ทำไมไวน์ในขวดต้องมีปริมาตร 750 มิลลิลิตร และเหล้าในขวดต้องมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร?
แม้ว่าเครื่องดื่มมึนเมาจะเป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันดื่มกินกันน้อยลง แต่ของพวกนี้ก็ยังไม่ได้หายไปจากชีวิตของผู้คน ถ้าอยู่ใกล้แผนกขายเหล้า หรือในบ้านมีขวดเหล้าหรือไวน์อยู่ อยากให้ไปดูที่ขวด คุณจะเห็นว่าไวน์ทุกขวดจะมีปริมาตร 750 มิลลิลิตร ส่วนเหล้าทั้งหมดก็จะมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร
พอได้รู้แล้ว สงสัยบ้างไหมว่าทำไมปริมาตรมันต่างกัน?
บางคนก็อาจไม่สงสัยเพราะคิดว่ามันก็แค่ 'มาตรฐานที่เขากำหนดมาแบบนั้น' แต่จริงๆ มันมีเรื่องราวและเหตุผลเชิงคณิตศาสตร์อยู่
อยากจะเริ่มก่อนว่า ในอดีตนั้นพวกน้ำเมาทั้งหลายเขาไม่ได้บรรจุขวดแก้วขายแบบทุกวันนี้ คือจะใส่ไหใส่ถังอะไรก็ว่าไป ซึ่งในยุคพวกนั้นมันก็ยังไม่มี 'ระบบเมตริกซ์' ที่เอาไว้ใช้ชั่งตวงวัดแบบสากลด้วยซ้ำ
การพยายามเอาน้ำเมามาใส่ขวดขาย เกิดจากการเติบโตของตลาดชนชั้นกลางในศตวรรษที่ 19 ซึ่งความต่างคือคนพวกนี้ไม่ได้ร่ำรวยขนาดซื้อทีเป็นถังได้สบายๆ แบบพวกชนชั้นสูงในอดีต ดังนั้นมันเลยจำเป็นต้องมีการ 'แบ่งขาย' ซึ่งการแบ่งขายนั้นก็ต้องทำอย่างได้สัดส่วนเท่าเทียมกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือทุกขวดต้องมีปริมาตรเท่ากัน
และชนชั้นกลางก็เกิดในยุโรป คนยุโรปส่วนใหญ่ก็กินไวน์กัน ดังนั้นสิ่งแรกๆ ที่ถูกนำมาบรรจุขวดขายในท้องตลาดอย่างจริงจัง คือ ‘ไวน์’
ทีนี้พอจะใส่ขวดขาย มันก็มีคำถามทันทีว่า แบบนี้ขวดหนึ่งควรจะมีไวน์ในปริมาตรที่เท่าไหร่? ซึ่งสำหรับหลายคนก็น่าจะรู้สึกว่าปริมาตรที่สมเหตุสมผลน่าจะเป็น 1 ลิตร ตัวเลขมันกลมดี
แต่ยุคนั้นมันทำไม่ได้ เพราะการผลิตขวดไวน์นั้นใช้การเป่าแก้ว และด้วยแรงลมของคนงานเป่าแก้ว คนงานทั่วๆ ไปเป่าแก้วออกมาได้ขนาดไม่เกิน 800 มิลลิลิตร ดังนั้นการทำขวด 1 ลิตรจึงทำยาก และด้วยขีดจำกัดของเทคโนโลยีการเป่าแก้วในยุคนั้น เขาเลยตกลงกันว่า ถ้าอย่างนั้นเอาขวดที่ใส่ไวน์ 750 มิลลิลิตร ได้แล้วกัน?
