เปิดประวัติธุรกิจ ชานมไข่มุก จากไต้หวันสู่เวธีโลก ทำไมถึงฮิตติดลมบน

ชานมไข่มุก หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ชาไข่มุกดำ" หรือ "ชาโบบะ" ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไต้หวันในช่วงทศวรรษ 1980s โดยมีองค์ประกอบพื้นฐานเป็นชา นม และ "ไข่มุก" ซึ่งโดยส่วนใหญ่นิยมทำจากแป้งมันสำปะหลังหรือเจลลี่ผลไม้ แม้จะมีสูตรและรูปแบบที่หลากหลาย แต่เอกลักษณ์ของเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่ที่รสชาติอันกลมกล่อมของชาที่ผสมผสานกับความหอมมันของนม พร้อมด้วยสัมผัสเคี้ยวหนึบของไข่มุกที่สร้างความแปลกใหม่และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย

จากการศึกษาหลายชิ้นพบว่า ในปี ค.ศ. 2024 อุตสาหกรรมชานมไข่มุกมีมูลค่าในตลาดโลกสูงถึงประมาณ 2.4 - 3.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในทศวรรษหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ไม่เสื่อมคลายของเครื่องดื่มชนิดนี้

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1940s ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด คุณจาง ฝาน ฉู อดีตบาร์เทนเดอร์ประจำร้านอิซากายะในไต้หวัน ได้เปิดร้านน้ำชาของตนเองในปี ค.ศ. 1949 โดยจำหน่ายชาสูตรพิเศษที่เรียกว่า "โช่วเหยา" (手搖) หรือ "ชาเขย่าด้วยมือ" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ได้แรงบันดาลใจจากการผสมเครื่องดื่มค็อกเทล โดยใช้เชคเกอร์ในการชงชา ส่งผลให้ได้ชาเย็นที่มีรสชาติเข้มข้น เนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม พร้อมฟองอากาศละเอียดลอยอยู่ด้านบน ซึ่งชาวไต้หวันเรียกขานกันว่า "ชาฟอง" (泡沫紅茶) นับเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวิวัฒนาการเครื่องดื่ม ซึ่งนำไปสู่การคิดค้นชานมไข่มุกในเวลาต่อมา

ในปัจจุบัน "โช่วเหยา" หรือชาเขย่า ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งในการรังสรรค์ชานมไข่มุก กล่าวได้ว่า หากปราศจากโช่วเหยา ก็จะไม่เกิดเป็นเครื่องดื่มชานมไข่มุกอย่างที่เรารู้จักและคุ้นเคยกันในปัจจุบัน หากย้อนกลับไปในช่วงเวลาดังกล่าว การคิดค้นโช่วเหยาถือเป็นนวัตกรรมที่พลิกโฉมวงการเครื่องดื่ม เนื่องด้วยในขณะนั้น เครื่องดื่มประเภทเย็นยังไม่แพร่หลาย และวัฒนธรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มเพื่อความรื่นรมย์นั้น เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในสังคมไต้หวันภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ความนิยมในเครื่องดื่มเย็นรสชาติเยี่ยมของชาวไต้หวันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"ปรากฏการณ์การเติบโตของธุรกิจเครื่องดื่มชา ดำเนินควบคู่ไปกับกระแสนิยมการบริโภคอาหารว่างในช่วงทศวรรษ 1980s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไต้หวันกำลังเผชิญกับการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว" Tseng Pin Tsang นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารชาวไต้หวัน ได้ให้ข้อมูลเชิงวิชาการไว้ "นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ชาสำเร็จรูปบรรจุภัณฑ์แบบอุตสาหกรรม ยังปรากฏร้านน้ำชาข้างทางและภัตตาคารที่ให้บริการชาในเขตชานเมืองเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก"

