ผมจำได้ว่าผมอยู่กับยาย มาตั้งแต่จำความได้ และไม่เคยเห็นหน้าคนที่ทำให้ผมเกิด มาเกือบจะสามสิบปีได้
จำได้ว่าผมอยู่กับยายมาตลอด ตั้งแต่เข้าโรงเรียนปฐมวัย ช่วงชีวิตในวัยมัธยม ชีวิตมหาลัย และการเรียนมีทั้งสุขและทุกข์
ก็มีแต่ยายที่อยู่เคียงข้างผมโดยตลอดในทุกๆเรื่องราว ที่ผมได้ไปเจอและเรียนรู้การใช้วิต การเอาตัวรอด และการแข่งขัน จากข้างนอกมา
มีแต่ยายที่คอยให้กำลังใจ คอยปลอบ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีแรงไปสู้กับโชคชะตาต่อได้ และก็เป็นแบบนั้นมาตลอด
ตอนผมเป็นเด็ก ทุกคนจะเรียกว่าเด็กไม่มีพ่อแม่ก็ได้ มันก็เป็นเรื่องจริง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ชื่ออะไร หน้าตาแบบไหน แม้แต่รูปภาพในบ้าน ยังไม่มีเลย
อัลบั้มรูปภาพตอนเด็กก็ไม่มี ความทรงจำวัยเด็กของผม คือรู้แค่ว่าผมอยู่กับยายเพียงสองคน
ผมหาเงินเพื่อจะได้มีเงินไปกินขนมที่โรงเรียนในวัยเด็กโดยการช่วยยายขายขนมที่ยายทำขายในตอนเช้า
ช่วงชีวิตวัยเด็กของผม ที่จะได้ไปเล่นสนุก เหมือนเด็กคนอื่นคือไม่มีเลยในชีวิตของผมในตอนนั้น
เรียนเสร็จ เดินกลับบ้าน จำได้ว่าตอนนั้นเดิน ไป-กลับ โรงเรียนอยู่หลายเดือน
จนแถวบ้านมีงานวันเด็ก และผมโชคดี ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นดีใจมาก
ของขวัญวันเด็กที่ผมได้ชิ้นแรกในชีวิต และได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆคือ จักรยาน
พี่ๆครับ
ผมไม่ต้องเดินขาลากไปโรงเรียนและเดินกลับบ้านไกลๆรวมกัน เกือบ 10 กิโลอีกแล้ว
เด็กวัย 7 ขวบ 8 ขวบ ไม่มีเงินจ่ายรายเดือนเพื่อที่จะได้นั่งรถประจำทางไปโรงเรียนแบบสบายๆ
ชีวิตในตอนนั้น มีวาสนาแค่ต้องเดินไปโรงเรียนเท่านั้น
แต่พอได้จักรยานมา ทำให้การไปโรงเรียนของผมสนุกขึ้น ผมไม่ต้องเดินบ้างวิ่งบ้าง เพื่อที่จะถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถวอีกแล้ว
ดีใจจนน้ำตาไหล กอดดีใจกับยาย จำได้ว่าตอนนั้นดีใจร้องไห้ไป แถมได้มาปั๊ปก็ขับโชว์คนในงานเลย
ตอนนั้นก็มีเพื่อนที่เล่นด้วยกัน เป็นลูกคนแถวบ้านนั่นแหละ ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้างแล้ว แต่อายุน่าจะไล่ๆกับผมนี่แหละ
ผมสัญญากับยายไว้ว่าจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เกเร ไม่ทำให้ยายเสียใจ
ผมก็ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด แม้ว่าสังคมรอบตัวจะมีเสือสิงกระทิงแรด หรือเลวร้าย ซึ่งถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ
ก็อาจจะไหลตามได้ หรือโดนชักจูงได้ง่ายๆเลย แต่ผมคิดว่าตัวเองในตอนนั้นก็เข้มแข็งเหมือนกัน
ที่เลือกจะเอาด้านดีไว้ เรื่องไม่ดี จะไม่เข้าไป
ผมก็เป็นเด็กบ้านนอกคนนึง ที่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอมหรอก
อาศัยทุนเรียนฟรีจากรัฐบาล 12 ปี จนขึ้นมัธยมก็เริ่มทำงานหาเงินใช้เอง
เท่าที่เด็กอายุแค่นี้จะทำได้ คือช่วยยายขายขนม รับจ้างทั่วไป เพื่อที่จะได้มีเงินไว้จ่ายค่าเทอมและมีเงินไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ
ในตอนนั้นค่าใช้จ่ายไม่ค่อยเยอะหรอกครับ อยู่กันสองคนยายหลาน ค่าไฟเดือนนึงไม่ถึง 300 บาท ค่าน้ำ 50 กว่าบาท
เพราะที่บ้านผมอาบน้ำบาดาลเป็นหลัก กินน้ำประปา
ผมสู้มาจนผมเรียนจบมัธยมปลายปีที่ 6