ทำไมต้อง 750? คำตอบง่ายกว่าที่คิด เพราะว่าปกติถังบ่มไวน์มันจะไส่ไวน์ได้ 225 ลิตร และถ้าใส่ไวน์ขวดละ 750 มิลลิลิตร บ่มไวน์ 1 ถังจะได้เป็นไวน์ 300 ขวด ซึ่งนั่นคือใส่ได้ 25 ลัง ลังละ 12 ขวดพอดี
จะเห็นว่ามันลงตัวมาก และทุกวันนี้ขนาดถังบ่มไวน์ก็ไม่เปลี่ยน นี่เลยทำให้บริมาตรไวน์ในขวดมันก็เป็นอย่างที่เห็นมากว่า 200 ปีแล้ว
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมเหล้าถึงมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร? อันนี้ก็มีเรื่องราว
หลังจากไวน์ได้สร้างมาตรฐานขวดน้ำเมาไว้ในครั้งแรก เหล้าที่บรรจุขวดขายก็มีปริมาตร 750 มิลลิลิตรเหมือนกัน และถ้าใครมีขวดเหล้าเก่าๆ อยู่ในบ้าน ลองไปดูก็จะเห็นว่าขวดสมัยก่อนมันคือ 750 มิลลิลิตร เท่ากับไวน์
แล้วทำไมลดมาเป็น 700 มิลลิลิตร? คำตอบเร็วๆ คือพวกบริษัทเหล้าก็แค่ต้องการ 'ลดขนาดสินค้า' เหมือนอุตสาหกรรมอื่นนั่นแหละ คือการลดปริมาณสินค้า แต่ขายราคาเท่าเดิม มันก็เป็นมาตรการ 'ขึ้นราคาทางอ้อม' นี่เอง โดยหลักการมันก็มีแค่ให้ปริมาตรลดลงมาแบบที่ผู้บริโภคไม่รู้สึก และการลดปริมาตรลงมาไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นการลดที่สมเหตุสมผลที่จะทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกอะไร
แล้วทำไมต้องลดลงมาเป็น 700 มิลลิลิตรเป๊ะๆ? มันมีเหตุผลมากกว่าที่ต้องเป็นตัวเลขกลมๆ หรือเปล่า
คำตอบคือ ‘มี’ และนั่นโยงกับการบ่มสกอตช์วิสกี้เกรดดี ที่มาตรฐานคือบ่มกัน 12 ปี เพราะปกติเวลาทางสกอตแลนด์บ่มวิสกี้ เขาจะบ่มกันในถังปริมาตร 200 ลิตร แต่หลังจากการบ่ม เหล้าที่บ่มจะหายไปจากกระบวนการบางส่วนจนเหลือเพียง 175 ลิตร ซึ่งตอนนั้นแอลกอฮอล์ในถังจะมีความเข้มข้นประมาณ 50-60 ดีกรี ซึ่งตอนใส่ขวดมันจะต้องจืดจางลงอีกนิด เป็นเหล้าประมาณ 38-40 ดีกรีที่เราเห็นกันปกติ
ผลโดยรวมของการเติมน้ำเข้าไปให้แอลกอฮอล์มันพอดี จะทำให้เหล้าที่มีบริมาตรขึ้นมาจากการเติมน้ำ สามารถบรรจุใส่ขวดในปริมาตร 700 มิลลิลิตร ได้ประมาณ 150-250 ขวด ซึ่งทั่วๆ ไปแต่ละเจ้าเขาก็จะปรับปริมาณดีกรีให้ 'พอดี' กับการใส่ขวดให้หาร 12 ลงตัว เพื่อให้มันพอดีกับลังที่จะส่งไปขาย ซึ่งความจุมันคือ 12 ขวด และนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะเหล้าเกรดสูงๆ บ่มนานๆ นั้นมีค่า การใช้ให้หมดให้คุ้มทุกหยดก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
นี่แหละคือที่มาของปริมาตร 750 มิลลิลิตรของไวน์ และ 700 มิลลิลิตรของเหล้า ที่ใช้กันทั่วไปในโลกปัจจุบัน คือจะบอกว่ามันเป็นปริมาตรที่ใช้ต่อๆ กันมาก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่จะบอกว่ามันไม่มีเหตุผลเลยก็ไม่ใช่เช่นกัน
ที่มา : BrandThink
ทำไมไวน์ในขวดต้องมีปริมาตร 750 มิลลิลิตร และเหล้าในขวดต้องมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร?