ในปี ค.ศ. 1986 คุณ Tu Tsong He ศิลปินและนักธุรกิจชาวไต้หวัน ได้ตัดสินใจริเริ่มธุรกิจใหม่โดยอาศัยกระแสความนิยมของร้านน้ำชา ภายหลังจากธุรกิจร้านหม้อไฟที่ท่านบริหารประสบกับภาวะล้มละลาย ส่งผลให้เกิดภาระหนี้สินกว่า 4 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน (หรือประมาณ 124,000 ดอลลาร์สหรัฐ) และก่อให้เกิดความจำเป็นเร่งด่วนในการแสวงหาแนวคิดที่จะสร้างความแตกต่างให้กับร้านน้ำชาของตนเอง "ในขณะที่ผมเดินทางไปยังตลาดสด Yamuliao ในเมืองไถหนาน ผมได้พบกับ 'เฟิ่นหยวน' (แป้งมันสำปะหลัง) ซึ่งเป็นขนมพื้นเมืองที่ผมชื่นชอบมาตั้งแต่สมัยเด็ก" คุณ Tu ได้กล่าวถึงความทรงจำในอดีต ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ในปี ค.ศ. 2020

"ขณะนั้น ผมเกิดแนวคิดที่จะนำเฟิ่นหยวนมาผสมผสานกับชาเขียว โดยเฟิ่นหยวนสีขาวซึ่งมีลักษณะกึ่งโปร่งแสง ตรงกลางมีสีขาวขุ่น เมื่อนำไปต้มในชาเขียวสีเหลืองทอง ก็ปรากฏรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับสร้อยไข่มุกของคุณมารดา" คุณ Tu กล่าวถึงที่มาของแรงบันดาลใจในการรังสรรค์เครื่องดื่มสูตรใหม่ "ข้าพเจ้าจึงเรียกชื่อเครื่องดื่มนี้ว่า 'เจินจู๋ลู่ฉา' (ชาเขียวไข่มุก)"
 
จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว คุณ Tu ได้พัฒนาสูตรโดยการนำเม็ดไข่มุกสีดำซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ใส่ลงไปในชานม เพื่อเพิ่มอรรถรสและสัมผัสในการเคี้ยว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นชานมไข่มุกสูตรคลาสสิก ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในระดับสากล "ในขณะนั้น เม็ดไข่มุกสีดำมีขนาดใหญ่กว่าหลอดดูดที่จำหน่ายทั่วไปในท้องตลาด" คุณ Tu อธิบายถึงอุปสรรคในช่วงแรก "ลูกค้าของเราจึงจำเป็นต้องใช้ช้อนตักเม็ดไข่มุกขึ้นมารับประทาน ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้ประสานงานกับโรงงานผลิตพลาสติก เพื่อสั่งผลิตหลอดดูดสำหรับเครื่องดื่มของเราโดยเฉพาะ"
ร้านชานมไข่มุกแห่งแรกของคุณ Tu ซึ่งใช้ชื่อว่า "Hanlin" ได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1986
"ในเวลาไม่นาน ชานมไข่มุกก็กลายเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในท้องตลาด และรายได้ที่มั่นคงจากร้านน้ำชาก็ช่วยให้ข้าพเจ้าสามารถปลดเปลื้องภาระหนี้สินได้" คุณ Tu กล่าวถึงความสำเร็จในเชิงธุรกิจ ปัจจุบัน Hanlin มีสาขากว่า 80 แห่งทั่วไต้หวัน และมีเครือข่ายแฟรนไชส์กระจายอยู่ทั่วโลก ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่สหรัฐอเมริกา แคนาดา ไปจนถึงจีนแผ่นดินใหญ่
 
