Backpack Trip 3 วัน 2 คืน @พิษณุโลก โดยรถไฟ ปู๊น ปู๊น ^-^

สวัสดีครับเพื่อนๆทุกคนที่ได้เข้ามาอ่านรีวิวการไปเที่ยวพิษณุโลกของพวกเราในครั้งนี้กันน้า ก่อนอื่นต้องขอบอกเพื่อนๆก่อนเลยว่า นี้เป็นการเขียนกระทู้รีวิวครั้งแรกของพวกเราเลย ถ้าพวกเรารีวิวในส่วนไหนไม่ดี หรือ ขาดตกบกพร่องอะไรในการรีวิว ก็สามารถ Comment ติชม พวกเราได้เลยน้าค้าบ ^-^ ขออภัยทุกคนล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วยครับ

เอาล่ะมาเริ่มกันเลยดีกว่า จุดเริ่มต้นในการไปเที่ยวพิษณุโลกในครั้งนี้ เหตุเกิดจากว่า พวกเราได้ลงเรียนวิชา GEN 441 วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว แล้วนักศึกษาทุกคนก็จะต้องจับกลุ่มกันไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ (ในกลุ่มเรามีทั้งหมด 7 คน) โดยมีเงื่อนไขว่า สถานที่และจังหวัดนั้นจะต้องห่างไกลจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี(บางมด) เกิน 300 กิโลเมตร ใน Concept low price high experience พวกเราก็เลยดูเส้นทางการเดินทางโดยรถไฟ + กับดูสถานที่ท่องเที่ยวและราคาที่พักของแต่ละจังหวัดนั้นๆ...ดูกันไปดูกันมาแล้ว...พวกเราก็เลย...ตัดสินใจกันไปเที่ยวที่...จังหวัดพิษณุโลกนั้นเอง

ก่อนที่จะไปรีวิวการไปเที่ยวของพวกเราในครั้งนี้กัน เรามาดูค่าใช้จ่ายที่พวกเรา 7 คน ใช้กันไปในทริปนี้กันดีกว่าว่าหมดกันไปทั้งหมดคนละเท่าไหร่ ^-^ 
โดยพวกเรา 7 คน ไปเที่ยวกันในระหว่าง วันที่ 4 – 6 ตุลาคม 2567 (ราคาที่เห็นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต)
- ค่ารถไฟ (ชั้น 3) ไป-กลับ = 356 บาท (เที่ยวละ 178 บาท)
- ค่า Workshop ที่บ้านเจ้าจัน จันทร์เจ้า = 350 บาท
- ค่าเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า = 40 บาท
- ค่ารถยนต์เข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า = 30 บาท
- ค่าที่พักบ้านหอมสมุนไพร & รีสอร์ท(คืนแรก) = 172 บาท
- ค่าบ้านพักอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า(คืนที่ 2) = 286 บาท
- ค่าเหมารถตู้ 2 วัน 1 คืน = 572 บาท
รวมๆ แล้วก็ตกละคน 1,806 บาท (ไม่รวมค่ากิน + ค่าใช้จ่ายส่วนตัว) แต่ถ้ารวมแล้วก็...
- ค่ากิน + ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ประมาณคนละ 600 – 1,200 บาท 

 เอาล่ะ หลังจากนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวที่พิษณุโลกกันดีกว่า พร้อมกันหรือยังครับเพื่อนๆ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย Let’s Go !!!
tripnote002
วันที่ 1  
พวกเรานัดเจอกันที่สถานีรถไฟกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) ตอน 7 โมงเช้า โดยขบวนรถไฟที่พวกเราจองจะเป็น รถไฟชั้น 3 ซึ่งจะออกตอน 7.30 และจะถึงที่พิษณุโลกตอน 13.43 ซึ่งสภาพของพวกเราเมื่อไปถึงคืองัวเงียกันมาก!! ทุกคนคือพร้อมนอนต่อเพราะเป็นการเดินทางที่เช้าที่สุดเลย ZZZ ซึ่งในระหว่างทางหลังจากที่รถไฟได้ออกจากกรุงเทพฯ ไปแล้วนั้น บรรยากาศคือ Feel Good มาก 2 ข้างทาง เต็มไปด้วยบรรกาศแบบบ้านๆ ทุ่งนาสีเขียว มีทั้งวัวและควายกำลังเดินและกำลังกินหญ้าอยู่ในทุ่งนา และอีก 1 บรรยากาศ ที่พวกเราได้สัมผัสในระหว่างการเดินทาง คือ การขายข้าว ขายน้ำ ต่างๆบนรถไฟ ซึ่งพวกเรามักจะเคยเห็นบรรยากาศนี้ได้เฉพาะในหนังหรือในละคร ไม่คิดว่าจะได้มาเห็น ได้มาสัมผัสกับบรรกาศสุดคลาสสิคนี้ด้วยตัวเองเลย ^-^

