เรื่องเล่าขนหัวลุก เรื่องเล่าเจอดีขณะไปตั้งแคมป์

กระทู้สนทนา
ประสบการณ์ตั้งแคมป์หลอน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฉันและเพื่อนกลุ่มหนึ่งตัดสินใจไปตั้งแคมป์ในป่าที่ห่างไกลจากเมืองเล็กน้อย เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศเย็นสบายและต้นไม้รอบตัวเต็มไปด้วยสีสันสวยงาม เราเลือกที่ตั้งแคมป์ใกล้กับลำธารที่น้ำใสสะอาด เสียงน้ำไหลทำให้บรรยากาศดูสงบมากกลางคืนแรกผ่านไปโดยไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ในคืนที่สอง หลังจากที่เราก่อไฟและนั่งล้อมรอบกันอยู่ มีเพื่อนคนหนึ่งเริ่มรู้สึกว่ามีใครบางคนหรือบางอย่างจ้องมองมาจากในป่า เราหัวเราะและบอกว่าเขาอาจจะจินตนาการไปเอง แต่ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มแพร่ไปในกลุ่มอย่างช้าๆไม่นานหลังจากนั้น เสียงกรอบแกรบของกิ่งไม้หักก็ดังมาจากทิศที่เรานั่งมองไป เราส่องไฟฉายออกไป แต่ไม่เห็นอะไรเลย แสงไฟฉายส่องไปไกล แต่ความมืดดูเหมือนจะกลืนกินทุกอย่างที่อยู่นอกวงแสงไฟนั้นจนกระทั่งประมาณเที่ยงคืน ขณะที่เรากำลังจะเข้านอน เสียงเคาะเบาๆ ก็ดังขึ้นจากรอบๆ เต็นท์ เราคิดว่าเป็นกิ่งไม้ลู่ลม แต่เมื่อฟังดีๆ มันเป็นเสียงคล้ายกับมีคนเดินวนรอบเต็นท์ของเรา ในตอนนั้นไม่มีใครกล้าลุกออกไปตรวจสอบ เราพยายามนอนโดยไม่สนใจเสียงเหล่านั้น แต่เสียงก็ยังดังอยู่อย่างต่อเนื่องเช้าวันรุ่งขึ้น เราตรวจสอบรอบๆ ที่ตั้งแคมป์ พบรอยเท้าขนาดเล็กหลายรอยอยู่รอบเต็นท์ของเรา แต่ไม่มีรอยสัตว์หรือคนอื่นๆ อยู่ใกล้ๆ รอยเท้าเหล่านั้นดูเหมือนจะเดินวนอยู่ตรงจุดนั้นเป็นเวลานานหลังจากเหตุการณ์นั้น ทุกคนในกลุ่มก็ตัดสินใจเก็บของและกลับบ้านโดยไม่รออยู่ต่ออีกคืน
หลังจากที่เราตัดสินใจเก็บของและกลับบ้าน บรรยากาศก็ยังคงเงียบและอึดอัดเหมือนมีบางอย่างคอยจ้องมองอยู่ พวกเราเร่งมือเก็บเต็นท์และอุปกรณ์ต่างๆ โดยที่ไม่มีใครพูดอะไรมาก ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืนให้ชัดเจนขณะที่เรากำลังเดินกลับไปยังจุดที่จอดรถ ผ่านป่าใหญ่ที่เงียบสงัด จู่ๆ หนึ่งในเพื่อนของเราก็หยุดเดินและมองไปที่ป่า ข้างหน้าของเขา เหมือนกับว่าเห็นอะไรบางอย่าง เราทุกคนหยุดตามและถามว่าเขาเห็นอะไร แต่เขาแค่ยืนนิ่งๆ ดวงตาเบิกกว้าง เขาพูดช้าๆ ว่า "มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในป่า" พวกเราหันไปมองตาม แต่ไม่เห็นอะไรเลยพวกเราตกใจและรีบลากเขาไปต่อ แต่เขายังคงมองกลับไปทางเดิมตลอดทาง จนเมื่อเรากลับมาถึงรถ เพื่อนคนนั้นเริ่มกลับมาเป็นปกติ แต่เขายังคงบอกว่าเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ตรงต้นไม้ใหญ่ในป่า เธอสวมชุดสีขาว ผมยาวดำสนิท และไม่พูดอะไรเลยเมื่อเรากลับถึงบ้าน เพื่อนคนนั้นก็ยังไม่หยุดพูดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้น เขาเล่าว่าตอนที่เรายังอยู่ที่นั่น เขาเห็นเด็กคนนี้วนเวียนอยู่รอบๆ ที่ตั้งแคมป์ของเราในช่วงคืนที่ผ่านมา แต่ไม่ได้บอกใครเพราะคิดว่าตนเองคงเห็นผิดไปเอง จนกระทั่งตอนเดินออกมา เขาจึงมั่นใจว่ามันไม่ใช่จินตนาการไม่กี่วันต่อมา เพื่อนคนนั้นเริ่มฝันร้ายบ่อยๆ ในฝันเขามักจะเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่ปลายเตียงจ้องมองเขา บางครั้งเธอก็เดินเข้ามาใกล้ๆ จนเขาตื่นขึ้นด้วยความตกใจ เราทุกคนต่างสงสัยว่าเราได้เจอกับสิ่งลึกลับบางอย่างในป่านั้นจริงๆ
