เราโดนแฟนสิงคโปร์ทิ้งด้วยเหตุผลของการศึกษา
เราอายุ 26 ส่วนแฟนเรากำลังจะ 24 เราเจอกันที่ไทยและเดทกันมาประมาณ 5 เดือน
เราติดต่อกันผ่านการส่งข้อความ วิดีโอคอล โทรหา และเขาก็กลับมาเจอเราที่ไทยอีกประมาณ 3 รอบ ความสัมพันธ์ก็ตามประสาคนทั่วไป มีไม่คุย มีนอย มีไม่เข้าใจกันบ้าง ความสัมพันธ์เราก็ดำเนินมาเรื่อยๆ และครั้งล่าสุดที่เขามาเจอเราที่ไทยเขาก็จะพูดเสมอว่าเขาเครียด เขากังวลเรื่องเรียนมาก เขากลัวว่าจะทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่มีเวลาไปทำงาน และพ่อแม่ก็ต้องมาซัพพอร์ตเขา บลาๆ ตอนที่เขากลับไปที่สิงคโปร์ เขาก็ยังคุยกับเราปกติ ยังโทรหากัน เราเลยตัดสินใจว่าจะไปสิงคโปร์หาเขาบ้าง ก็คุยกันเรื่องนี้เขาก็โอเค เราก็จองตั๋วจองทุกอย่าง อยู่มาวันนึงหลังจากที่คุยโทรศัพท์กัน วันต่อมาเขาก็มาบอกมอนิ่งปกติและเขาก็เปลี่ยนไปเลย ตอบไลน์ช้า ไม่บอกมอนิ่งบอกฝันดีเหมือนที่เคยทำ
หลังๆมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แย่ลงไปเรื่อยๆ จนมีวันนึงที่เราฟีลขาดเราเลยบอกเขาว่าถ้าไม่อยากคุยก็พูดมาเลยนะ ตอนนี้เราพยายามที่จะเข้าใจแตเราก็รู้สึกว่าไปต่อไม่ไหว เขาปล่อยให้เรารอแบบไร้จุดหมาย แล้วเขาก็บอกว่าไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยแต่เขายุ่งกับการเรียนตั้งแต่เปิดเทอมชีวิตเขาก็ยุ่งมาก อ่านหนังสือจนดึก บลาๆ เราเลยบอกว่าแค่5-10 นาทีก็ให้กันไม่ได้หรอ เขาก็เลยโทรมาคุยก็บอกว่าตอนนี้เขาเผชิญกับอะไรอยู่บลาๆ และเขาก็บอกว่าตอนที่เราจะไปสิงคโปร์คือเป็นช่วงที่เขายุ่งมากนะ อาจจะอยู่ด้วยได้ไม่เหมือนที่ไทยนั่นนี่ ถ้าเขามาไทยก็จะมีเวลาให้เราเยอะมาก
จนถึงันที่เราไปสิงคโปร์ ก็เจอกันแต่สิ่งที่เขาทำกับเรามันแย่มากๆ เราไปที่นั่นคนเดียวเราก็หวังว่าทริปสิงคโปร์จะทำให้ความสัมพันพ์ของพวกเราดีขึ้นแต่มันกลับแย่ลง เขาเหมือนไม่ใช่คนที่เรารู้จัก เขาใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันโฟกัสแค่ตัวเอง อ่านหนังสือ อ่านชีท แบบจะอะไรขนาดนั้น ฟีลเราตอนนั้นคือกูมาทำอะไรตรงนี้ เราไม่สนใจสิ่งรอบข้างมองแต่ความต้องการของตัวเอง ทุกอย่างเร่งรีบไปหมด ไป Universal คือ fast มากกก เราไม่ได้ใช้เวลาตรงนั้นเลย ทุกอย่างรีบไปหมด เที่ยวก็รีบ กินก็รีบ จะมาหาตอนกลางคืนก็ต้องแอบที่บ้านออกมาดึกๆ แล้วก็ต้องรีบกลับก่อนพ่อแม่ตื่น เรารู้ว่าเขาเครียดมากแต่เราบินไปที่นั่นคนเดียวเราก็หวังว่าอยากให้เขา spendtime กับเราหน่อยได้ไหม แค่ไม่กี่วันเองมันคงไม่ทำให้เขาสอบตกหรอกมั้ง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราอยู่กันคนละโลก มันไม่มีพื้นที่ให้เราอยู่ในชีวิตเขาเลยเรารับรู้ได้ เราขอให้เขาคุยกับเรานิดหน่อยต่อวันหรือแค่สุดสัปดาห์แต่เขาก็ให้เราไม่ได้
จนวันที่ต้องกลับไทยเขาก็มาส่งเราตามปกติ กอดและลากันเหมือนทุกครั้งแค่ครั้งนี้เรารู้สึกว่าเราต้องพูดอะไรสักอย่างให้เรารู้สึกดีขึ้น และเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดีขึ้น เราเลือกบอกสิ่งที่เรารู้สึกทั้งหมด เราไม่ได้ต้องการกดดันเขา เรารู้ว่าเป้าหมายต่างกันแต่เราสามารถอยู่เคียงข้างกันได้นะ แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งเราไว้ที่นั้น ยังไม่ได้ขึ้นเครื่องกลับไทยเลยด้วยซ้ำ555555555 ไฟท์บินดีเลย์อีก แบตก็จะหมด เน็ตก็หมดก็ร้องไห้ในสนามบินไปเลยสิคะ