ยังจำได้ดีว่าในวันที่เรียนจบ ทุกคนมีครอบครัวมาแสดงความยินดีที่โรงเรียนกันเต็มสนามหญ้า ตามซุ้มต่างๆ
แต่....สำหรับผม ผมไม่มีอะไรแบบนั้นในชีวิตหรอก ยายก็ไม่สะดวกมา
วันนั้นไม่มีการเรียนการสอน พอทำพิธีอะไรเสร็จ ผมปั่นจักรยานกลับบ้านทันที
อ้อผมลืมบอก จักรยานที่ผมได้มาตอนเด็ก พังไปแล้วนะครับ โซ่มันสึก
แต่คันที่สองนี้ผมเอาเงินเก็บที่ผมหารายได้เอง มาซื้อและยังใช้จนถึงตอนนี้ ใช้แบบถนอมที่สุด
ซื้อตอนช่วงจะขึ้นมัธยม ยายออกให้เยอะสุด ผมออกแทบหมดตัว เหลือติดตัว 20 บาท ยายบอกเก็บไว้กินขนม
จนมาวันนึง มีแนะแนวจากมหาลัยแห่งนึงมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเรียนต่อ
ผมคิดในใจเลยว่า ผมต้องสอบติดคณะที่ผมอยากเป็นให้ได้และต้องเป็นให้ได้
ในใจลึกๆคิดว่าถ้าเราทำได้ และเรียนจบในคณะนี้ได้ ผมจะสบายขึ้น ชีวิตผมจะดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่นอน
ซึ่งผมก็ทำได้ครับ มันคุ้มค่ามากกับสิ่งที่ผมทุ่มเทไป อ่านหนังสือยันดึกดื่น
ตอนนั้นจำได้ว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อ่านทั้งวันยันจะเข้านอน
วนลูปอยู่แบบนั้นเกือบเทอมนึงได้ เพื่อเตรียมตัวก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ผมสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ของมหาลัยแห่งนึงได้ เป็นมหาลัยที่ผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากเรียนที่นี่
และไม่คิดว่าจะทำได้ และก็ตั้งใจว่าต้องติดให้ได้ เราอดหลับอดนอนมาเพื่อสิ่งนี้
ผมก็ตั้งใจเรียน เรียน เรียนๆๆ พยามยามทำข้อสอบแต่ละครั้งให้ได้คะแนนสูงๆ เพื่อที่จะได้เอากลับไปให้ยายดู ว่าหลานทำได้นะยาย เก่งมั้ย หอมแก้มหลานหน่อย ทุกครั้งที่ผมสอบ คะแนนก็ทำให้ผมพอใจทุกครั้ง และมันคุ้มที่ทำให้ยายยิ้มได้ แกก็ดูไปงั้นแหละ แกไม่รู้เรื่องหรอกว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่ผมได้ไม่ใช่คำชมจากยายหรอก แต่เป็นรอยยิ้มของแก
จนขึ้นปี 3 ก็เริ่มหนักขึ้น แต่ก็ไม่ท้อนะ ทุกอย่างคิดว่าถ้าเราทำได้ เราผ่านตรงนี้ไปได้ เราก็จะสบายเอง
ปี 4 5 6 ขึ้นวอร์ด เป็นอะไรที่ท้อมาก ปี 6 เป็นอะไรที่ดาร์กมากที่สุด ไม่คิดว่าต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทำงานเหมือนเป็นหนี้ 100 ล้านบาท
ทำมันวนไปทุกแผนกทั้งวอร์ด เหมือนมีเราคนเดียวในที่แห่งนี้ แต่ความจริงแทบจะเดินชนกัน ทั้งพยาบาลและนศ.พ ด้วยกัน จนไม่คิดว่าจะแอบมาร้องไห้ที่ห้องน้ำตอนเที่ยงคืน ควงเวรยาวหลายชั่วโมง อดนอนนอนน้อย ปวดหัว ตาลายหน้ามืด แต่ก็ต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร
สุขภาพจิตตอนนั้นคือเริ่มแย่ ไหนจะค่ากินที่เราต้องใช้ส่วนตัว ไหนจะค่านั่นค่านี่ ดีหน่อยที่ค่าหอในของรพ.จ่ายเป็นรายปี ไม่กี่พัน ช่วยได้เยอะเลย แต่มันเครียดและกดดันกับความรับผิดชอบในตอนนั้นตลอดเวลา แต่ก็อาศัยแรงจูงใจที่ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ทุกคนรู้มั้ยครับว่าคนที่ซัพพอร์ตผมมาตลอด และคอยให้กำลังใจผมมาตลอดก็คือยายผมอีก
ยายทำงาน ขายขนม เพื่อที่จะพยายามเข็นให้เด็กคนนึงถึงฝั่งตามความฝันที่เลือกไว้ให้สำเร็จให้ได้
นึกถึงหน้ายายตอนหลับตา ก็กำหมัดแล้วสู้ต่อ ถอนหายใจแรงไปทีนึงแล้วลุกไปทำหน้าที่ต่อ เดี๋ยวก็ได้ออกเวรแล้ว อดทนนะ.....
ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กคนนึงต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยใช่มั้ย เพื่อแลกกับอนาคตที่ตัวเองจะได้จากมัน
คิดว่าทำดีต้องได้ดี ทำหน้าทีที่ตัวเองเลือกและได้รับโอกาส ให้ดีที่สุด
ขอบคุณทุนเรียนจากรัฐบาลที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ครับ ไม่งั้นผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมหรอก
และสุดท้ายผมก็สามารถผ่านจุดๆนั้น ที่แลกกับสุขภาพร่างกายมาพอสมควร ไม่ตายซะก่อน
เวลาทำงาน เยอะกว่าเวลานอน นิสิตแพทย์ชั้นพรีคลินิกรู้ดี โดยเฉพาะปีสุดท้ายของการเรียน
ในที่สุดผมเรียนจบแพทย์ สำหรับ 6 ปีในการเรียน
และผมก็ทำงานใช้ทุนอยู่ 3 ปี ปีสุดท้ายของการใช้ทุนเรียกได้ว่าสูบวิญญาณชีวิตที่สุด โหดกว่าสมัยปี6ซะอีก
สุข ทุกข์ ร้องไห้ เสียใจ เหนื่อย โดนเอาเปรียบ โดนแทงข้างหลัง จนอยากบ้า
ผม...สัมผัสมันมาทุกความรู้สึก
หลังจากใช้ทุนเสร็จ เหมือนชีวิตผมจะเริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะผมไม่มีหนี้สินอะไรแล้ว
ผมก็หาทางช่องทางเตรียมเรียนต่อเฉพาะทางต่ออยู่หลายปี
เป็นสายที่คิดว่าในอนาคต ทุกคนต้องเจอปัญหานี้แน่นอน และผมคิดถูกมากที่ผมมาสายนี้
มันเป็นประโยชน์กับคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต คือ ยาย ผมจะได้ช่วยยายได้
และคนไข้ทุกคนที่เจอปัญหานี้ แน่นอน 99.9% โรคเกี่ยวกับท้องไส้ มันทรมานมากเลยใช่ไหมล่ะ....
ทรมานและน่ารำคาญมากใช่ไหมละ คนไข้ทุกคนที่ผมรักษาอยู่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้แหละ
ช่วงสมัยเรียนตั้งแต่ขึ้นปี 4 มา ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่กับยายเท่าไหร่ หรือเรียกว่าไม่ได้อยู่เลยดีกว่า กลับบ้านนับครั้งได้
เพราะผมต้องมาอยู่หอใน ที่ทาง รพ.จัดไว้ให้ มันต้องเดินไปวอร์ดบ่อยพอสมควร
ปี4-5 ยังพอได้นอนหอบ้าง ปี6 แทบจะนอนในวอร์ดกับคนไข้ โดนพี่พยาบาลปลุกประจำจนระแวงว่าถ้าหลับจะโดนปลุกอีกมั้ย
แต่ก็ตลกดี เพราะผมไม่ใช่คนเดียวที่เจอ ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายสิบคนในกลุ่ม5555
ผมก็โลดแล่นกับการเรียนต่อเฉพาะทางอยู่ 4 ปี เหนื่อยนะแต่ก็ได้เงินมาใช้ทุกเดือน ผมยอม
ถึงผมจะไม่ได้อยู่กับยายเลย เพราะหลายๆอย่าง และเวลานอนก็น้อยอยู่แล้ว (ดีที่ไม่ตาย) แต่พอว่างเมื่อไหร่ ผมโทรหายายตลอด
ช่วงที่ผมเริ่มมีเงินเก็บ ผมพายายไปทำบัญชีธนาคาร เพื่อที่เวลาเงินเดือนผมออก
ผมจะได้โอนเข้าบัญชีให้ยายตลอดทุกเดือนได้เลย ถึงจะเดือนละไม่กี่พันแต่ผมก็ดีใจ ที่ได้ให้เงินให้ยายได้ใช้
ทุกๆครั้งที่โอนเงินให้ยายผมจะบอกยายเสมอว่ายายอยากซื้ออะไรกินยายก็ซื้อกินเลยนะ เดี่ยวสิ้นเดือนหน้า หลานโอนให้อีก
ตอนทำงานใช้ทุน ในช่วงปีที่ 3 ปี ชีวิตผมเริ่มสบายขึ้น เริ่มลงตัว มีเงินเก็บต่อเดือนมากขึ้น