เมื่อเพื่อนของเราเริ่มฝันร้ายบ่อยขึ้น มันไม่ได้จบแค่ในความฝันเท่านั้น เขาบอกว่าตอนกลางคืนเขามักจะตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วรู้สึกเหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ที่มุมห้อง จ้องมองเขาอยู่ แต่พอเขาเปิดไฟก็ไม่เห็นใครอยู่เลยพวกเรากังวลมากขึ้น จึงตัดสินใจพาเขาไปหาผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับในหมู่บ้านใกล้ๆ ที่ตั้งแคมป์นั้น ผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกว่า พื้นที่ที่เราตั้งแคมป์อยู่เคยเป็นหมู่บ้านเก่า ซึ่งเคยมีเหตุการณ์เศร้าโศกเกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ผู้เฒ่าเล่าว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตจากการจมน้ำที่ลำธารใกล้ๆ กับที่เราตั้งแคมป์ และวิญญาณของเธอไม่เคยจากไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ในป่าแห่งนั้นท่านบอกว่าหากเราถูกวิญญาณเธอติดตามกลับมา เราควรจะทำพิธีขอขมาและปล่อยให้เธอไปสู่สุขคติ เราจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของผู้เฒ่า เตรียมของเซ่นไหว้ไปที่ป่านั้นอีกครั้ง แม้ทุกคนจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นเมื่อเราไปถึงที่ตั้งแคมป์เดิม อากาศเย็นแปลกๆ และเงียบจนผิดปกติ เราจัดเตรียมพิธีกราบไหว้ และขอขมาในสิ่งที่เราอาจจะล่วงเกิน จากนั้นก็บอกกล่าวให้ดวงวิญญาณเด็กผู้หญิงไปสู่ที่สงบสุข หลังจากพิธีเสร็จสิ้น เราทุกคนรู้สึกว่าอากาศรอบตัวอุ่นขึ้นเล็กน้อย และความรู้สึกกดดันที่มีมาตลอดก็เริ่มคลายลงหลังจากเหตุการณ์นั้น เพื่อนของเราก็ไม่เคยฝันร้ายหรือเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นอีกเลย พวกเราเชื่อว่าเธอได้ไปสู่สุขคติแล้ว แต่ทุกคนก็สาบานว่าจะไม่กลับไปตั้งแคมป์ที่ป่าแห่งนั้นอีกเป็นอันขาด
หลังจากที่เราทำพิธีขอขมาและกลับบ้าน ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกลับสู่ความปกติ เพื่อนของเราหยุดฝันร้าย และไม่มีใครในกลุ่มพูดถึงเรื่องราวในป่านั้นอีก อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งบางอย่างที่เรายังคงรู้สึกถึงเสมอ เหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นยังไม่จบลงจริงๆสองสามเดือนต่อมา ในวันที่พวกเราทุกคนรวมตัวกันอีกครั้งที่บ้านของเพื่อนคนเดิม บรรยากาศก็เป็นไปด้วยความสนุกสนาน เราเริ่มพูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเหตุการณ์ที่ป่า ซึ่งเราพยายามเลี่ยงที่จะพูดถึงมาก่อนหน้านี้ เพื่อนคนหนึ่งเปิดประเด็นขึ้นมาและถามว่า “พวกนายเชื่อไหมว่าเราทำให้เธอสงบไปจริงๆ?”เสียงหัวเราะเบาๆ ปะปนกับความรู้สึกไม่แน่ใจเริ่มกลับมา พวกเราบอกว่าหลังจากพิธี ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้น แต่จู่ๆ เพื่อนคนหนึ่งก็ยิ้มออกมาอย่างประหลาดและพูดขึ้นว่า "แต่บางทีเธออาจจะยังอยู่กับเราก็ได้นะ..."คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศในห้องเงียบลง ทุกคนมองหน้าเพื่อนคนนั้น ซึ่งจู่ๆ ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเขาดูเหม่อลอยเหมือนคนละเมอ เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า "พวกเธอคิดว่าเธอจะจากไปง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?"ทุกคนในห้องเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพื่อนคนนั้นยังคงพูดต่อว่า “เธอจะอยู่กับพวกเราตลอดไป... ไม่มีใครหนีเธอไปได้...” หลังจากพูดจบ เขาก็สลบไปทันทีพวกเราตกใจมากและพยายามปลุกเขา แต่ไม่มีใครทำอะไรได้เลย จนผ่านไปสักพัก เพื่อนคนนั้นก็ตื่นขึ้นมาและทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่จำได้เลยว่าได้พูดอะไรออกไป ทุกคนมองหน้ากันและตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้วที่จะหยุดพูดถึงเรื่องราวในป่านั้นอย่างถาวรถึงแม้เราจะทำพิธีขอขมาไปแล้ว แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เรารู้สึกเหมือนกับว่ามันยังตามเราอยู่ และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความทรงจำในป่านั้นก็ยังคงทำให้พวกเราหวาดหวั่นทุกครั้งที่นึกถึง
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พวกเราทุกคนพยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่า แต่ในใจลึกๆ เรารู้ว่าสิ่งที่เราพบเจออาจจะยังไม่จากไปจริงๆ แม้จะพยายามลืม แต่บางครั้งเหตุการณ์แปลกๆ ก็ยังคงเกิดขึ้น เพื่อนคนนั้นที่เคยถูกวิญญาณเข้าสิงบอกว่าบางคืนเขายังรู้สึกเหมือนมีเงาคนยืนอยู่ที่มุมห้อง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาในยามดึก บางครั้งเขาจะเห็นร่างเด็กผู้หญิงยืนจ้องเขาอยู่ในความมืด แต่พอเปิดไฟทุกอย่างก็หายไปไม่นานนักเพื่อนอีกคนในกลุ่มก็เริ่มฝันถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นเช่นกัน ในฝันเธอมักจะยืนอยู่ที่เดิม สวมชุดสีขาว และยืนเงียบๆ ในป่ารอบที่ตั้งแคมป์ที่เราเคยไป ทุกคนในกลุ่มเริ่มระแวงมากขึ้น และบางคนถึงกับต้องย้ายที่อยู่หรือเปลี่ยนเส้นทางชีวิตเพื่อหนีจากความทรงจำและความรู้สึกหลอกหลอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปเกือบปี พวกเราพบกันน้อยลง แต่มันไม่ได้หมายความว่าความหลอนจะจบลง สุดท้ายเพื่อนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนที่เห็นเด็กผู้หญิงเป็นคนแรกกลับทนความกดดันไม่ไหว เขาย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดไกลจากที่เดิม และเลิกติดต่อกับพวกเราไปเลย เหมือนเขาต้องการจะหนีจากสิ่งที่ยังติดตามอยู่มีครั้งหนึ่งที่เราพยายามนัดเจอกันอีกครั้งเพื่อพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหมด เผื่อว่าจะมีวิธีแก้ไขได้ เราตัดสินใจไปหาหลวงตาที่วัดแถวชนบทซึ่งขึ้นชื่อว่าเก่งด้านการปัดเป่าวิญญาณ หลวงตาบอกว่ามีบางวิญญาณที่ยังไม่สงบและไม่ยอมปล่อยวาง ถ้าเราไปเจอหรือรบกวนพื้นที่ของเขาโดยไม่ตั้งใจ บางทีอาจต้องทำพิธีใหญ่เพื่อส่งเขาไปยังภพภูมิที่สงบจริงๆหลวงตาแนะนำว่าเราควรไปทำบุญใหญ่ และถ้ามีโอกาส ให้กลับไปที่ป่าแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อขอขมาอย่างจริงจัง เราต่างรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำให้ทุกอย่างยุติลงอย่างแท้จริง