แม้ว่าเครื่องดื่มมึนเมาจะเป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันดื่มกินกันน้อยลง แต่ของพวกนี้ก็ยังไม่ได้หายไปจากชีวิตของผู้คน ถ้าอยู่ใกล้แผนกขายเหล้า หรือในบ้านมีขวดเหล้าหรือไวน์อยู่ อยากให้ไปดูที่ขวด คุณจะเห็นว่าไวน์ทุกขวดจะมีปริมาตร 750 มิลลิลิตร ส่วนเหล้าทั้งหมดก็จะมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร
พอได้รู้แล้ว สงสัยบ้างไหมว่าทำไมปริมาตรมันต่างกัน?
อยากจะเริ่มก่อนว่า ในอดีตนั้นพวกน้ำเมาทั้งหลายเขาไม่ได้บรรจุขวดแก้วขายแบบทุกวันนี้ คือจะใส่ไหใส่ถังอะไรก็ว่าไป ซึ่งในยุคพวกนั้นมันก็ยังไม่มี 'ระบบเมตริกซ์' ที่เอาไว้ใช้ชั่งตวงวัดแบบสากลด้วยซ้ำ
การพยายามเอาน้ำเมามาใส่ขวดขาย เกิดจากการเติบโตของตลาดชนชั้นกลางในศตวรรษที่ 19 ซึ่งความต่างคือคนพวกนี้ไม่ได้ร่ำรวยขนาดซื้อทีเป็นถังได้สบายๆ แบบพวกชนชั้นสูงในอดีต ดังนั้นมันเลยจำเป็นต้องมีการ 'แบ่งขาย' ซึ่งการแบ่งขายนั้นก็ต้องทำอย่างได้สัดส่วนเท่าเทียมกัน หรือพูดง่ายๆ ก็คือทุกขวดต้องมีปริมาตรเท่ากัน
และชนชั้นกลางก็เกิดในยุโรป คนยุโรปส่วนใหญ่ก็กินไวน์กัน ดังนั้นสิ่งแรกๆ ที่ถูกนำมาบรรจุขวดขายในท้องตลาดอย่างจริงจัง คือ ‘ไวน์’
ทีนี้พอจะใส่ขวดขาย มันก็มีคำถามทันทีว่า แบบนี้ขวดหนึ่งควรจะมีไวน์ในปริมาตรที่เท่าไหร่? ซึ่งสำหรับหลายคนก็น่าจะรู้สึกว่าปริมาตรที่สมเหตุสมผลน่าจะเป็น 1 ลิตร ตัวเลขมันกลมดี
แต่ยุคนั้นมันทำไม่ได้ เพราะการผลิตขวดไวน์นั้นใช้การเป่าแก้ว และด้วยแรงลมของคนงานเป่าแก้ว คนงานทั่วๆ ไปเป่าแก้วออกมาได้ขนาดไม่เกิน 800 มิลลิลิตร ดังนั้นการทำขวด 1 ลิตรจึงทำยาก และด้วยขีดจำกัดของเทคโนโลยีการเป่าแก้วในยุคนั้น เขาเลยตกลงกันว่า ถ้าอย่างนั้นเอาขวดที่ใส่ไวน์ 750 มิลลิลิตร ได้แล้วกัน?
