หากผลงานที่ตนกำลังรังสรรดันเผอิญไปเหมือนผลงานดังของคนก่อนๆ ที่ตนเองก็ไม่เคยอ่านมันอย่างจริงจัง

ขอยกตัวอย่างสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราเอง
มันจะมีอยู่ผลงานนึงที่ดังมากๆๆ (ขอไม่ระบุ) ทั้งชีวิตเราไม่เคยคิดจะแตะต้องมันเลย ได้แต่ฟังและมองผ่านๆ เวลาคนอื่นคุยกัน
พอช่วงวัยว้าวุ่น มีความคิดหลุดโลก เราได้เริ่มร่างผลงานของตัวเองขึ้นมาในระดับเล็กๆ ไม่ได้มุ่งมั่นทำต่ออย่างจริงจัง ได้แต่เก็บไว้เพ้อฝันในใจไปเรื่อยๆ
ปล่อยล่วงเลยมาจนมีช่วงหนึ่งที่ชีวิตดิ่งดาวน์ เลยได้กลับมาหมกมุ่นกับความคิดที่ค้างคาในใจ
บอกกับตัวเองว่า เราควรทำมันต่อ จากนั้นจึงเริ่มมุ่งมั่น ใส่ความแฟนตาซีเข้าไปมากขึ้น
จนได้โครงสร้าง แก่นหลัก และจุดหมายของมันได้ในระดับนึง ว่านี่คือตัวตนของเรา สิ่งที่เรากำลังจะสื่อสาร เป็นที่พอใจแล้วและไม่อยากเปลี่ยนอีก ซึ่งขณะนี้กำลังพยายามคิดองค์ประกอบด้านอื่นๆ เพื่อเติมเต็มให้มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (เป็นperfectionist ขั้นหนักในแบบที่โครงสร้างความคิดต้องสมบูรณ์ก่อนถึงจะลงมือ การทำไปก่อนคิดทีหลังไม่ใช่แนวทาง)
แต่อยู่มาวันนึงไม่รู้อะไรดลใจ ข้ามขั้นไปขุดค้นหาดูว่าผลงานดังๆชิ้นนั้นว่าเขาสื่อความหมายถึงอะไร ทั้งที่ๆ ก็ยังไม่เคยอ่านมันเหมือนเดิม
ได้อ่านความเห็น/การตีความ/ทฤษฎีที่ลงลึก ลึกไปยิ่งกว่าสายตาของคนนอกอย่างเราที่มองผ่านๆ มันมาโดยตลอด
ถึงกับต้องอุทานในใจว่า เรือหายแล้ว สิ่งที่เรากำลังรังสรรดันเผอิญไปเหมือนกับผลงานดังๆชิ้นนั้น
ลึกๆ ในใจ คือเพราะกลัวว่ามันจะมีอิทธิพลกับผลงานของเรา จึงไม่กล้าไปเริ่มอ่านมันเสียที
และพอได้รู้อย่างนี้แล้วจึงเกิดความไม่มั่นใจ กังวล หลงทิศทาง กลัวว่าความเป็นเราจะไปซ้ำกับคนอื่นแล้วทำได้ไม่ดีเท่า หรืออาจกดตัวเองจนตัดพ้อไปเลยว่า เสียเวลามาทำสิ่งนี้เพื่ออะไร มันไม่มีอะไรใหม่ และไม่ได้ดีไปกว่าของเดิมที่คนอื่นเขาทำมาก่อนแล้ว จะทิ้งที่ร่างไว้ก็ทิ้งไม่ลง กลัวความเสียดายทั้งแรงใจและเวลาที่ผ่านมา กลายเป็นว่ายิ่งรู้เยอะ ยิ่งติดกับดัก (หรือจริงๆแล้วคนเก่งๆ เขาต้องรู้ให้เยอะและต้องเก่งมากพอที่จะหาช่องทางออกไปได้?)
ตอนนี้ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ควรไปอ่านผลงานชิ้นนั้นก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยหาทางหลบหลีกจุดที่จะเหมือนเอา (ซึ่งก็อาจดูฝืนๆ เหมือนนักเรียนทำข้อสอบที่รู้คำตอบที่ถูกแต่พยายามกาข้อที่ผิด)
หรือ แค่หลับหูหลับตาทำๆ ไปเลย ไม่ต้องไปศึกษาเรียนรู้อะไรจากมันไปก่อนช่วงนี้ ผลลัพธ์จะยังไงก็ไม่ควรคิด ได้คือได้ เสียคือเสีย (ซึ่งเราก็กลัวว่าถ้าเสี่ยงทำต่อเสียเวลาไปแล้วมันจะไร้ค่า)

ขอถามศิลปินนักรังสรรในทุกแขนงทุกท่าน ว่ามีเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไหม ตอนนั้นท่านตัดสินใจดึงดันรังสรรผลงานของตนกันต่อไหม ให้กำลังใจตัวเองกันอย่างไร หรือมีคำแนะนำอื่นใดบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่