เขามักจะบอกว่า culture เราต่างกันนะ บลาๆ เขาเครียด บลาๆ เรารู้และเข้าใจ แต่ที่อยากรู้เลยคือมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ? การที่เขาให้เหตุผลของการเลิกกันเพียงเพราะการศึกษามันคือเหตุผลจริงๆหรือแค่ข้ออ้าง? คนเราจะเครียดจนสามารถทิ้งความรู้สึกส่วนตัวเพื่อโฟกัสการเรียนขนาดนั้นเลยใช่ไหมคะ อันนี้เป็นแค่เขาหรือว่าคนสิงคโปร์เป็นแบบนี้กันทุกคน มันคาใจมากเลยค่ะ
เขาบอกเราว่าสิ่งสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือการเรียน เขาไม่ต้องการให้สิ่งอื่นมากระทบการเรียนของเขา เพราะถ้าเขาสอบตกเขาจะเสียทั้งเงินและเวล เขาไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าไม่ใช่เวลาที่เราจะมีความสัมพันธ์กันตอนนี้ เพราะเขาไม่มีเวลาและไม่สามารถทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์ได้ การเรียนมหาวิทยาลัยมันไม่ง่าย ยุ่งและเครียดมาก ดังนั้นขอให้เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไทยอีกเมื่อไหร่แต่เขาจะกลับมาแน่นอน ขอบคุณที่เข้าใจเข้าใจนะ Take care of yourself in Thailand. good luck. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
ประเด็นคือคนสิงคโปร์เขา worry pressure และ stressful กับการเรียนขนาดนั้นเลยหรอ มัน over ไปไหม คือถ้าแค่อยากเลิกไม่อยากคุยกันแล้วไม่ต้องเอาเรื่องเรียนมาอ้างก็ได้ไหมอะ
การศึกษาของประเทศสิงคโปร์ตึงเครียดแค่ไหน
เราอายุ 26 ส่วนแฟนเรากำลังจะ 24 เราเจอกันที่ไทยและเดทกันมาประมาณ 5 เดือน
เราติดต่อกันผ่านการส่งข้อความ วิดีโอคอล โทรหา และเขาก็กลับมาเจอเราที่ไทยอีกประมาณ 3 รอบ ความสัมพันธ์ก็ตามประสาคนทั่วไป มีไม่คุย มีนอย มีไม่เข้าใจกันบ้าง ความสัมพันธ์เราก็ดำเนินมาเรื่อยๆ และครั้งล่าสุดที่เขามาเจอเราที่ไทยเขาก็จะพูดเสมอว่าเขาเครียด เขากังวลเรื่องเรียนมาก เขากลัวว่าจะทำได้ไม่ดี กลัวว่าจะไม่มีเวลาไปทำงาน และพ่อแม่ก็ต้องมาซัพพอร์ตเขา บลาๆ ตอนที่เขากลับไปที่สิงคโปร์ เขาก็ยังคุยกับเราปกติ ยังโทรหากัน เราเลยตัดสินใจว่าจะไปสิงคโปร์หาเขาบ้าง ก็คุยกันเรื่องนี้เขาก็โอเค เราก็จองตั๋วจองทุกอย่าง อยู่มาวันนึงหลังจากที่คุยโทรศัพท์กัน วันต่อมาเขาก็มาบอกมอนิ่งปกติและเขาก็เปลี่ยนไปเลย ตอบไลน์ช้า ไม่บอกมอนิ่งบอกฝันดีเหมือนที่เคยทำ
หลังๆมาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แย่ลงไปเรื่อยๆ จนมีวันนึงที่เราฟีลขาดเราเลยบอกเขาว่าถ้าไม่อยากคุยก็พูดมาเลยนะ ตอนนี้เราพยายามที่จะเข้าใจแตเราก็รู้สึกว่าไปต่อไม่ไหว เขาปล่อยให้เรารอแบบไร้จุดหมาย แล้วเขาก็บอกว่าไม่ใช่ว่าไม่อยากคุยแต่เขายุ่งกับการเรียนตั้งแต่เปิดเทอมชีวิตเขาก็ยุ่งมาก อ่านหนังสือจนดึก บลาๆ เราเลยบอกว่าแค่5-10 นาทีก็ให้กันไม่ได้หรอ เขาก็เลยโทรมาคุยก็บอกว่าตอนนี้เขาเผชิญกับอะไรอยู่บลาๆ และเขาก็บอกว่าตอนที่เราจะไปสิงคโปร์คือเป็นช่วงที่เขายุ่งมากนะ อาจจะอยู่ด้วยได้ไม่เหมือนที่ไทยนั่นนี่ ถ้าเขามาไทยก็จะมีเวลาให้เราเยอะมาก