ทำไมต้อง 750? คำตอบง่ายกว่าที่คิด เพราะว่าปกติถังบ่มไวน์มันจะไส่ไวน์ได้ 225 ลิตร และถ้าใส่ไวน์ขวดละ 750 มิลลิลิตร บ่มไวน์ 1 ถังจะได้เป็นไวน์ 300 ขวด ซึ่งนั่นคือใส่ได้ 25 ลัง ลังละ 12 ขวดพอดี
จะเห็นว่ามันลงตัวมาก และทุกวันนี้ขนาดถังบ่มไวน์ก็ไม่เปลี่ยน นี่เลยทำให้บริมาตรไวน์ในขวดมันก็เป็นอย่างที่เห็นมากว่า 200 ปีแล้ว
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมเหล้าถึงมีปริมาตร 700 มิลลิลิตร? อันนี้ก็มีเรื่องราว
หลังจากไวน์ได้สร้างมาตรฐานขวดน้ำเมาไว้ในครั้งแรก เหล้าที่บรรจุขวดขายก็มีปริมาตร 750 มิลลิลิตรเหมือนกัน และถ้าใครมีขวดเหล้าเก่าๆ อยู่ในบ้าน ลองไปดูก็จะเห็นว่าขวดสมัยก่อนมันคือ 750 มิลลิลิตร เท่ากับไวน์
แล้วทำไมลดมาเป็น 700 มิลลิลิตร? คำตอบเร็วๆ คือพวกบริษัทเหล้าก็แค่ต้องการ 'ลดขนาดสินค้า' เหมือนอุตสาหกรรมอื่นนั่นแหละ คือการลดปริมาณสินค้า แต่ขายราคาเท่าเดิม มันก็เป็นมาตรการ 'ขึ้นราคาทางอ้อม' นี่เอง โดยหลักการมันก็มีแค่ให้ปริมาตรลดลงมาแบบที่ผู้บริโภคไม่รู้สึก และการลดปริมาตรลงมาไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นการลดที่สมเหตุสมผลที่จะทำให้ผู้บริโภคไม่รู้สึกอะไร
แล้วทำไมต้องลดลงมาเป็น 700 มิลลิลิตรเป๊ะๆ? มันมีเหตุผลมากกว่าที่ต้องเป็นตัวเลขกลมๆ หรือเปล่า
คำตอบคือ ‘มี’ และนั่นโยงกับการบ่มสกอตช์วิสกี้เกรดดี ที่มาตรฐานคือบ่มกัน 12 ปี เพราะปกติเวลาทางสกอตแลนด์บ่มวิสกี้ เขาจะบ่มกันในถังปริมาตร 200 ลิตร แต่หลังจากการบ่ม เหล้าที่บ่มจะหายไปจากกระบวนการบางส่วนจนเหลือเพียง 175 ลิตร ซึ่งตอนนั้นแอลกอฮอล์ในถังจะมีความเข้มข้นประมาณ 50-60 ดีกรี ซึ่งตอนใส่ขวดมันจะต้องจืดจางลงอีกนิด เป็นเหล้าประมาณ 38-40 ดีกรีที่เราเห็นกันปกติ
ผลโดยรวมของการเติมน้ำเข้าไปให้แอลกอฮอล์มันพอดี จะทำให้เหล้าที่มีบริมาตรขึ้นมาจากการเติมน้ำ สามารถบรรจุใส่ขวดในปริมาตร 700 มิลลิลิตร ได้ประมาณ 150-250 ขวด ซึ่งทั่วๆ ไปแต่ละเจ้าเขาก็จะปรับปริมาณดีกรีให้ 'พอดี' กับการใส่ขวดให้หาร 12 ลงตัว เพื่อให้มันพอดีกับลังที่จะส่งไปขาย ซึ่งความจุมันคือ 12 ขวด และนี่ก็เป็นเรื่องสำคัญเพราะเหล้าเกรดสูงๆ บ่มนานๆ นั้นมีค่า การใช้ให้หมดให้คุ้มทุกหยดก็เป็นสิ่งที่ควรทำ
นี่แหละคือที่มาของปริมาตร 750 มิลลิลิตรของไวน์ และ 700 มิลลิลิตรของเหล้า ที่ใช้กันทั่วไปในโลกปัจจุบัน คือจะบอกว่ามันเป็นปริมาตรที่ใช้ต่อๆ กันมาก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่จะบอกว่ามันไม่มีเหตุผลเลยก็ไม่ใช่เช่นกัน