มาถึง 13.40 แล้ว ใกล้จะถึงพิษณุโลกแล้วทุกคนนนนนน เย้ๆๆ จะได้ไปเที่ยวกันแล้ว แต่ๆๆ!!! รถไฟเลทจ้า ทำให้พวกเรามาถึงที่พิษณุโลกกันตอน 14.15 ซึ่งเมื่อยขาและปวดหลังมากๆเลยทุกคนนนนนน ณ ตอนนี้เราก็มาถึงพิษณุโลกกันแล้ว
 
พวกเราก็เปิดประเดิมไปเลยด้วยชานมและโกโก้ คนละ 1 แก้ว หลังจากนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะไป Workshop กันที่บ้านเจ้าจัน จันทร์เจ้า เพื่อทำผ้ามัดย้อม(ผ้าพันคอ), ใยแมงมุม และเจ้าจันจิ้ม โดยที่บ้านเจ้าจันนั้นจะอยู่ที่ ถนนบรมไตรโลกนารถ 2 ซ.บรมไตรโลกนารถ 39 ตำบลวัดจันทร์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งพวกเราก็ได้คุณกัณฐ์มณี พูลธนทวีกิจ หรือพี่ติ๊ก มาช่วยสอนและเล่าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาต่างๆเกี่ยวกับภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่พวกเรากำลังทำกันอยู่ ทำให้พวกเรานอกจากจะได้มาทำ Workshop กันแล้ว ยังได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของภูมิปัญญานั้นๆและประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับเมืองพิษณุโลกอีกด้วย และนี้ก็คือผลงานของพวกเรา
 





เสร็จจาก Workshop แล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มตรง พี่ติ๊กก็เลยอาสาพาพวกเราไปส่งกันที่ตลาดเพื่อหาอะไรกินกันก่อนเข้าที่พัก ซึ่งในระหว่างทางไปตลาด พวกเราก็โชคดีมากๆเลยที่พี่ติ๊กได้ขับรถพาพวกเราทัวร์ในเมืองพิษณุโลก แนะนำสถานที่เที่ยวต่างๆ พร้อมทั้งเล่าถึงประวัติความเป็นมาและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานที่นั้นๆอีกด้วย ต้องขอขอบคุณพี่ติ๊กที่พาพวกเราทัวร์รวมถึงมาส่งพวกเรามา ณ ที่นี้ด้วยนะค้าบ เสร็จจากทัวร์เมืองพิษณุโลกแล้ว พวกเราก็มาอยู่กันที่ตลาดนัดราชพฤกษ์ พิษณุโลก ซึ่งเป็นตลาดกลางคืนที่สมชื่อมาก เพราะว่าตอนที่พวกเราไปถึงนั้นเกิดเหตุการณ์ไฟดับทั้งตลาด ทำให้พวกเราได้สัมผัสกับตลาดกลางคืนที่แท้จริงของแทร่!!! หลังจากพวกเราเดินตลาดกันได้ไม่นานก็ต้องเรียกรถ Grab กลับที่พัก เพราะว่าฝนตกหนักมาก เปียกโชคไปทั้งตัวเลย
โดยในคืนแรกพวกเราก็มาพักกันที่บ้านหอมสมุนไพร & รีสอร์ท บรรยากาศในห้องพักและรอบๆก็จะได้กลิ่นความเป็นคลาสสิคๆหน่อยๆ เหมือนอยู่ในธรรมชาติ แอร์และเครื่องทำน้ำอุ่นในห้องน้ำ สามารถใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร หลังจากนั้นพวกเราก็ Sleep ZZZ กันทันที เพราะพวกเรานัดรถตู้ให้มารับกันตอน 9 โมงเช้า ในวันพรุ่งนี้