เมื่อหลวงตาแนะนำให้เราทำบุญใหญ่และกลับไปที่ป่าเพื่อขอขมาอย่างจริงจัง พวกเราทุกคนลังเลอยู่พักหนึ่ง เพราะไม่มีใครอยากกลับไปยังที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันน่ากลัว แต่ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่าจะลองทำตามคำแนะนำของหลวงตา เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะปลดปล่อยวิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้นและทำให้ชีวิตของเรากลับคืนสู่ความสงบพวกเรารวมตัวกันอีกครั้งและเตรียมของเซ่นไหว้ใหญ่ทั้งอาหาร ดอกไม้ และเครื่องบูชาอื่นๆ จากนั้นจึงเดินทางกลับไปยังป่าที่เกิดเหตุ เมื่อเราเข้าไปใกล้พื้นที่ที่เคยตั้งแคมป์ ความรู้สึกกดดันและความเงียบงันก็กลับมาอีกครั้ง อากาศดูหนาวเย็นอย่างประหลาด แม้ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อนก็ตาม ทุกคนในกลุ่มต่างระมัดระวังตัว ไม่มีใครพูดอะไรมากนัก เพราะแต่ละคนรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ รอบตัวเราตั้งของเซ่นไหว้ไว้ที่จุดเดิมใกล้ลำธาร และเริ่มทำพิธีขอขมาตามคำแนะนำของหลวงตา พวกเราสวดมนต์และอธิษฐาน ขอให้วิญญาณเด็กผู้หญิงคนนั้นได้รับการปลดปล่อยและได้ไปสู่ที่สงบสุข หลังจากทำพิธีเสร็จ เราทุกคนยืนรอฟังเสียงหรือสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งบอกว่าเธอได้รับคำขอขมาของเราแต่ทันใดนั้น เสียงลมที่พัดผ่านกิ่งไม้เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และเสียงน้ำในลำธารก็เหมือนจะเปลี่ยนไป เหมือนกับว่ามันกำลังสั่นสะเทือนตามแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น พวกเรามองหน้ากันด้วยความกลัว ก่อนที่เพื่อนคนหนึ่งจะชี้ไปที่ลำธารที่ปลายลำธาร มีเงาร่างของเด็กผู้หญิงปรากฏขึ้น เธอยืนอยู่เงียบๆ สวมชุดสีขาวเหมือนที่พวกเราจำได้จากคำบอกเล่าของเพื่อน ทุกคนในกลุ่มยืนนิ่งด้วยความหวาดกลัว แต่เธอไม่ได้เคลื่อนไหวหรือเข้าใกล้เรา แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ จนกระทั่งเงาร่างนั้นค่อยๆ จางหายไปพร้อมกับเสียงลมที่เริ่มเบาลงหลังจากนั้น ความเงียบสงบก็กลับคืนมา พวกเรายืนกันนิ่งอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากป่านั้น ทุกคนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่คลายออก เหมือนกับว่าเธอได้รับการปลดปล่อยแล้วจริงๆเมื่อกลับถึงบ้าน ไม่มีใครในกลุ่มฝันร้ายอีกเลย เพื่อนของเราที่เคยเห็นวิญญาณเด็กผู้หญิงก็กลับมามีชีวิตปกติ เราต่างรู้สึกว่าวิญญาณของเธอได้ไปสู่ที่ที่ควรจะไปแล้วแม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างสงบ แต่ความทรงจำเกี่ยวกับป่านั้นยังคงอยู่ในใจของพวกเราทุกคน ทุกครั้งที่เรานึกถึงมัน ความหวาดกลัวและความระแวดระวังก็ยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่มีวิญญาณใดตามหลอกหลอนเราอีกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่