ในช่วงทำงานใช้ทุนนี่แหละ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มมีความสุขมากขึ้นกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน คือทุกๆวันที่ผ่านมาก็มีแหละ แต่วันที่ผมเริ่มมีเงินเก็บถึงจะเหลือเก็บเดือนละไม่กี่พัน เก็บเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์ของตัวเองเครื่องแรกในชีวิต ราคา 3-4 พัน ของซัมซุง แลกกับการที่ผมใช้เงินวันละ 100 บาท และผมก็ทำได้ และเดือนต่อมาก็เก็บอีกเพื่อซื้อให้ยายอีกเครื่อง ต่อไปนี้ผมจะได้โทรหายายได้แล้ว ได้คุยกับยายเวลาเลิกงานหรือเวลาว่างๆ หรือเวลาที่ต้องการกำลังใจ จะได้ไม่คิดถึงยายมาก สมัครไลน์ให้ยาย สมัครเน็ตรายปีให้ยายปีละพันกว่าบาทแต่ก็คุ้มที่จะได้คอลวิดีโอหายาย เพราะผมไม่ได้กลับบ้านเลย ยายก็น่ารักโทรไปหาตอนไหนรับสายหลานตลอด รู้สึกมีกำลังใจในการเดินต่อ และดีใจที่สามารถดูแลยายได้อย่างภาคภูมิใจเท่าที่หลานจะทำให้ได้ มันมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมมาก
เป็นความโชคดีอย่างนึงที่ยายแข็งแรงด้วย ยายยังช่วยเหลือตัวเองได้หลายเรื่อง
งานบ้าน งานครัว ตากผ้า เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ เดินเหินเองได้เหมือนคนปกติทั่วไป
เลยไม่หวงมากจนเครียด หรือจนทำงานไม่ได้นะ ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ผมจึงวางใจว่าแกจะอยู่คนเดียวได้ในระดับนึง ในช่วงที่ผมไม่อยู่เป็นปี มีกลับไปหายายบ้างเวลาที่ว่าง ถึงจะไม่ค่อยได้กลับไปหายายเพราะเวลาไม่เอื้อ แต่ถ้าได้มีโอกาสเมื่อไหร่ คนอื่นอาจจะไปเที่ยว ส่วนผมไม่เที่ยวแต่กลับบ้านไปหายาย ไปกินข้าวบนโต๊ะอาหารเล็กๆที่มีความทรงจำมากมายกับยาย ที่ทำให้ยิ้มได้ ถึงจะโต๊ะไม้เก่าๆ ปลวกกิน แต่บนโต๊ะนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวความสุขมากมาย ที่เล่าวันนึงก็ไม่หมด
ตอนนี้ผมเรียนจบเฉพาะทางได้ 2 ปีแล้ว กว่าจะลืมตาอ้าปาก และมีชีวิตที่เรียกว่าได้ว่า ชีวิตที่ไม่ลำบากแล้ว ก็ตอนอายุปาไป 30 ต้นๆ
ถึงผมจะทำงานใช้ทุนหมดแล้ว และไม่มีหนี้อะไรแล้ว แต่ผมก็ยังทำงานให้รพ.รัฐเหมือนเดิม และก็ประจำอยู่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งด้วย เพราะผมคิดว่าผมไหวสบายๆ ไม่ต้องอดหลับอดนอนเหมือนสมัยใช้ทุน มีเวลาพักมากขึ้น สุขภาพจิต สุขภาพกาย ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
ผมมีเวลากลับไปหายายบ่อยขึ้น ทดแทนในช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอยายตัวเป็นๆเลย ได้แค่เห็นหน้ากันโทรผ่านวิดีโอไลน์
ยังจำได้เลย ตอนโทรหายายว่าวันนี้หลานจะกลับบ้านนะ ยายดีใจมาก เสียงยายสั่นว่าจริงหรือ มาจริงนะ ผมเห็นตายายเป็นสีแดง ยายร้องไห้
จนผมจะร้องไห้ตาม แต่ก็ตลกอย่างนึงคือผมโทรหายายทุกอาทิตย์ แต่ยายทำเหมือนขาดการติดต่อกับหลานไป 10 ปี 5555
กลับมาหายายครั้งนั้น ผมยายหงอกเต็มหัวเลยกว่าเดิม
ก็ปกติของคนอายุ 78 ครับ แต่ยายยังแข็งแรงและสายตายังดีเหมือนเดิม
ผมดีใจที่ยายดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี ยายทำตามที่ผมบอก และย้ำประจำ
ตอนนี้เรียกได้ว่า ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ด้วยความพยายมของผมเองทั้งหมด
คนซัพพอร์ต คือยาย และคนส่งเสริมก็คือครูบาอาจาร์ในมหาลัยและเพื่อนๆรอบตัวที่ดีกับผมเสมอมา
มีเวลากลับไปยายที่บ้านบ่อยขึ้น ไม่ต้องทำงานจนหน้ามืดสมัยใช้ทุนอีกแล้ว แต่การทำงานที่ไม่ต้องบากบั่นขนาดนั้น ก็ต้องมาพร้อมกับการทำงานที่ละเอียดขึ้น ห้ามผิดพลาด ทำอะไรต้องคิดให้ดี ถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้น แต่ผลดีต้องมากกว่าผลเสีย
พอเรียนจบเฉพาะทางก็ลุยทำงานเต็มที่ ตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อสร้างอนาคต
ผมมีเงินก้อน ผมก็มาซื้อบ้านโครงการที่ดี มีความปลอดภัย สงบ มีเวลาดูแลยายมากขึ้น