อย่างไรก็ตาม ประวัติความเป็นมาของชานมไข่มุกนั้น มีความซับซ้อนมากกว่าที่คาดคิด เนื่องจากคุณ Tu มิได้เป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้คิดค้นชานมไข่มุก คุณ Lin Hsiu Hui ผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของร้านชานมไข่มุก Chun Shui Tang ได้ให้ข้อมูลว่า เธอเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ชานมไข่มุกแก้วแรกขึ้น ในระหว่างการประชุมทีมงานเมื่อปี ค.ศ. 1988 โดยเธอได้นำเม็ดไข่มุกที่เตรียมมา ใส่ลงไปในชาอัสสัม ด้วยเจตนาเพื่อความบันเทิง โดยมิได้คาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แม้ข้อสรุปทางกฎหมายจะระบุว่า ชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่บุคคลหรือร้านค้าใดๆ สามารถผลิตและจำหน่ายได้ แต่ประเด็นเรื่องต้นกำเนิดของเครื่องดื่มชนิดนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยมีบุคคลสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมชานมไข่มุกของไต้หวัน ได้แก่ คุณ Tu Tsong He ผู้ก่อตั้งร้าน Hanlin และคุณ Lin Hsiu Hui ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของร้าน Chun Shui Tang ต่างก็อ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นชานมไข่มุกขึ้นเป็นครั้งแรก
คุณ Tu Tsong He ระบุว่าแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ชานมไข่มุก เกิดจากการผสมผสาน "เฟิ่นหยวน" หรือแป้งมันสำปะหลัง เข้ากับชาเขียว โดยให้เหตุผลว่าลักษณะของเฟิ่นหยวนสีขาวใส มีไส้ตรงกลางสีขาว เมื่ออยู่ในน้ำชาสีเขียวทอง ดูคล้ายคลึงกับสร้อยไข่มุกของคุณแม่ จึงเป็นที่มาของชื่อ "เจินจู๋ลู่ฉา" (ชาเขียวไข่มุก) และต่อมาได้มีการพัฒนาสูตรโดยการเพิ่มเม็ดไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ขึ้นลงในชานม เพื่อให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและสัมผัสที่เคี้ยวหนึบหนับ จนกลายเป็นชานมไข่มุกสูตรคลาสสิกที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
ในขณะที่คุณ Lin Hsiu Hui อ้างว่าเธอเป็นผู้ริเริ่มนำเม็ดไข่มุกมาใส่ในชาอัสสัม ระหว่างการประชุมทีมงานเมื่อปี ค.ศ. 1988 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมียอดขายแซงหน้าชาเย็นชนิดอื่นๆ ของทางร้านในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ พนักงานของ Chun Shui Tang ยังกล่าวอ้างว่า ทางร้านเป็นผู้บุกเบิกการใช้แก้วเชคเกอร์ในการชงชา เช่นเดียวกับการทำค็อกเทล
ข้อพิพาทระหว่างสองฝ่ายได้นำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีเป็นเวลากว่า 10 ปี เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2009 และสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 2019 โดยศาลมีคำตัดสินว่าชานมไข่มุกเป็นเครื่องดื่มที่บุคคลหรือร้านค้าใดๆ สามารถผลิตและจำหน่ายได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องระบุว่าใครเป็นผู้คิดค้น ซึ่งแม้ผลการตัดสินดังกล่าวจะไม่ได้ข้อสรุปว่าใครเป็นผู้ชนะ แต่ก็ช่วยยุติความขัดแย้งระหว่างบุคคลสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมชานมไข่มุกของไต้หวันลงได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือ ที่มาของชื่อเรียก "โบบะ" ซึ่งในปัจจุบันมักใช้เรียกแทนชานมไข่มุกโดยทั่วไป แต่เดิมนั้นหมายถึงเม็ดไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ที่ใช้ในเครื่องดื่ม โดยเชื่อกันว่ามีที่มาจากพ่อค้าแผงลอยในไถหนาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "โบบะ" ฉายาของ Amy Yip ดาราสาวชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า "ราชินีแห่งทรวงอก" พ่อค้าแผงลอยรายนั้นจึงนำคำว่า "โบบะ" มาใช้เรียกเม็ดไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก "เฟิ่นหยวน" หรือเม็ดไข่มุกขนาดเล็ก ที่พบเห็นได้ทั่วไปในร้านน้ำชา

