแฝด ผมเก็บความรู้สึกเก็บความสงสัยนั้นมาคุยกับเพื่อนที่ไม่เคยเจอหน้ากันแต่เป็นเพื่อนกันกันมาตลอด12 ปี ผมเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เขาฟังเหมือนที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดนี้เลย แต่สิ่งที่ได้ก็คือ แกรู้สึกกับเรื่องนี้ยังไงละ แกโอเคกับเรื่องนี้ใช่ไหม *มีต่อนะครับ*
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่