ตอนนี้พายายมาอยู่บ้านที่กรุงเทพด้วยกันแล้ว และจ้างแม่บ้าน 2 คนเพื่อดูแลยาย ดูความเรียบร้อยในบ้านและทำอาหารให้ยายทาน
ตอนนี้ผมทำงานแบบมีความสุขในทุกๆวัน
คิดว่าคุ้มค่าแล้ว ว่าที่ผ่านมาผมอดทนและเหนื่อย มันคุ้มจริงๆไม่เสียเปล่าเลย
ผมขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่เสียสละเวลาอ่านเรื่องราวของผม
ที่ผมตั้งใจนำมาแชร์ให้ได้อ่านกัน
แท็กห้องไม่ถูก กราบขออภัยครับ
ขอบพระคุณมากครับ
มาแชร์เรื่องราวที่อยู่กับยายตั้งแต่จำความได้ จนเรียนจบและมีหน้าที่การงานทำ สามารถเลี้ยงตัวเองได้เพียงสองคนครับ
จำได้ว่าผมอยู่กับยายมาตลอด ตั้งแต่เข้าโรงเรียนปฐมวัย ช่วงชีวิตในวัยมัธยม ชีวิตมหาลัย และการเรียนมีทั้งสุขและทุกข์
ก็มีแต่ยายที่อยู่เคียงข้างผมโดยตลอดในทุกๆเรื่องราว ที่ผมได้ไปเจอและเรียนรู้การใช้วิต การเอาตัวรอด และการแข่งขัน จากข้างนอกมา
มีแต่ยายที่คอยให้กำลังใจ คอยปลอบ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีแรงไปสู้กับโชคชะตาต่อได้ และก็เป็นแบบนั้นมาตลอด
ตอนผมเป็นเด็ก ทุกคนจะเรียกว่าเด็กไม่มีพ่อแม่ก็ได้ มันก็เป็นเรื่องจริง
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ชื่ออะไร หน้าตาแบบไหน แม้แต่รูปภาพในบ้าน ยังไม่มีเลย
อัลบั้มรูปภาพตอนเด็กก็ไม่มี ความทรงจำวัยเด็กของผม คือรู้แค่ว่าผมอยู่กับยายเพียงสองคน
ผมหาเงินเพื่อจะได้มีเงินไปกินขนมที่โรงเรียนในวัยเด็กโดยการช่วยยายขายขนมที่ยายทำขายในตอนเช้า
ช่วงชีวิตวัยเด็กของผม ที่จะได้ไปเล่นสนุก เหมือนเด็กคนอื่นคือไม่มีเลยในชีวิตของผมในตอนนั้น
เรียนเสร็จ เดินกลับบ้าน จำได้ว่าตอนนั้นเดิน ไป-กลับ โรงเรียนอยู่หลายเดือน
จนแถวบ้านมีงานวันเด็ก และผมโชคดี ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นดีใจมาก
ของขวัญวันเด็กที่ผมได้ชิ้นแรกในชีวิต และได้ใช้ประโยชน์จากมันจริงๆคือ จักรยาน
พี่ๆครับ
ผมไม่ต้องเดินขาลากไปโรงเรียนและเดินกลับบ้านไกลๆรวมกัน เกือบ 10 กิโลอีกแล้ว
เด็กวัย 7 ขวบ 8 ขวบ ไม่มีเงินจ่ายรายเดือนเพื่อที่จะได้นั่งรถประจำทางไปโรงเรียนแบบสบายๆ
ชีวิตในตอนนั้น มีวาสนาแค่ต้องเดินไปโรงเรียนเท่านั้น
แต่พอได้จักรยานมา ทำให้การไปโรงเรียนของผมสนุกขึ้น ผมไม่ต้องเดินบ้างวิ่งบ้าง เพื่อที่จะถึงโรงเรียนก่อนเข้าแถวอีกแล้ว
ดีใจจนน้ำตาไหล กอดดีใจกับยาย จำได้ว่าตอนนั้นดีใจร้องไห้ไป แถมได้มาปั๊ปก็ขับโชว์คนในงานเลย
ตอนนั้นก็มีเพื่อนที่เล่นด้วยกัน เป็นลูกคนแถวบ้านนั่นแหละ ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไงบ้างแล้ว แต่อายุน่าจะไล่ๆกับผมนี่แหละ
ผมสัญญากับยายไว้ว่าจะเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เกเร ไม่ทำให้ยายเสียใจ
ผมก็ตั้งใจเรียนมาโดยตลอด แม้ว่าสังคมรอบตัวจะมีเสือสิงกระทิงแรด หรือเลวร้าย ซึ่งถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอ
ก็อาจจะไหลตามได้ หรือโดนชักจูงได้ง่ายๆเลย แต่ผมคิดว่าตัวเองในตอนนั้นก็เข้มแข็งเหมือนกัน
ที่เลือกจะเอาด้านดีไว้ เรื่องไม่ดี จะไม่เข้าไป
ผมก็เป็นเด็กบ้านนอกคนนึง ที่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอมหรอก
อาศัยทุนเรียนฟรีจากรัฐบาล 12 ปี จนขึ้นมัธยมก็เริ่มทำงานหาเงินใช้เอง
เท่าที่เด็กอายุแค่นี้จะทำได้ คือช่วยยายขายขนม รับจ้างทั่วไป เพื่อที่จะได้มีเงินไว้จ่ายค่าเทอมและมีเงินไว้จ่ายค่าน้ำค่าไฟ