เหนือรสชาติและสัมผัสอันเป็นเอกลักษณ์ ชานมไข่มุกยังสะท้อนถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของไต้หวันในยุคสมัยนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง นักประวัติศาสตร์ Tseng Pin Tsang กล่าวว่า "ชานมไข่มุก ถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1980s ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านทางสังคมของไต้หวัน จากยุคเก่าสู่ยุคใหม่ โดยได้ผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิม เช่น การบริโภคเฟิ่นหยวนและชา เข้ากับอารมณ์ความรู้สึกโหยหาอดีต ที่ยังคงปรากฏอยู่ในสังคมสมัยใหม่ ก่อให้เกิดการเชื่อมโยงทางสังคมผ่านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกัน และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ของชาวไต้หวันในที่สุด"

ความผูกพันระหว่างชานมไข่มุกและชาวไต้หวัน ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด จากกรณีศึกษา "ชานมไข่มุกแลกอาวุธ" ในปี ค.ศ. 2004 เมื่อกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ได้จัดทำแผ่นพับรณรงค์ให้ประชาชนลดการบริโภคชานมไข่มุก โดยระบุว่า หากชาวไต้หวันงดซื้อชานมไข่มุกสัปดาห์ละ 1 แก้ว เป็นเวลา 15 ปี จะสามารถประหยัดเงินได้มากพอสำหรับค่าใช้จ่ายทางทหาร เพื่อโน้มน้าวให้สาธารณชนเห็นด้วยกับการจัดซื้ออาวุธ อย่างไรก็ตาม แผนการดังกล่าวกลับไม่ประสบความสำเร็จ ก่อให้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง และยิ่งกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคชานมไข่มุกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดย Easy Way แบรนด์ชานมไข่มุกชื่อดัง ได้ออกมาแถลงข่าวตอบโต้ว่า "ทำไมไม่ขอให้ประชาชนงดดื่มโค้กล่ะ" เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของชานมไข่มุก ในฐานะสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม ที่สามารถรวมพลังของผู้คน และส่งผลต่อการตัดสินใจในระดับชาติได้
แม้ประเด็นเรื่องต้นกำเนิดของชานมไข่มุก จะยังคงเป็นที่ถกเถียง โดยมีบุคคลสำคัญในแวดวงอุตสาหกรรมชานมไข่มุกของไต้หวัน ได้แก่ คุณ Tu Tsong He ผู้ก่อตั้งร้าน Hanlin และคุณ Lin Hsiu Hui ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของร้าน Chun Shui Tang ต่างก็อ้างว่าตนเป็นผู้คิดค้นชานมไข่มุกขึ้นเป็นครั้งแรก แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ คือที่มาของชื่อเรียก "โบบะ" ซึ่งในปัจจุบันมักใช้เรียกแทนชานมไข่มุกโดยทั่วไป แต่เดิมนั้นหมายถึงเม็ดไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ที่ใช้ในเครื่องดื่ม โดยเชื่อกันว่ามีที่มาจากพ่อค้าแผงลอยในไถหนาน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "โบบะ" ฉายาของ Amy Yip ดาราสาวชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่า "ราชินีแห่งทรวงอก" พ่อค้าแผงลอยรายนั้นจึงนำคำว่า "โบบะ" มาใช้เรียกเม็ดไข่มุกสีดำขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความแตกต่างจาก "เฟิ่นหยวน" หรือเม็ดไข่มุกขนาดเล็ก ที่พบเห็นได้ทั่วไปในร้านน้ำชา
จะเห็นได้ว่า ชานมไข่มุก มิใช่เพียงเครื่องดื่มที่ให้รสชาติความอร่อย หากแต่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม สัญลักษณ์แห่งอัตลักษณ์ และพลังแห่งไต้หวัน ที่แสดงถึงความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง และได้รับการยอมรับจากผู้คนทั่วโลก

ขอบคุณอัมรินทร์ทีวี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่