จนถึงันที่เราไปสิงคโปร์ ก็เจอกันแต่สิ่งที่เขาทำกับเรามันแย่มากๆ เราไปที่นั่นคนเดียวเราก็หวังว่าทริปสิงคโปร์จะทำให้ความสัมพันพ์ของพวกเราดีขึ้นแต่มันกลับแย่ลง เขาเหมือนไม่ใช่คนที่เรารู้จัก เขาใช้เวลาที่อยู่ด้วยกันโฟกัสแค่ตัวเอง อ่านหนังสือ อ่านชีท แบบจะอะไรขนาดนั้น ฟีลเราตอนนั้นคือกูมาทำอะไรตรงนี้ เราไม่สนใจสิ่งรอบข้างมองแต่ความต้องการของตัวเอง ทุกอย่างเร่งรีบไปหมด ไป Universal คือ fast มากกก เราไม่ได้ใช้เวลาตรงนั้นเลย ทุกอย่างรีบไปหมด เที่ยวก็รีบ กินก็รีบ จะมาหาตอนกลางคืนก็ต้องแอบที่บ้านออกมาดึกๆ แล้วก็ต้องรีบกลับก่อนพ่อแม่ตื่น เรารู้ว่าเขาเครียดมากแต่เราบินไปที่นั่นคนเดียวเราก็หวังว่าอยากให้เขา spendtime กับเราหน่อยได้ไหม แค่ไม่กี่วันเองมันคงไม่ทำให้เขาสอบตกหรอกมั้ง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราอยู่กันคนละโลก มันไม่มีพื้นที่ให้เราอยู่ในชีวิตเขาเลยเรารับรู้ได้ เราขอให้เขาคุยกับเรานิดหน่อยต่อวันหรือแค่สุดสัปดาห์แต่เขาก็ให้เราไม่ได้
จนวันที่ต้องกลับไทยเขาก็มาส่งเราตามปกติ กอดและลากันเหมือนทุกครั้งแค่ครั้งนี้เรารู้สึกว่าเราต้องพูดอะไรสักอย่างให้เรารู้สึกดีขึ้น และเพื่อให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดีขึ้น เราเลือกบอกสิ่งที่เรารู้สึกทั้งหมด เราไม่ได้ต้องการกดดันเขา เรารู้ว่าเป้าหมายต่างกันแต่เราสามารถอยู่เคียงข้างกันได้นะ แต่สุดท้ายเขาก็ทิ้งเราไว้ที่นั้น ยังไม่ได้ขึ้นเครื่องกลับไทยเลยด้วยซ้ำ555555555 ไฟท์บินดีเลย์อีก แบตก็จะหมด เน็ตก็หมดก็ร้องไห้ในสนามบินไปเลยสิคะ
เขามักจะบอกว่า culture เราต่างกันนะ บลาๆ เขาเครียด บลาๆ เรารู้และเข้าใจ แต่ที่อยากรู้เลยคือมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ? การที่เขาให้เหตุผลของการเลิกกันเพียงเพราะการศึกษามันคือเหตุผลจริงๆหรือแค่ข้ออ้าง? คนเราจะเครียดจนสามารถทิ้งความรู้สึกส่วนตัวเพื่อโฟกัสการเรียนขนาดนั้นเลยใช่ไหมคะ อันนี้เป็นแค่เขาหรือว่าคนสิงคโปร์เป็นแบบนี้กันทุกคน มันคาใจมากเลยค่ะ
เขาบอกเราว่าสิ่งสำคัญที่สุดของเขาตอนนี้คือการเรียน เขาไม่ต้องการให้สิ่งอื่นมากระทบการเรียนของเขา เพราะถ้าเขาสอบตกเขาจะเสียทั้งเงินและเวล เขาไม่เด็กอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นเขาคิดว่าไม่ใช่เวลาที่เราจะมีความสัมพันธ์กันตอนนี้ เพราะเขาไม่มีเวลาและไม่สามารถทุ่มเทให้กับความสัมพันธ์ได้ การเรียนมหาวิทยาลัยมันไม่ง่าย ยุ่งและเครียดมาก ดังนั้นขอให้เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า เขาไม่รู้ว่าจะได้กลับมาไทยอีกเมื่อไหร่แต่เขาจะกลับมาแน่นอน ขอบคุณที่เข้าใจเข้าใจนะ Take care of yourself in Thailand. good luck. ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง
ประเด็นคือคนสิงคโปร์เขา worry pressure และ stressful กับการเรียนขนาดนั้นเลยหรอ มัน over ไปไหม คือถ้าแค่อยากเลิกไม่อยากคุยกันแล้วไม่ต้องเอาเรื่องเรียนมาอ้างก็ได้ไหมอะ