ในตอนนั้นค่าใช้จ่ายไม่ค่อยเยอะหรอกครับ อยู่กันสองคนยายหลาน ค่าไฟเดือนนึงไม่ถึง 300 บาท ค่าน้ำ 50 กว่าบาท
เพราะที่บ้านผมอาบน้ำบาดาลเป็นหลัก กินน้ำประปา
ผมสู้มาจนผมเรียนจบมัธยมปลายปีที่ 6
ยังจำได้ดีว่าในวันที่เรียนจบ ทุกคนมีครอบครัวมาแสดงความยินดีที่โรงเรียนกันเต็มสนามหญ้า ตามซุ้มต่างๆ
แต่....สำหรับผม ผมไม่มีอะไรแบบนั้นในชีวิตหรอก ยายก็ไม่สะดวกมา
วันนั้นไม่มีการเรียนการสอน พอทำพิธีอะไรเสร็จ ผมปั่นจักรยานกลับบ้านทันที
อ้อผมลืมบอก จักรยานที่ผมได้มาตอนเด็ก พังไปแล้วนะครับ โซ่มันสึก
แต่คันที่สองนี้ผมเอาเงินเก็บที่ผมหารายได้เอง มาซื้อและยังใช้จนถึงตอนนี้ ใช้แบบถนอมที่สุด
ซื้อตอนช่วงจะขึ้นมัธยม ยายออกให้เยอะสุด ผมออกแทบหมดตัว เหลือติดตัว 20 บาท ยายบอกเก็บไว้กินขนม
จนมาวันนึง มีแนะแนวจากมหาลัยแห่งนึงมาให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องเรียนต่อ
ผมคิดในใจเลยว่า ผมต้องสอบติดคณะที่ผมอยากเป็นให้ได้และต้องเป็นให้ได้
ในใจลึกๆคิดว่าถ้าเราทำได้ และเรียนจบในคณะนี้ได้ ผมจะสบายขึ้น ชีวิตผมจะดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่นอน
ซึ่งผมก็ทำได้ครับ มันคุ้มค่ามากกับสิ่งที่ผมทุ่มเทไป อ่านหนังสือยันดึกดื่น
ตอนนั้นจำได้ว่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็อ่านทั้งวันยันจะเข้านอน
วนลูปอยู่แบบนั้นเกือบเทอมนึงได้ เพื่อเตรียมตัวก่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ผมสอบติดคณะแพทยศาสตร์ ของมหาลัยแห่งนึงได้ เป็นมหาลัยที่ผมตั้งเป้าไว้ว่าอยากเรียนที่นี่
และไม่คิดว่าจะทำได้ และก็ตั้งใจว่าต้องติดให้ได้ เราอดหลับอดนอนมาเพื่อสิ่งนี้
ผมก็ตั้งใจเรียน เรียน เรียนๆๆ พยามยามทำข้อสอบแต่ละครั้งให้ได้คะแนนสูงๆ เพื่อที่จะได้เอากลับไปให้ยายดู ว่าหลานทำได้นะยาย เก่งมั้ย หอมแก้มหลานหน่อย ทุกครั้งที่ผมสอบ คะแนนก็ทำให้ผมพอใจทุกครั้ง และมันคุ้มที่ทำให้ยายยิ้มได้ แกก็ดูไปงั้นแหละ แกไม่รู้เรื่องหรอกว่ามันคืออะไร แต่สิ่งที่ผมได้ไม่ใช่คำชมจากยายหรอก แต่เป็นรอยยิ้มของแก
จนขึ้นปี 3 ก็เริ่มหนักขึ้น แต่ก็ไม่ท้อนะ ทุกอย่างคิดว่าถ้าเราทำได้ เราผ่านตรงนี้ไปได้ เราก็จะสบายเอง
ปี 4 5 6 ขึ้นวอร์ด เป็นอะไรที่ท้อมาก ปี 6 เป็นอะไรที่ดาร์กมากที่สุด ไม่คิดว่าต้องมาเจออะไรแบบนี้ ทำงานเหมือนเป็นหนี้ 100 ล้านบาท
ทำมันวนไปทุกแผนกทั้งวอร์ด เหมือนมีเราคนเดียวในที่แห่งนี้ แต่ความจริงแทบจะเดินชนกัน ทั้งพยาบาลและนศ.พ ด้วยกัน จนไม่คิดว่าจะแอบมาร้องไห้ที่ห้องน้ำตอนเที่ยงคืน ควงเวรยาวหลายชั่วโมง อดนอนนอนน้อย ปวดหัว ตาลายหน้ามืด แต่ก็ต้องทำเหมือนไม่เป็นอะไร
สุขภาพจิตตอนนั้นคือเริ่มแย่ ไหนจะค่ากินที่เราต้องใช้ส่วนตัว ไหนจะค่านั่นค่านี่ ดีหน่อยที่ค่าหอในของรพ.จ่ายเป็นรายปี ไม่กี่พัน ช่วยได้เยอะเลย แต่มันเครียดและกดดันกับความรับผิดชอบในตอนนั้นตลอดเวลา แต่ก็อาศัยแรงจูงใจที่ว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ทุกคนรู้มั้ยครับว่าคนที่ซัพพอร์ตผมมาตลอด และคอยให้กำลังใจผมมาตลอดก็คือยายผมอีก
ยายทำงาน ขายขนม เพื่อที่จะพยายามเข็นให้เด็กคนนึงถึงฝั่งตามความฝันที่เลือกไว้ให้สำเร็จให้ได้
นึกถึงหน้ายายตอนหลับตา ก็กำหมัดแล้วสู้ต่อ ถอนหายใจแรงไปทีนึงแล้วลุกไปทำหน้าที่ต่อ เดี๋ยวก็ได้ออกเวรแล้ว อดทนนะ.....