วันที่ 2 แล้วทุกคน
รถตู้มารับแล้วววววว มาไวมาก!! มารอตั้งแต่ 8 โมงเช้าเลย (พวกเรายังเตรียมตัวกันไม่เสร็จเลย) 8.50 ถึงเวลาแล้วที่พวกจะออกเดินทางไปเที่ยวกันที่ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ในระหว่างทางพี่คนขับก็พาแวะกินอาหารเช้า ซึ่งจากที่พัก(บ้านหอมสมุนไพร & รีสอร์ท) จนถึงอุทยานภูหินร่องกล้าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ในระหว่างนี้พวกเราบางคนก็นอนต่อสิครับรออะไร แหะ แหะ จน 11.30 พวกเราก็เดินทางมาถึงกันที่อุทยานภูหินร่องกล้า Check-in เปิดห้องพักอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เดินไปกันต่อที่ลานหินแตก

ซึ่งจะเป็นลานหินที่เต็มไปด้วยหิน หิน แล้วก็หญ้า ซึ่งในระหว่างทางที่พวกเราเดินเข้าไปนั้น ค่อนข้างลำบากนิดหน่อย เนื่องจากลักษณะของหินแต่ละชนิดที่ไม่เรียบและหินที่ลื่นมาก ทำให้พวกเราเดินเท้าเข้าไปกันค่อนข้างลำบาก แต่ในระหว่างทางพวกเราก็ได้ช่วยเหลือกันและกันคอยดูทาง ดูหน้า ดูหลังกันไปตลอดทาง

ใช้เวลากันเกือบ 45 นาที ก็มาถึงจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกลานหินแตก ซึ่งวิวที่ได้เห็นนั้น Feel Good มากๆ เรียกได้ว่า คุ้มค่าเหนื่อย คุ้มค่าเดินมาก หายเหนื่อยเลย


หลังจากชมวิวที่ลานหินแตกเสร็จแล้ว พวกเราก็กะว่าจะมาแวะชมวิวกันต่อที่ผาชูธง แต่เวลาในตอนนั้นก็ 5 โมงเย็นแล้ว ทำให้พวกเราไม่สามารถเดินเข้าไปกันที่ผาชูธงได้ เพราะถ้าเดินกลับออกมาแล้วมันจะมืดมาก อาจจะเกิดอันตรายขึ้นได้ในระหว่างเดินกลับออกมา แต่ในตอนนั้นพวกเราก็ยังคงโชคดีมากๆอีกเช่นเคย ที่ได้พี่ๆของเจ้าหน้าที่อุทยานมาอาสานำเดินเข้าไปที่ผาชูธง ซึ่งในระหว่างทางพี่เจ้าหน้าที่ก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และความเป็นมาเกี่ยวกับผาชูธง ให้พวกเราได้ฟัง ได้เรียนรู้กันไปเรื่อยๆตลอดทาง อีกทั้งยังได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยต้นไม้และป่าไม้สีเขียวตลอด 2 ข้างทาง ประกอบกับเสียงของน้ำตกในบางจุดและเสียงของนกและจิ้งหรีดร้อง ท่ามกลางหุบเขาที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทำให้พวกเราได้เสพทั้งธรรมชาติและประวัติความเป็นมาไปตลอดทางอย่างเต็มอิ่มเลย ^-^ ซึ่งในระหว่างทางการเดินนั้นพื้นที่เป็นหินจะลื่นมากๆ เนื่องจากมีน้ำชโลมอยู่บนหิน เพื่อนๆที่มาเที่ยวที่นี้ก็ระวังลื่นกันด้วยน้า ละแล้วก็มาถึง ผาชูธง!!!
 