ผมไม่เคยคิดเลยว่าเด็กคนนึงต้องดิ้นรนขนาดนี้เลยใช่มั้ย เพื่อแลกกับอนาคตที่ตัวเองจะได้จากมัน
คิดว่าทำดีต้องได้ดี ทำหน้าทีที่ตัวเองเลือกและได้รับโอกาส ให้ดีที่สุด
ขอบคุณทุนเรียนจากรัฐบาลที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้ครับ ไม่งั้นผมไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมหรอก
และสุดท้ายผมก็สามารถผ่านจุดๆนั้น ที่แลกกับสุขภาพร่างกายมาพอสมควร ไม่ตายซะก่อน
เวลาทำงาน เยอะกว่าเวลานอน นิสิตแพทย์ชั้นพรีคลินิกรู้ดี โดยเฉพาะปีสุดท้ายของการเรียน
ในที่สุดผมเรียนจบแพทย์ สำหรับ 6 ปีในการเรียน
และผมก็ทำงานใช้ทุนอยู่ 3 ปี ปีสุดท้ายของการใช้ทุนเรียกได้ว่าสูบวิญญาณชีวิตที่สุด โหดกว่าสมัยปี6ซะอีก
สุข ทุกข์ ร้องไห้ เสียใจ เหนื่อย โดนเอาเปรียบ โดนแทงข้างหลัง จนอยากบ้า
ผม...สัมผัสมันมาทุกความรู้สึก
หลังจากใช้ทุนเสร็จ เหมือนชีวิตผมจะเริ่มลืมตาอ้าปากได้ เพราะผมไม่มีหนี้สินอะไรแล้ว
ผมก็หาทางช่องทางเตรียมเรียนต่อเฉพาะทางต่ออยู่หลายปี
เป็นสายที่คิดว่าในอนาคต ทุกคนต้องเจอปัญหานี้แน่นอน และผมคิดถูกมากที่ผมมาสายนี้
มันเป็นประโยชน์กับคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต คือ ยาย ผมจะได้ช่วยยายได้
และคนไข้ทุกคนที่เจอปัญหานี้ แน่นอน 99.9% โรคเกี่ยวกับท้องไส้ มันทรมานมากเลยใช่ไหมล่ะ....
ทรมานและน่ารำคาญมากใช่ไหมละ คนไข้ทุกคนที่ผมรักษาอยู่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันแบบนี้แหละ
ช่วงสมัยเรียนตั้งแต่ขึ้นปี 4 มา ผมก็ไม่ค่อยได้อยู่กับยายเท่าไหร่ หรือเรียกว่าไม่ได้อยู่เลยดีกว่า กลับบ้านนับครั้งได้
เพราะผมต้องมาอยู่หอใน ที่ทาง รพ.จัดไว้ให้ มันต้องเดินไปวอร์ดบ่อยพอสมควร
ปี4-5 ยังพอได้นอนหอบ้าง ปี6 แทบจะนอนในวอร์ดกับคนไข้ โดนพี่พยาบาลปลุกประจำจนระแวงว่าถ้าหลับจะโดนปลุกอีกมั้ย
แต่ก็ตลกดี เพราะผมไม่ใช่คนเดียวที่เจอ ยังมีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายสิบคนในกลุ่ม5555
ผมก็โลดแล่นกับการเรียนต่อเฉพาะทางอยู่ 4 ปี เหนื่อยนะแต่ก็ได้เงินมาใช้ทุกเดือน ผมยอม
ถึงผมจะไม่ได้อยู่กับยายเลย เพราะหลายๆอย่าง และเวลานอนก็น้อยอยู่แล้ว (ดีที่ไม่ตาย) แต่พอว่างเมื่อไหร่ ผมโทรหายายตลอด
ช่วงที่ผมเริ่มมีเงินเก็บ ผมพายายไปทำบัญชีธนาคาร เพื่อที่เวลาเงินเดือนผมออก
ผมจะได้โอนเข้าบัญชีให้ยายตลอดทุกเดือนได้เลย ถึงจะเดือนละไม่กี่พันแต่ผมก็ดีใจ ที่ได้ให้เงินให้ยายได้ใช้
ทุกๆครั้งที่โอนเงินให้ยายผมจะบอกยายเสมอว่ายายอยากซื้ออะไรกินยายก็ซื้อกินเลยนะ เดี่ยวสิ้นเดือนหน้า หลานโอนให้อีก
ตอนทำงานใช้ทุน ในช่วงปีที่ 3 ปี ชีวิตผมเริ่มสบายขึ้น เริ่มลงตัว มีเงินเก็บต่อเดือนมากขึ้น
ในช่วงทำงานใช้ทุนนี่แหละ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเริ่มมีความสุขมากขึ้นกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน คือทุกๆวันที่ผ่านมาก็มีแหละ แต่วันที่ผมเริ่มมีเงินเก็บถึงจะเหลือเก็บเดือนละไม่กี่พัน เก็บเงินเพื่อซื้อโทรศัพท์ของตัวเองเครื่องแรกในชีวิต ราคา 3-4 พัน ของซัมซุง แลกกับการที่ผมใช้เงินวันละ 100 บาท และผมก็ทำได้ และเดือนต่อมาก็เก็บอีกเพื่อซื้อให้ยายอีกเครื่อง ต่อไปนี้ผมจะได้โทรหายายได้แล้ว ได้คุยกับยายเวลาเลิกงานหรือเวลาว่างๆ หรือเวลาที่ต้องการกำลังใจ จะได้ไม่คิดถึงยายมาก สมัครไลน์ให้ยาย สมัครเน็ตรายปีให้ยายปีละพันกว่าบาทแต่ก็คุ้มที่จะได้คอลวิดีโอหายาย เพราะผมไม่ได้กลับบ้านเลย ยายก็น่ารักโทรไปหาตอนไหนรับสายหลานตลอด รู้สึกมีกำลังใจในการเดินต่อ และดีใจที่สามารถดูแลยายได้อย่างภาคภูมิใจเท่าที่หลานจะทำให้ได้ มันมีความสุขมากขึ้นกว่าเดิมมาก
เป็นความโชคดีอย่างนึงที่ยายแข็งแรงด้วย ยายยังช่วยเหลือตัวเองได้หลายเรื่อง
งานบ้าน งานครัว ตากผ้า เข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ เดินเหินเองได้เหมือนคนปกติทั่วไป
เลยไม่หวงมากจนเครียด หรือจนทำงานไม่ได้นะ ยังไม่ถึงขั้นนั้น
ผมจึงวางใจว่าแกจะอยู่คนเดียวได้ในระดับนึง ในช่วงที่ผมไม่อยู่เป็นปี มีกลับไปหายายบ้างเวลาที่ว่าง ถึงจะไม่ค่อยได้กลับไปหายายเพราะเวลาไม่เอื้อ แต่ถ้าได้มีโอกาสเมื่อไหร่ คนอื่นอาจจะไปเที่ยว ส่วนผมไม่เที่ยวแต่กลับบ้านไปหายาย ไปกินข้าวบนโต๊ะอาหารเล็กๆที่มีความทรงจำมากมายกับยาย ที่ทำให้ยิ้มได้ ถึงจะโต๊ะไม้เก่าๆ ปลวกกิน แต่บนโต๊ะนี้เต็มไปด้วยเรื่องราวความสุขมากมาย ที่เล่าวันนึงก็ไม่หมด
ตอนนี้ผมเรียนจบเฉพาะทางได้ 2 ปีแล้ว กว่าจะลืมตาอ้าปาก และมีชีวิตที่เรียกว่าได้ว่า ชีวิตที่ไม่ลำบากแล้ว ก็ตอนอายุปาไป 30 ต้นๆ
ถึงผมจะทำงานใช้ทุนหมดแล้ว และไม่มีหนี้อะไรแล้ว แต่ผมก็ยังทำงานให้รพ.รัฐเหมือนเดิม และก็ประจำอยู่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งด้วย เพราะผมคิดว่าผมไหวสบายๆ ไม่ต้องอดหลับอดนอนเหมือนสมัยใช้ทุน มีเวลาพักมากขึ้น สุขภาพจิต สุขภาพกาย ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
ผมมีเวลากลับไปหายายบ่อยขึ้น ทดแทนในช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ไม่ได้เจอยายตัวเป็นๆเลย ได้แค่เห็นหน้ากันโทรผ่านวิดีโอไลน์
ยังจำได้เลย ตอนโทรหายายว่าวันนี้หลานจะกลับบ้านนะ ยายดีใจมาก เสียงยายสั่นว่าจริงหรือ มาจริงนะ ผมเห็นตายายเป็นสีแดง ยายร้องไห้
จนผมจะร้องไห้ตาม แต่ก็ตลกอย่างนึงคือผมโทรหายายทุกอาทิตย์ แต่ยายทำเหมือนขาดการติดต่อกับหลานไป 10 ปี 5555
กลับมาหายายครั้งนั้น ผมยายหงอกเต็มหัวเลยกว่าเดิม
ก็ปกติของคนอายุ 78 ครับ แต่ยายยังแข็งแรงและสายตายังดีเหมือนเดิม
ผมดีใจที่ยายดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี ยายทำตามที่ผมบอก และย้ำประจำ
ตอนนี้เรียกได้ว่า ผมมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ด้วยความพยายมของผมเองทั้งหมด
คนซัพพอร์ต คือยาย และคนส่งเสริมก็คือครูบาอาจาร์ในมหาลัยและเพื่อนๆรอบตัวที่ดีกับผมเสมอมา
มีเวลากลับไปยายที่บ้านบ่อยขึ้น ไม่ต้องทำงานจนหน้ามืดสมัยใช้ทุนอีกแล้ว แต่การทำงานที่ไม่ต้องบากบั่นขนาดนั้น ก็ต้องมาพร้อมกับการทำงานที่ละเอียดขึ้น ห้ามผิดพลาด ทำอะไรต้องคิดให้ดี ถึงผลดีผลเสียที่จะเกิดขึ้น แต่ผลดีต้องมากกว่าผลเสีย
พอเรียนจบเฉพาะทางก็ลุยทำงานเต็มที่ ตั้งใจทำงานเก็บเงิน เพื่อสร้างอนาคต
ผมมีเงินก้อน ผมก็มาซื้อบ้านโครงการที่ดี มีความปลอดภัย สงบ มีเวลาดูแลยายมากขึ้น
ตอนนี้พายายมาอยู่บ้านที่กรุงเทพด้วยกันแล้ว และจ้างแม่บ้าน 2 คนเพื่อดูแลยาย ดูความเรียบร้อยในบ้านและทำอาหารให้ยายทาน
ตอนนี้ผมทำงานแบบมีความสุขในทุกๆวัน
คิดว่าคุ้มค่าแล้ว ว่าที่ผ่านมาผมอดทนและเหนื่อย มันคุ้มจริงๆไม่เสียเปล่าเลย
ผมขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่เสียสละเวลาอ่านเรื่องราวของผม
ที่ผมตั้งใจนำมาแชร์ให้ได้อ่านกัน
แท็กห้องไม่ถูก กราบขออภัยครับ
ขอบพระคุณมากครับ