จุดชมวิวอีก 1 จุดที่สวยงามมากๆของภูหินร่องกล้า เพราะว่า วิวที่พวกเราได้เห็นนั้นจะสามารถเห็นได้ทั้งจังหวัดของพิษณุโลกเลย มันยอดเยี่ยมมากจริงๆ เพราะหลังจากที่พวกเราได้เดินปีนป่าย ปีนผา กันมาเหนื่อยๆ พอมาเจอวิวที่สวยงามขนาดนี้ ทำให้พวกเราหายเหนื่อยกันเลยละ ^-^


ตอนนี้ก็เป็นเวลา 18.20 แล้ว เรากำลังจะเดินกลับออกมาเพื่อไปยังที่พักกัน ซึ่งในระหว่างทาง 2 ข้างทางนั้น จะเต็มไปด้วยความมืด มีเพียงแค่แสงไฟจากแฟลชโทรศัพท์และเสียงของนกและจิ้งหรีดร้องเท่านั้นเอง หลังจากนั้นพวกเราก็กลับมาถึงที่พัก มาทำอาหารกินกันเอง ในสไตล์ที่เรียบง่ายมากตามประสาคนขี้เกียจ เอ้ย คนหิว ^-^

วันที่ 3 เผลอแปปเดียวก็มาถึงวันสุดท้ายสะแย้ว ยังไม่อยากกลับเลย
พวกเรา(บางคน) ก็ตื่นกันตั้งแต่ 6 โมงเช้า เพื่อมาดูวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่หน้าบ้านพัก
 
หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้ว ก็เตรียมตัว Check-out ออกจากที่พักกันตอน 8 เช้า เพื่อไปยังจุดชมวิว ร่องกล้า...ฮั้นแน้ว ซึ่งจุดชมวิวจุดนี้นั้นสวยงามไม่แพ้จุดชมวิวจุดอื่นๆเลย บรรยากาศดีมาก วิวก็สวย ถือเป็นจุดชมวิวอีก 1 จุด ที่ควรแวะมา Check-in เพื่อเก็บภาพถ่ายกันก่อนกลับบ้านหรือก่อนขึ้นไปบนที่พักภูหินร่องกล้า
 

หลังจากชมวิวเสร็จกันเสร็จแล้ว ไปกันต่อที่น้ำตกผาลาด ที่น้ำตกผาลาดแห่งนี้จะเต็มไปด้วยธรรมชาติของต้นไม้และสายน้ำที่ตกลงมากระทบกับหิน ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของธรรมชาติเมื่อมารวมกันแล้วลงตัว Feel Good มากๆ (น้ำตกที่นี้น้ำใสมาก) ซี่งพลังของธรรมชาติที่นี้สามารถช่วยเติมเต็มพลังของพวกเราก่อนกลับกรุงเทพฯได้เป็นอย่างดีเลย โดยน้ำตกผาลาดจะอยู่ที่ ตำบลเนินเพิ่ม อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก


หลังจากได้รับพลังธรรมชาติกันอย่างเต็มที่แล้วก่อนกลับกรุงเทพฯ ก็ต้องแวะซื้อของฝากกันสักหน่อย โดยพวกเราได้มาแวะซื้อของฝากกันที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ไหนๆพวกเราก็มาที่วัดกันแล้ว ก็แวะไหว้พระ ขอพร ก่อนกลับกรุงเทพฯกันเลยละกัน ^-^ เรียกได้ว่า มาที่วัดแห่งนี้ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งของฝาก กลับไปกันอย่างแน่นอน ซึ่งของฝากที่ชาวบ้านได้นำมาขายกันส่วนใหญ่แล้วจะเป็นภูมิปัญญาของคนในท้องถิ่น หรือของคนในชุมชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยตาก, เสื้อผ้ามัดย้อม, เครื่องสมุนไพร, ยาดม, ยาหม่อง หรือไม้นวดกดจุดต่างๆ ซึ่งพวกเราก็ได้ของฝากกันมาครบทุกคนเลย ^-^ หลังจากนั้นพวกเราก็เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯกัน ซึ่งขากลับพวกเราก็ยังคงนั่งรถไฟชั้น 3 เหมือนเดิม ซึ่งรถจะออกตอน 13.18 และจะถึงกรุงเทพฯตอน 20.25 ซึ่งแน่นอนครับทุกคนพวกเรามาถึงกรุงเทพฯกันตอน... 20.40 เลทเหมือนตอนขามาเลย555 หลังจากนั้นพวกเราก็ถ่ายรูปกลุ่มกัน 1 รูป ก่อนแยกย้ายเดินทางกันกลับบ้าน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่